บทที่ 5
เขมจัดการเปิดประตูโรงม้าออกอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่าเมื่อร่างของหญิงสาวอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว ไม้เมืองกับลูกน้องอีกสองสามคนเดินเข้าไปดูข้างใน แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ นอกจากโซ่ที่ถูกทำให้ขาดครึ่งและท่อนไม้อีกหนึ่งอัน
“ผู้หญิงคนนั้นยังมีโซ่ถ่วงข้อเท้าอยู่อีกครึ่งหนึ่ง ถึงยังไงก็ไม่มีทางหนีไปถึงไปหน้าไร่ได้หรอก... รีบไปตามตัวกลับมาให้ได้เดี๋ยวนี้!” มาร์คัสสั่งเสียงเฉียบขาด ทุกคนจึงพากันแยกย้ายตามหาหญิงสาวทันที มีเพียงไม้เมืองกับเขมเท่านั้นที่ยืนขนาบข้างเจ้านายอยู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ที่นี่ถูกปิดตายเอาไว้จริงๆ แต่ทำไมเธอถึงหนีออกไปได้แบบไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเลยล่ะพี่เขม” ไม้เมืองถามขึ้นแต่เขมเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร แต่คำถามของไม้เมืองกลับทำให้มาร์คัสเริ่มสนใจที่จะสังเกตรายละเอียดเล็กๆน้อยๆขึ้นมา
“เขม ฉันขอไฟฉายหน่อย” ชายหนุ่มบอกพลางเอื้อมมือไปรับไฟฉายจากมือเขมมาถือไว้
มาร์คัสสั่งให้เขมกับไม้เมืองออกไปรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเขาก็เดินเข้ามาไปในโรงม้าที่เธออยู่เพียงลำพัง ก่อนจะสอดส่ายสายตาสำรวจทุกตารางนิ้วอย่างรอบคอบ
รอยเท้าที่เปรอะเปื้อนคราบดินปรากฏอยู่ทุกทิศทุกทาง เหมือนต้องการหาสิ่งของเพื่อช่วยเหลือตัวเอง หรือไม่ก็เพื่อสำรวจว่าตัวเองจะเดินไปได้ถึงจุดไหน นั่นก็เป็นเพราะความยาวของโซ่ที่ล่ามอยู่ระหว่างเสาไม้ขนาดใหญ่กับข้อเท้าของเธอมีระยะทางที่จะเดินไปตามจุดต่างๆได้มากน้อยต่างกัน แต่จากการคาดเดาของเขา หน้าต่างบานที่อยู่ริมฝั่งซ้ายน่าจะเป็นจุดเดียวที่เธอสามารถเดินไปถึงได้ และมันยังเป็นจุดที่มืดมากที่สุดอีกด้วย
มาร์คัสก้าวเท้ายาวๆตรงไปยังหน้าต่างบานนั้นทันที รู้สึกถึงความแปลกประหลาดอย่างชัดเจนเมื่อเห็นว่าหน้าต่างตรงจุดนี้ไม่ได้ถูกปิดตายเอาไว้เหมือนทุกบาน ชายหนุ่มลองยกมือขึ้นแตะเบาๆก็พบว่ามันเปิดออกอย่างง่ายดาย และสาเหตุนั้นก็เป็นเพราะมันเพิ่งถูกปิดจากทางด้านนอกนั่นเอง
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หนีไปทางหน้าไร่อย่างที่เราเข้าใจ ตอนนี้ที่ๆเธอกำลังมุ่งหน้าไปคือท้ายไร่ต่างหาก... ไม้เมือง! รีบไปบอกพวกที่เหลือให้แยกย้ายกันไปตามหาเธอที่ท้ายไร้ ส่วนเขมมากับฉัน!” พูดจบไม้เมืองก็แยกตัวออกไปทำตามคำสั่งทันที ส่วนมาร์คัสและเขมก็รีบปีนออกทางหน้าต่างเพื่อให้ตามตัวเธอได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาวิ่งอ้อมไร่
ผู้หญิงคนนี้หาทางเอาตัวรอดได้ดีนัก แต่เธอคงหมดโอกาสอวดเก่งอีกแน่ๆ ถ้าถูกเขาจับตัวได้...
นลินเดินโซซัดโซเซออกห่างจากโรงม้ามาเรื่อยๆ แต่ทว่าก็ยังไม่มีบ้านเรือนหรือผู้คนผ่านมาให้ร้องขอความช่วยเหลือได้เลย ทุ่งหญ้ารกชัฏเป็นอุปสรรคอยู่มากเพราะเธอไม่ได้สวมรองเท้า เลือดก็ไหลซึมออกจากข้อเท้ามากขึ้น อีกทั้งยังถูกหนามแหลมๆทิ่มแทงบริเวณฝ่าเท้าจนรู้สึกเจ็บระบมไปหมด แต่สุดท้ายแล้วความหวังที่เริ่มริบหรี่ลงก็ทอประกายสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวนึกขึ้นมาได้ว่าในมือยังคงกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นอยู่
‘นี่เราลืมมันไปเสียสนิทเลยเหรอ’
นลินรีบต่อสายไปหาบิดาอีกครั้ง แต่ทว่ากลับไม่สามารถติดต่อปลายทางได้ ตอนนี้ความกลัวกำลังเข้าจู่โจมเธอจนถึงขีดสุด มือไม้สั่นระริกจนแทบประคองโทรศัพท์เอาไว้ไม่อยู่ แต่นับว่ายังดีที่หญิงสาวนึกขึ้นมาได้ว่านอกจากบิดาแล้ว ยังมีพี่ชายอีกคนที่เธอยังสามารถขอความช่วยเหลือได้
“พี่รุตม์...” นลินกรอกเสียงแหบแห้งทันทีที่ต่อสายไปหานรุตม์ได้สำเร็จ
“น้ำเหนือเองเหรอ ทำไมดึกดื่นจนป่านนี้แล้วยังกลับมาไม่ถึงบ้านอีก ฉลองกับเพื่อนเพลินจนลืมคิดไปว่าทางบ้านกำลังรอน้องอยู่ใช่ไหม” อีกฝ่ายดุเสียงเข้มโดยไม่ทันได้รอให้ผู้เป็นน้องสาวแท้ๆ ได้มีโอกาสพูดอธิบาย
นลินกำลังจะบอกให้พี่ชายรู้ว่าตัวเองถูกจับตัวมา แต่ทว่ามือหนาของใครคนหนึ่งกลับแย่งโทรศัพท์ไปแล้วกดตัดสายทิ้งเสียก่อน ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนที่ความอ่อนล้าจะดึงให้สติสัมปชัญญะของเธอดับวูบลง โดยมีอ้อมแขนแข็งแกร่งของมาร์คัสรับเอาไว้ได้ทัน
“ท่านนายพลสิงขรคงแทบคลั่งแน่ ถ้ารู้ว่าลูกสาวสุดที่รักหมดสภาพถึงขนาดนี้” มาร์คัสพูดกับตัวเองก่อนจะพาร่างบอบบางมุ่งหน้าออกจากท้ายไร่อัปสรอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นมุมปาก เมื่อรู้ว่าตอนนี้ศัตรูกำลังพ่ายแพ้เขาในระดับหนึ่งแล้ว
