บทที่ 4
กลิ่นสาบสางรุนแรงที่ลอยเข้าจมูกอยู่ตลอดเวลา ทำให้เจ้าของร่างบางที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่นานค่อยๆรู้สึกตัวตื่น เธอกระพริบตาถี่ๆอยู่หลายครั้งเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืด และสามารถมองเห็นบรรยากาศรอบตัวได้ถนัดชัดเจนขึ้น
‘ที่นี่ที่ไหน’
คำถามแรกผุดขึ้นในสมอง เมื่อพบว่าตัวเองถูกทิ้งเอาไว้ในความมืดมิดเกินกว่าจะบอกได้ว่าที่นี่เป็นที่ใดในเมืองเอกรัฐ
นลิน วิชญะการุณ พยายามใช้แขนเรียวเล็กยันกายตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าที่เปรอะเปื้อนคราบไคลสกปรก ทำให้ความงามของเธอถูกบดบังจนหมดสิ้น แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องใส่ใจกับปัญหาเล็กน้อยอย่างนั้น
โชคดีนักที่วันนี้เป็นคืนเดือนหงาย แสงจันทร์ที่ผ่านลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างและประตูจึงช่วยให้นลินพอมองเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นบ้าง
“โรงม้างั้นเหรอ...”
หญิงสาวพูดกับตัวเองเสียงแผ่ว เมื่อมองจนชัดเจนแล้วว่าตัวเธอถูกขังเอาไว้ที่ไหน แต่เมื่อตั้งใจจะเดินไปที่ประตูทางออก เสียงโซ่ที่ข้อเท้าก็หยุดเธอเอาไว้เพียงแค่นั้น
นลินคาดไม่ถึงเลยว่าคนพวกนั้นจะล่ามโซ่เธอเอาไว้ราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุม ร่างบางระหงทิ้งตัวเองลงนั่งบนพื้นเปียกๆอย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่เสียงวัตถุอย่างหนึ่งที่ดังกระทบพื้นอยู่ตรงกระเป๋ากางเกงทางด้านหลังทำให้เธอชะงัก และเมื่อหยิบมันออกมาก็พบว่าสิ่งนั้นคือโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งซื้อเอาไว้ ตั้งใจจะใช้มันติดต่อไปหาพี่ชายเพื่อให้มารับที่สนามบินเมืองเอกรัฐ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายเธอก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน
เมื่อหญิงสาวลองเช็คดูก็พบว่าโทรศัพท์ยังสามารถใช้งานได้ดี ถึงแม้จะโดนน้ำไปบ้างก็ตาม นลินกดโทรออกไปยังเบอร์ของบิดา แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อความอับชื้นของโรงม้าแห่งนี้ทำให้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากว่าเธอออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จก็คงพอมีหนทางอยู่บ้าง
ความหวังที่จะหนีออกไปให้ได้เริ่มฉุดให้ร่างบางพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และเมื่อลองเดินไปรอบๆ ก็พบว่าโซ่ที่คล้องข้อเท้าเธออยู่นั้นมันสั้นเกินกว่าที่จะเดินไปถึงประตูได้ แต่มันก็ยังมีความยาวมากพอสำหรับการหนีออกไปทางหน้าต่างที่ถูกปิดตายนั่น
นลินใช้แสงสว่างจากโทรศัพท์ส่องหาอะไรสักอย่างที่พอจะช่วยเธอได้บ้าง สุดท้ายแล้วท่อนไม้ขนาดเหมาะมือที่วางนิ่งอยู่ไม่ไกล ก็เริ่มมีค่ามากขึ้นเมื่อหญิงสาวเลือกมันมาเป็นตัวช่วย
ตอนนี้อากาศภายในนี้กำลังทำให้เธอเริ่มหายใจติดขัดมากขึ้นทุกทีแล้ว นลินจึงไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป เธอถือท่อนไม้ในมือเอาไว้มั่น พร้อมกับสูดอากาศที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่เข้าปอดอย่างจำใจ จากนั้นก็จัดการใช้มันทั้งทุบทั้งงัดไม้อัดที่ตีปิดหน้าต่างหลายครั้งโดยไม่ยอมหยุดพัก
นลินทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง ในที่สุดไม้อัดแผ่นแรกที่ถูกตีปิดในแนวเฉียงก็หลุดออกจากบานหน้าต่างไปแล้ว ทีนี้ก็เหลืออีกแค่เพียงแผ่นเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าเธอคงใกล้จะทำสำเร็จ แต่ทว่าอุปสรรคชิ้นใหญ่ในตอนนี้คือการที่ร่างกายเริ่มทรมานจากการขาดอากาศหายใจ หญิงสาวพยายามตั้งสติสูดลมหายใจเข้าทั้งทางปากและจมูก จากนั้นก็กัดฟันลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มลงมือกับแผ่นไม้อัดอันสุดท้ายอีกครั้ง
‘สำเร็จแล้ว!’
ในที่สุดหน้าต่างบานนั้นก็ถูกเปิดออกได้อย่างราบรื่น ถึงจะต้องออกแรงจนแทบเป็นลมล้มทั้งยืนก็ตาม นลินโผล่หน้าออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ทันที สายลมอ่อนๆ พัดมาปะทะผิวหน้าและผิวกายเหมือนต้องการปลอบประโลมว่าเธอปลอดภัยดีแล้ว
น้ำตาแห่งความอดสูไหลรินลงอาบแก้ม อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ว่าทำไมจนป่านนี้แล้วถึงยังไม่มีใครออกตามหาเธอเลยสักคน... พ่อ แม่ และพี่ชายของเธอ คงไม่เอะใจกันเลยกระมังว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแบบนี้
เสียงรถยนต์ที่ไม่น่าจะใช่เพียงคันเดียวดังขึ้นไม่ไกลจากตรงจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ และสัญชาตญาณก็บอกให้เธอรีบหาทางหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่านลินเองก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นให้ได้ด้วยเช่นกัน
เธอสูดอากาศเข้าเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนจะหันมาจัดการเอาไม้อัดที่ตัวเองเพิ่งทำลายทิ้งเมื่อครู่ไปซ่อนไว้ในกองหญ้าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ โซ่ตรวนที่พันธนาการอยู่ตรงข้อเท้าทำให้หญิงสาวคิดหนัก พยายามดึงทึ้งจนข้อเท้าเริ่มมีเลือดสีแดงสดไหลซึม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมหลุดจากข้อเท้าเธอเสียที
ในเมื่อทางเลือกมีเพียงน้อยนิด อีกทั้งเสียงฝีเท้าของคนพวกนั้นก็กำลังใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที นลินจึงตัดสินใจใช้ท่อนไม้อันเดิมทุบไปบริเวณที่เห็นโซ่ขึ้นสนิมและมีความหนาน้อยที่สุด เธอรีบเร่งมือขึ้นอีกเพราะได้ยินเสียงโซ่ที่แขวนอยู่หน้าประตูกำลังจะถูกไขเข้ามา ในที่สุดโชคดีก็เป็นของเธอเมื่อโซ่บริเวณนั้นหลุดออกจากกันเสียที แต่กระนั้นโซ่อีกส่วนหนึ่งก็ยังติดอยู่กับข้อเท้า
นลินรีบปีนหนีออกทางหน้าต่างของโรงม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงมันให้ปิดลงตามเดิมเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ได้เร็วนักว่าเธอหนีออกมาจากทางนี้ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าอีกครั้ง แต่ทว่าสัญญาณก็ยังขาดหายเหมือนเดิม อาจเป็นเพราะแถวๆนี้มีแต่ทุ่งหญ้ากระมัง
