บทที่ 10
นรุตม์โทรศัพท์ไปหานายพลสิงขรด้วยความรู้สึกกังวลใจอย่างหนัก ความจริงแล้วชายหนุ่มอยากขับรถออกไปพบบิดาด้วยตัวเอง แต่ก็เกรงว่าคนของมาร์คัสที่แฝงตัวอยู่ตามบริเวณต่างๆ จะสะกดรอยตามไปเจอที่กบดานของบิดาเข้า
ทุกวันนี้นรุตม์กับคุณหญิงวารินสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติก็เพราะเรื่องราวทุกอย่างยังไม่ชัดเจนมากพอ มาร์คัสยังขาดหลักฐานและข้อมูลสำคัญอีกมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจใช้บทลงโทษใดๆกับเขาและมารดาได้ ถึงแม้ตามกฏหมายของเมืองเอกรัฐจะระบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ใดที่คิดก่อการกบฏ และกระทำการกบฏขึ้นในเมืองเอกรัฐ ต้องได้รับโทษสถานเดียวคือความตาย และบุคคลที่ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกันนี้ทุกประการก็คือบุคคลที่ร่วมใช้นามสกุลเดียวกันกับผู้ก่อการกบฏและผู้ที่สมรู้ร่วมคิด แต่เวลานี้หลักฐานที่มียังไม่ชัดเจนพอที่จะประกาศได้ว่าบิดาของเขาคือกบฏ เพราะฉะนั้นมาร์คัสจึงทำได้แค่เพียงคอยจับตาดูนรุตม์ไปเรื่อยๆเท่านั้น
ความจริงแล้วนายพลสิงขรเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องหนีไปหาแหล่งกบดานที่อื่นเช่นกัน เพราะมาร์คัสไม่สามารถจัดการอะไรเขาได้มากนัก ตราบใดที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานสำคัญมามัดตัวได้ แต่ที่นายพลสิงขรเลือกที่จะออกจากบ้านวิชญะการุณไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อให้ง่ายต่อการเตรียมการต่างๆ โดยไม่มีคนของทางการเข้ามาคอยจับผิด
“ว่าไงรุตม์ มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับมาร์คัสแล้วใช่ไหม” ปลายสายทักขึ้นด้วยคำถามที่บ่งบอกว่ามาร์คัสเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเขา และนรุตม์เองก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกัน เมื่อผู้ให้กำเนิดไม่ได้ใส่ใจถามถึงสารทุกข์สุกดิบของคนในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
“เปล่าหรอกครับคุณพ่อ ผมแค่จะโทรมาบอกว่าน้องหายตัวไปสองวันแล้ว ให้คนออกตามหายังไงก็ไม่พบสักที... ผมเป็นห่วงน้องครับ อยากให้คุณพ่อช่วยส่งคนออกตามหาอีกแรง” นรุตม์เล่าทุกอย่างให้บิดาฟัง พยายามควบคุมความคุกรุ่นเอาไว้อย่างมิดชิด เพราะอย่างไรก็ต้องขอความช่วยเหลือจากเขา
“พ่อรู้เรื่องนี้แล้วล่ะรุตม์” นายพลสิงขรตอบ
“ถ้าทราบแล้วคุณพ่อสั่งให้คนออกตามหาน้องหรือยังครับ หรือว่ายังนิ่งดูดายไม่ทำอะไรอีกตามเคย” นรุตม์ถามเสียงแข็ง ท้ายประโยคแดกดันเล็กน้อยจนอีกฝ่ายลอบถอนหายใจเบาๆ
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะรุตม์ ยัยนลินหายไปทั้งคน พ่อจะนิ่งเฉยได้ยังไงกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกผมมาหน่อยสิครับว่ามีความคืบหน้าอะไรบ้าง รู้แล้วหรือยังว่าน้ำเหนือหายไปไหน... กับใคร”
“คนของพ่อยังไม่ได้อะไรคืบหน้าหรอก รู้แค่ว่าน้องกลับมาจากออสเตรเลียเมื่อสองวันก่อน แล้วหลังจากนั้นก็หายตัวไป” นายพลสิงขรบอกลูกชายเสียงเครียด และรู้ดีว่านรุตม์คงไม่พอใจกับคำตอบของเขาเอามากแน่ๆ
“เรื่องแค่นั้นใครก็รู้ได้ไม่ยากหรอกครับ เมืองเอกรัฐก็ไม่ใช่ว่าจะใหญ่โตมากมายนัก แล้วทำไม...”
“เอกรัฐไม่ใหญ่โตนักก็จริง แต่ลูกอย่าลืมสิว่าพ่อเองก็ต้องระวังตัวตลอด ขืนออกหน้าทำอะไรมากไปกว่านี้ก็โดนคนของไอ้ผู้นำงี่เง่านั่นเพ่งเล็งเอาน่ะสิ” นายพลสิงขรสวนขึ้นทันควัน และพูดขึ้นอีกเมื่อเห็นว่านรุตม์นิ่งเงียบไป
“ลูกมีหนทางช่วยน้องมากกว่าพ่อนะรุตม์ แล้วรู้เอาไว้ด้วยว่าข้อมูลสำคัญของพ่ออยู่กับน้ำเหนือ ฉะนั้นลูกต้องตามหาน้องให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะถ้ามาร์คัสได้ข้อมูลนั่นไป... พวกเราได้ตายกันยกครัวแน่” นายพลสิงขรย้ำอย่างชัดเจน และมันก็ทำให้นรุตม์เริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่บิดาของเขาเป็นห่วงจริงๆ นั้นไม่ใช่นลิน แต่เป็นข้อมูลลับสุดยอดที่อยู่กับเธอต่างหาก
“ขอโทษที่โทร.มารบกวนนะครับ ตอนนี้ผมพอจะทราบแล้วล่ะว่าสิ่งที่คุณพ่อต้องการจริงๆ มันคืออะไรกันแน่” นรุตม์กดตัดสายทันทีที่พูดจบ
โทรศัพท์ในมือถูกขว้างไปกระทบกับหน้าต่างห้อง จนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความโมโห ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาว แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับตัดสินใจเดินทางไปหามาร์คัสที่คฤหาสน์แวนเดอคอร์ฟทันที
ไม้เมืองยกสำรับอาหารสองสามอย่างเข้ามาให้นลินในโรงม้า แต่หญิงสาวกลับเบือนหน้าหนีโดยไม่ยอมแตะต้องมันเลยแม้แต่น้อย ถึงจะหิวจนแสบไส้แต่เธอก็ยังไม่ยอมลดความดื้อรั้นของตัวเองลงอยู่ดี ส่วนไม้เมืองก็ทำได้แต่พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพราะความเห็นใจเท่านั้น
“ทานข้าวสักหน่อยเถอะคุณ ไม่อยากเก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อปากต่อคำกับท่านผู้นำเหรอ” ไม้เมืองพูดซ้ำประโยคเดิมๆ จนนลินชักเริ่มรำคาญ
“นี่นายจะวุ่นวายกับฉันไปถึงไหน ฉันบอกว่าไม่กินก็คือไม่กินสิ”
“งั้นตามใจคุณก็แล้วกันนะครับ ผมเอาไปกินเองก็ได้” ไม้เมืองบ่นอย่างเหลืออดขณะก้มหน้าลงยกถาดสำรับขึ้นมาถือไว้ในมือ เขาชายตามองหญิงสาวที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงหน้าอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินออกจากโรงม้าไป
นลินนั่งกอดเข่าอยู่ภายในโรงม้าต่อไปเพียงลำพัง แต่ทว่าภายในสมองกลับครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ ตอนนี้สภาพร่างกายของเธออ่อนล้าเต็มกำลัง หนำซ้ำยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
