บทที่3
“แกต้องไปทำให้หมอนั่นเจ็บปวดให้ได้ จะหว่านเสน่ห์จนเขาหลงรักแล้วก็ตัดหางปล่อยวัดเหมือนที่แกชอบทำบ่อยๆ ก็ได้ พอไม่มีใครแล้วเขาจะได้กลับมาหาฉัน!” ตกลงจะเอายังไงกันแน่นะยัยบ้านี่ จู่ๆ ก็หัวเราะเริงร่าทั้งๆ ที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแบบนั้น ประสาทไปแล้วแหงๆ
“นี่แกยังคิดที่จะกลับไปคบกับไอ้คนเลวแบบนั้นอีกอย่างงั้นเหรอแซนด้า!” ฉันส่งเสียงดังลั่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิดทันทีที่หวนกลับไปนึกถึงคำพูดประโยคสุดท้ายที่ยัยนั่นพูด
“ก็เขาหล่อจนฉันลืมไม่ลงนี่น่า” สารภาพออกมาอย่างหน้าตาเฉย ยัยเพื่อนบ้าเอ้ย!
“แกมันโง่”
“รักมักทำให้คนตาบอดนี่น่า”
“ก่อนจะพาแกไม่รักษาตาที่บอด เราคงได้แวะโรงพยาบาลโรคประสาทกันก่อน ยังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ช่วยเด็ดขาด!”
“แต่ว่าฉันเป็นเพื่อนแกนะ”
“เพราะว่าแกเป็นเพื่อนน่ะสิ ฉันเลยไม่อยากจะให้แกต้องเจ็บปวดอีก ไม่ก็คือไม่ แกก็รู้นี่น่าว่าคนอย่างเอพริลพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น เพราะฉะนั้น....ไม่!” และก็เป็นไปตามคาดที่ยัยแซนด้าแหกปากบรรเลงเพลงร่ำไห้ไว้อาลัยแก่ความเศร้าของตัวเองขึ้นมาอีกรอบจนผู้คนมากมายเริ่มจะปรายหางตามองมาที่เราทั้งคู่อย่างอยากรู้เสียเต็มประดาว่าไอ้หน้าโง่ที่ไหนทำให้ผู้หญิงที่จัดว่าสวยสง่าอย่างยัยบ้านี่ร้องไห้ราวกับโลกจะแตกก็ไม่ปานแบบนี้
จะมีก็แต่ฉัน...ที่ได้แต่นั่งยกมือปิดหูอย่างเซ็งๆ
ทำไมผู้ชายถึงได้ชอบสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้หญิงที่ตัวเองไม่แน่ใจว่าจะรักด้วยนะ รักไม่รักทำไมไม่ต้องตั้งแต่วันแรกที่เจอกันไปเลย เพราะงั้นฉันถึงไม่อยากจะให้ยัยวิเวียนต้องไปเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับผู้ชายพรรค์นั้น
ผู้ชายเลวๆ แบบนั้น
เพราะสมแล้วที่จะต้องอยู่โดดเดี่ยวไปจนตาย!
เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะแรงกระตุ้นที่ดังมาจากเสียงเพลงที่ดังสนั่นทำให้ร่างกายของหญิงสาวในชุดเดรสสุดสั้นสีส้มลุกขึ้นวาดลวดลายอย่างบ้าคลั้งโดยมีสายตามากมายพุ่งเข้ามาทันทีที่ ‘ควีน’ ประจำผับออกโรงโชว์ลวดลายที่ไม่ว่าชายใดได้เห็นเป็นต้องกลืนน้ำลายลงคอไปตามๆ กัน
เรือนผมสีดำยาวถูกสะบัดไปมาตามแรงเหวี่ยงและท่วงท่าที่น่าหลงใหล ใบหน้าที่ยิ้มเล็กๆ ก็สามารถสะกดทุกสายตาให้หันไปจดจ่ออยู่กับตัวเองได้ไม่อยาก แต่เหมือนว่าขาดอะไรบางอย่างบนเวทีที่เริ่มจะร้อนระอุนั้น บางอย่างที่น่าจะทำให้ค่ำคืนนี้ยังคงร้อนแรงต่อไปจนถึงผับปิด
ฉันที่ได้แต่นั่งจิบบาคาดี้รสอ่อนๆ ตวัดสายตามองควีนประจำผับอย่างลองเชิงก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้จนยัยแซนต้าที่นั่งจมน้ำตาตัวเองต้องทักขึ้นเมื่อรู้ทันเกมที่ฉันกำลังคิดอยู่ในหัว...
“นี่อย่าบอกนะว่าแก....”
“ก็ตามที่แกคิดนั่นแหละ มันช่วยไม่ได้นี่น่า ฉันแค่อยากจะสอนให้ยัยเด็กอ่อนหัดบนเวทีนั่นรู้รสว่าอะไรคือเสน่ห์ที่น่าจดจำที่แท้จริงมันเป็นยังไงก็เท่านั้นเอง แกรออยู่นี่ตรงนี้...ขอฉันไปปลดปล่อยสักครู่แล้วจะกลับมาพร้อมกับตำแหน่งควีนคนใหม่ของซีซีผับ!” ฉันทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยประโยคยาวเหยียดก่อนจะถอดแจ็คเก็ตหนังสีดำที่สวมเพื่อปกปิดความสวยงามที่ซ้อนเร้นอยู่ภายใต้เสื้อคลุมเผยให้เห็นไหล่เนียนขาวที่โผล่ขึ้นมาจากเสื้อเกาะอกสีแดงสดที่อุตส่าห์คิดว่าคงไม่ต้องเปลืองตัวในค่ำคืนข่มขื่นเชกเช่นนี้
แต่ก็นะ...เพราะราตรีมันยังอีกยาวไกล
และฉัน....ก็เป็นผู้หญิงจำพวกรักสนุกและชื่นชอบความท้าทายเป็นชีวิตจิตใจซะด้วยสิเนี่ย
ทำไงดีล่ะ!
ฉันย่างกายมาจนถึงด้านหน้าเวทีท่ามกลางสายตาของผู้ชายรอบด้านที่ถ้ากินฉันได้คงทำไปนานแล้วก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าดีเจประจำผับพร้อมก้มลงกระซิบจุดประสงค์ที่ท้าทายไปให้เขาฟังอย่างอารมณ์ดี
“อะ...เอาจริงเหรอครับ! แต่ว่านั่นน่ะ....คือลิเลียนนางฟ้าชื่อดังของผับเราเลยนะครับ” หมอนั่นโพล่งขึ้นทันทีที่ได้รับรู้ความในใจของฉันก่อนจะเหลือบไปมองยัยโคนมอย่างหวาดๆ ต่างจากฉันที่ได้แต่ยืนเอานิ้วพันผมตัวเองเล่นอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“แล้วอะไรทำให้นายคิดว่าฉัน...จะแพ้ผู้หญิงคนนั้นล่ะจ๊ะ”
“อะ...เอ่อ”
“ขอไมล์หน่อยสิ ถ้านายใจไม่ถึงพอล่ะก็...ฉันจัดการเอาเองก็ได้” ถึงจะดูหวาดๆ หมอนั่นก็จำต้องยื่นไมล์มาให้ฉันตามคำขอ เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว ไม่มีผู้ชายงี่เง่าคนไหนในโลกที่พอได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของฉันแล้วจะไม่ยอมสยบลงให้ เหตุผลน่ะง่ายมาก...
เพราะว่าฉันสวย..เหตุผลนี้ฟังดูดีใช่ไหม!
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ฉันรบกวนเวลาสนุกของทุกๆ คนในที่นี้ คือพอดีว่าฉันสังเกตเห็นว่าที่นี้มีควีนประจำผับที่ทั้งสวยและ...ยั่วเก่ง เอ๊ะ....ไม่ใช่สิ ฉันหมายความว่าเต้นเก่งน่ะจ๊ะ” ใบหน้าเนียนใสตวัดมามองฉันทันที่พูดจบ สายตาฟาดฟันส่งมาให้เป็นทอดๆ ราวกับต้องการสื่อความหมายที่ว่าฉัน...ต้องการอะไร
“กฎของการเป็นควีนคือถ้าได้รับความสนใจน้อยกว่าคนอื่นก็จะถูกปลด ไม่ทราบว่าที่นี้ใช้กฏแบบนี้ด้วยรึเปล่า”
“เธอต้องการอะไร” คำตอบของคำถามที่ได้ดังออกมาจากปากเรียวเล็กของยัยเอเลี่ยนก่อนร่างบางระหงจะเดินย่างกายลงมาด้านล่างเท้าสะเอวมองฉันอย่างโมโห
“ถ้าบอกว่าสิ่งที่ฉันต้องการคือตำแหน่งควีนของเธอ เธอจะยอมยกให้ฉันฟรีๆ รึเปล่าล่ะ”
“ว่าไงนะ!”
“คงไม่สินะ งั้นมาพิสูจน์กันเอาไหมว่าระหว่างฉันกับเธอ...ใครจะแน่กว่ากัน แน่นอนว่าผู้ตัดสินคือทุกคนในผับนี้ ว่าไง...กลัวแพ้รึเปล่าล่ะจ๊ะ” ดวงตากลมโตเฉิดฉายความไม่พอใจเป็นอย่างมากทันทีที่สิ้นคำท้าทายจากฉัน จะบอกความลับเกี่ยวกับเอพริวคนนี้ให้เอาไหม ตำแหน่งควีนไร้สาระนั่นน่ะ ฉันกวาดมาเกือบหมดจะทุกผับแล้วล่ะ ไม่ว่าคู่แข่งจะเปรี้ยวเข็ดฟันแค่ไหน แต่เมื่อเจอกับฉันคนนี้ก็เป็นอันดับมอดลงไปตามๆ กันทุกราย
มันสนุกนะเวลาที่ได้เห็นสีหน้าของผู้แพ้
“ฉันรับคำท้า” รอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจเสียเต็มประดาของยัยควีนสุดเซ๊กซี่ยิ่งเพิ่มความสนุกให้ฉันมากขึ้นเป็นเท่าตัว
แบบนี้ก็สวยน่ะสิ
ดนตรีที่ดังสนั่นดังขึ้นพร้อมเสียงโห่ร้องระงมทันทีเมื่อยัยลิเลียนขึ้นไปโยกย้ายตามคำท้าของฉัน ดีกรีควีนของที่นี้นับว่ายัยนั่นได้มาด้วยความสามารถล้วนๆ ยอมรับก็ได้ว่าลีลาการโยกย้ายสะบัดไปมาของเธอมันดุเดือดเลือดร้อนได้ดีทีเดียว
แต่ยังไงซะฉันก็มั่นใจว่าฉันทำได้ดีกว่ายัยนั่นแน่
ไม่เชื่อก็คอยดูเอาก็แล้วกัน!
“แกไหวรึเปล่านังเอพริล ยัยบ้านั่นกะเอาชนะแกขาดลอยเลยนะเนี่ย” ยัยแซนด้าพูดขึ้นพร้อมกระดกวิสกี้เข้าปากอย่างบ้าคลั้งตามสไตล์คนเพิ่งอกหักมาหมาดๆ ดูเหมือนยัยนี่จะไม่ค่อยเชื่อใจฝีมือของเพื่อนรักอย่างฉันเท่าไหร่เลยนะว่าไหม
“แกคิดว่าฉันจะแพ้คนอย่างยัยนั่นรึไง” ฉันพูดพร้อมกลอกตามองเพื่อนรักที่ดูจะมั่นใจในฝีมือของฉันเอาซะเลยอย่างใจเย็น
“ฉันรู้หรอกน่าว่าแกไม่ชอบแพ้ใคร สู้ตายเลยเพื่อน” ฉันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยพร้อมเดินขึ้นเวทีไปในทันทีที่เสียงเพลงของยัยควีนที่กำลังจะเป็นอดีตในไม่ฃ้านี้จบลง
“โชคดีนะยะ แกแน่มากที่ยังกล้าเดินขึ้นเวทีหลังจากที่เห็นลีลาของฉัน” เสียงกระซิบเบาๆ เป็นลางบ่งบอกถึงการเปิดศึกดังขึ้นในจังหวะที่เราทั้งคู่เดินสวนทางกันที่บันไดเหล็ก ฉันปรายตาไปมองยัยลิเลียนอยู่ครู่ ก่อนจะกระตุกยิ้มบางๆ ออกมาให้ยัยนั่นได้เห็น
“เดี๋ยวก็รู้!” คนอย่างเอพริลไม่มีวันแพ้ใครหน้าไหนอยู่แล้ว โดยเฉพาะยัยบ้าที่ไม่รู้จุดยืนของตัวเองว่าเวลาไหนควรสู้เวลาไหนควรถอยอย่างยัยนี่ยิ่งแล้วใหญ่
งานนี้มันต้องสนุกแน่!
“มาสนุกด้วยกันนะคะทุกๆ คน ฉันจะทำให้พวกคุณเห็นถึงข้อแต่ต่างระหว่างนักเต้นกับสาวรำวงก็คืนนี้” ฉันพูดใส่ไมล์ดังลั่นพร้อมทั้งโปรยยิ้มบางๆ ไปให้ชายหนุ่มมากมายที่ตอนนี้กำลังจับจ้องมาที่ฉันเป็นจุดเดียว มีเสียงเฮลั่นเกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกคนในที่นี้กำลังรอการปลดปล่อยของฉันอยู่ฉันจึงเอื้อมไปกระซิบขอเพลงกับดีเจ
เมื่อดนตรีจังหวะของท่วงทำนองเพลงที่ดังกระหื่มขึ้นฉันจึงเริ่มจะออกลวดลายด้วยท่าทางช้าๆ และทำให้ทุกคนเคลิบเคลิ้มไปกับมันได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก โยกย้ายสะโพกที่กลมได้รูปเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าเวที น้ำลายหกไปตามๆ กันได้แล้ว…
