ตอนที่ 9 บังเอิญเจอ
EP09 บังเอิญเจอ
โยเกิร์ตได้แต่แน่นิ่งยืนฟังโดยที่ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เพราะเธอรู้ดีว่าตอบโต้อะไรไปมันก็ไร้ประโยชน์
"เธอมีเวลาแค่ห้านาทีในการเจอสองคนนั้น"
"ค่ะ" หลังจากที่เดินมาถึงยังห้องห้องหนึ่งเสียงของการ์ดก็พูดขึ้น แล้วเดินออกไปปล่อยให้โยเกิร์ตได้มีเวลาส่วนตัวกับพ่อแม่
"โย…" เสียงของหญิงวัยกลางคนในชุดสีดำล้วนทั้งตัวเอ่ยขึ้น ข้างกายของเธอคือสามี ทั้งสองอยู่ในกรงขัง
"เป็นยังไงบ้างคะ"
"พ่อขอโทษ"
"มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะ"
"ความผิดของพ่อกับแม่เอง"
"…" โยเกิร์ตเพียงนิ่งเงียบ เธอพูดอะไรไม่ออกพยายามไม่ระบายสิ่งที่ตัวเองออกมาและเก็บมันเอาไว้คนเดียวเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องคิดหนัก เธอต้องอดทนเอาไว้มันอย่างที่สุดและผ่านพ้นมันไปให้ได้
"ขอโทษมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ โยจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อกับแม่หลุดออกมาจากบ่วงนรกนี่"
"พ่อไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้" พ่อบังเกิดเกล้าพูดด้วยแววตาเจือความเศร้า เขาเห็นสายตาของลูกสาวเพียงคนเดียวที่แสดงออกชัดเชนว่ามีปัญหาหลายอย่างมากมาย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่พูด
"อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คนเรามันมีผิดพลาดกันได้"
"โย…" เสียงของผู้เป็นแม่เอ่ย
"คะ"
"ไหวมั้ยลูก"
"โยไหวค่ะ" เธอตอบเสียงสั่น ยิ่งเห็นแววตาเป็นห่วงเป็นไยของท่านทั้งสองหัวใจดวงน้อยก็พลอยอ่อนไหวไปด้วย ใครก็ไม่อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตนเองหรอก
"การที่แม่กับพ่อเห็นหนูเป็นแบบนี้ มันไม่ต่างจากตายทั้งเป็นเลย ถ้าไม่ไหวก็พอนะลูก ไม่ต้องพยายามอะไรแล้ว"
"ไม่ค่ะ โยจะไม่ยอมถอยกลับไปเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อกับแม่ก็ยังเป็นสิ่งที่โยรักมากที่สุดในชีวิตนะคะ" พูดยังไม่ทันขาดคำความเข้มแข็งก็เลือนหายไปมีเพียงหยาดน้ำตาสีใสที่ไหลออกมาจากหางตาอาบพวงแก้ม
"ถ้าไม่ไหวตอนไหนก็บอกพ่อ ถ้ามันทำให้ลูกมีความสุขกว่านี้ พ่อกับแม่ยอมสละชีวิตได้"
"อย่าพูดแบบนั้นเลยนะคะ โยไม่มีวันทิ้งพ่อกับแม่ไปไหนแน่นอน" ว่าแล้วเธอก็สอดมือเข้าไปในช่องของกรงแล้วจับเอาไว้แน่น เป็นการบอกว่าเธอจะไม่ยอมไปไหนหรือหยุดมันเด็ดขาดจนกว่าจะช่วยพ่อกับแม่ของตนออกมาจากขุมนรกนี้ให้ได้ ถึงจะไม่ใช่ความผิดของตนเองก็ตาม "โยต้องไปแล้วนะ แล้วโยจะรีบกลับมาหาอีก ดูแลกันดีๆด้วยนะคะ"
"โยก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองดีๆนะลูก"
"ค่ะ" เธอตอบด้วยรอยยิ้มเปื้อนน้ำตาก่อนจะผละมือออกจากกอบกุมของพ่อและแม่ ร่างเล็กเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าเหม่อลอย มือบางยกขึ้นปาดหยาดน้ำตาออกจากพวงแก้มเนียนใส
วันต่อมา…
สนามบิน
ที่สนามบินแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ทันใดที่เครื่องบินลำใหญ่แลนดิ้งลงจอดผู้คนก็ต่างทยอยกันลงมา ร่างสูงเจ้าของความสูงราวร้อยแปดสิบห้าเดินตามกลุ่มคนลงมาแต่ทว่าเขากลับเด่นในสายตาคนมองมากกว่าคนอื่น ฉายตะวัน เรียนจบหลักสูตรจากลอนดอนและกลับมาทำงานที่ไทยในตำแหน่งอาจารย์ในมหาลัยของมหาลัยตระกูลตนเองที่คุณย่าได้ฝากเอาไว้ ทั้งที่ความรู้ความสามารถของเขาก็เหลือล้นที่จะทำงานอยู่ต่างประเทศได้สบายแต่โสภาก็อยากให้หลานชายอีกคนกลับมาอยู่เมืองไทย เมื่อเป็นความประสงค์ของโสภาคนที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลตอนนี้ ฉายตะวันจึงต้องกลับมาทำงานที่ไทยตามความต้องการของท่าน
"คุณท่านคะ นั้นไงคะ คุณฉายมาทางนู้นแล้ว" เสียงของสายใจคนดูแลส่วนตัวชี้ผ่านกระจกรถตู้คันหรูสีขาวเมื่อเห็นร่างของฉายตะวันเดินตรงมาทางนี้พร้อมคนของหน่วย BUC หน่วยปกตรองพิเศษของตระกูลที่ทำงานร่วมกันกับการดูแลป้องกันภายในประเทศ
"ลงไปรับหลานฉันหน่อยสิสันติ"
"ได้ครับคุณท่าน" สันติ คนดูแลหรือบอดี้การ์ดส่วนตัวของสายใจที่นั่งข้างคนขับรถเอ่ยตอบรับแล้วเปิดประตูลงไปเพื่อจะไปรับฉายตะวัน พอเขาเดินลงมาชายหนุ่มก็จำบอดี้การ์ดส่วนตัวของคุณย่าเขาได้ทันทีเพราะสันติคอยรับใช้โสภามาหลายปีแล้ว
"สวัสดีครับ"
"ยินดีต้อนรับกลับประเทศไทยนะครับคุณฉาย คุณท่านกำลังรอในรับและส่งผมมาต้อนรับคุณครับ" สันติเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นมือไปจับกับฉายตะวันที่ส่งยิ้มให้เขา ในขณะเดียวกันคนของ BUC ก็นำกระเป๋าของเขาขึ้นรถตู้อีกคันที่จอดอยู่ใกล้ๆกัน
"…" ฉายตะวันเพียงพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มดีใจก่อนที่เขาจะเดินตามหลังสันติไปที่รถเพื่อกลับไปยังคฤหาสน์ใหญ่ พอก้าวขาขึ้นรถก็พบกับสีหน้าและรอยยิ้มดีใจของคุณย่า นอกจากโสภาจะมีภาคิณเป็นหลานรักแล้วเขายังรักฉายตะวันไม่ต่างกันจากภาคิณ เพราะทั้งสองเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายและมีความสามารถกันทั้งคู่ มีเพียงพ่อของทั้งสองคนเท่านั้นที่ขัดแย้งกันเรื่องหุ้นบริษัทเพราะปรเวทเป็นคนดูแลหุ้นบริษัทเครือใหญ่เยอะกว่า จึงพลอยให้ภาคิณและฉายตะวันไม่ค่อยพูดจากันเท่าไหร่นัก
"เป็นยังไงบ้างหลานย่า ไปอยู่ลอนดอนมาสี่ห้าปี" โสภาเอ่ยพูดคุยด้วยความคิดถึงในขณะที่รถตู้กำลังขับวนออกจากสนามบิน
"ก็ดีครับ ทุกอย่างดีมาก ผมพร้อมกลับมาทำงานที่ไทยแล้วครับ"
"พอจะรู้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยที่ตนเองจะเข้าไปทำงานมาบ้างแล้วใช่ไหม เป็นมหาลัยของตระกูลเรานี่เอง”
"พอจะทราบมาบ้างแล้วครับ แต่ยังไม่เคยไปสถานที่จริง"
"เดี๋ยววันนี้ย่าจะพาไปเอง"
"ครับคุณย่า" บทสนทนาของอาหลานดำเนินต่อไปเรื่อยๆในหลายเรื่องจนกระทั่งรถตู้เลี้ยวเข้ามาจอดในมหาวิทยาลัยคณะธุรกิจการบิน
"นี่แหละคือมหาลัยที่หลานต้องมาทำงาน ภาคินก็เรียนที่คณะนี้ว่างๆคงจะเจอกัน" โสภาเอ่ยพูดไม่นานก็มีคนใหญ่คนโตของมหาลัยลงมาต้อนรับเพราะก่อนจะมาโสภาได้ให้คนมาแจ้งเรื่องเอาไว้แล้ว
อาหลานเดินลงมาจากรถพร้อมกับบอดี้การ์ดและคนของหน่วยปกครองพิเศษ ในขณะที่กำลังจะเข้าไปในตึกของคณะ ฉายตะวันก็ลืมของบางอย่างบนรถเขาจึงเอ่ยบอกคนข้างกาย
"คุณย่าครับ ผมลืมของไว้บนรถเดี๋ยวตามเข้าไปนะครับ"
"รีบตามมาหล่ะ"
"ครับ" ขานรับเสร็จก็รีบเดินกลับไปยังที่รถ แต่ในขณะที่เร่งรีบก็บังเอิญชนกับใครเข้าแต่พอจะถอยออกมาขอโทษก็เหมือนกำไรข้อมือของทั้งสองจะเกี่ยวกัน
ปึก!
"ขอโทษค่ะ…" เสียงหวานเอ่ยขอโทษและเงยหน้าขึ้นสบตาเพราะเธอเองก็รีบเหมือนกัน แต่พอทั้งสองได้สบตากันก็ต่างตกตะลึงทั้งคู่
ฉายตะวันหยุดมองใบหน้าสวยหวานตรงหน้า ใบหน้าเนียนใสนั้นไร้เครื่องสำอาง ดวงตากลมโตใสน่ามอง ปากจิ้มลิ้มแดงระเรื่อ ผมสยายทั่วแผ่นหลัง ทุกอย่างทำให้ชายหนุ่มราวกับคนตกหลุมรักแรกเจอ
