ตอนที่ 10 เก็บมาคิด
EP10 เก็บมาคิด
"คุณ…เป็นอะไรมากมั้ยคะ" เสียงหวานเอ่ยทักทำให้ฉายตะวันละสายตาจากใบหน้าหวานแล้วก้มลงเก็บหนังสือให้เธอ
"ไม่ครับ ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน พอดีรีบมากเลย" ชายหนุ่มควบคุมน้ำเสียงตนเองให้เป็นปกติแล้วยื่นหนังสือให้โยเกิร์ตที่กำลังมองไปที่รถตู้คันหรูพร้อมกับคนของหน่วย BUC ที่มองมาทางนี้ เพียงเท่านั้นมันก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าเขาต้องเป็นใครสักคนที่มีอำนาจบารมีมาก แล้วทำไมเขาถึงมาที่นี้กันล่ะ?
"ถ้าอย่างนั้น โยขอตัวก่อนนะคะ พอดีต้องรีบเข้าไปเรียนแล้ว"
"ชื่อโยหรอครับ"
"ค่ะ โยเกิร์ต"
"ผมฉายตะวันนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก"
"ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันค่ะ…คุณฉาย" โยเกิร์ตมอบรอยยิ้มอ่อนให้คนตรงหน้าแล้วหันหลังให้เพื่อจะเดินเข้าไปในตึก วันนี้เธอรีบมากจึงไม่ได้แต่งหน้ามาเรียนและทำให้ชนเข้ากับฉายตะวันเข้าให้
คฤหาสน์เล็ก
ในช่วงเย็นของวันเดียวกันภายในห้องโถงกว้างที่มีแสงสลัวสีแดงรำไร มีร่างของภาคิณที่นั่งอยู่โซฟาตัวยาวสีดำ ข้างหน้าของเขาคือเครื่องดื่มมึนเมา มือหนาแกว่งแก้วสีใสในมือไปมาแล้วจิบทีละนิด สายตาเหลือบมองร่างของหญิงสาวปริศนาที่นอนแผ่หลาอยู่บนพรหมสีดำ มือทั้งสองข้างของเธอถูกขึงไว้ด้วยโซ่ บริเวณรอบห้องมีเทียนไขสีขาว พื้นรอบข้างเต็มไปด้วยอุปกรณ์สำหรับใช้เกี่ยวกับเซ็ก
"คุณเจ็บหรอ?" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ่มตํ่า เขากลืนไวน์ชั้นดีลงคอแล้วเหลือบมองร่างเปลือยเปล่าบนพรหมที่กำลังนอนดิ้นพล่านทรมาน ใบหน้าแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
"คุณคิน…ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ"
"ขออีกนิดหน่อยนะ ผมยังไม่ค่อยพอใจเอาสักเท่าไหร่เลย" ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาแล้วพยายามระงับอารมณ์ตนเองไว้ ภาพของโยเกิร์ตที่ไปกับผู้ชายหลายต่อหลายคนมันลอยเข้ามาในหัวทำให้รู้สึกร้อนรุ่มในใจแทบจะทนไม่ไหว เขาเริ่มที่จะอดทนไม่ไหวแล้ว กับการกระทำของเธอที่ทำเหมือนตัวเขาโง่เขลาเหมือนกับสัตว์ที่ไม่มีสมอง
"อึก…" หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายสะอึกตัวโยน เธอถูกทรมานด้วยอุปกรณ์หลายอย่าง ทั้งเทียนร้อนๆหยดลงบนร่างกาย ถูกฟาดด้วยแส้ โดนอุปกรณ์หลายอย่างกระแทกเข้าช่วงล่างตามอารมณ์โกรธของเขา จนหนักสุดถึงขั้นโดนปลายมีดเล่มเล็กกรีดเบาๆตามผิวกาย แต่มันก็แสนจะทรมานและทำให้เลือดไหลออกมาตามผิวกาย ภาคินกระทำชำเรากับร่างกายของเธออย่างใจเย็นและไม่มีท่าทีว่าอารมณ์ของเขาจะสงบลง สิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันราวกับคนผิดปกติที่มีวิธีระบายความโกรธต่างไปจากคนอื่น
"นอนนิ่งๆนะ" ว่าแล้วก็หยัดกายลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหยิบมีดเล่มเล็กบนถาดเหล็กที่ปลายมีดแหลมคมยังมีคราบเลือดสีแดงสดติดอยู่ ชายหนุ่มก้าวขาเดินมาหาเธอแล้วย่อตัวนั่งยองๆข้างกาย สายตาซ่อนรอยยิ้มไล่มองร่างกายขาวตรงหน้าที่มีคราบเลือดติดตามเนื้อตัวประปรายก่อนจะมาหยุดที่ใบหน้ากลับกลายเป็นว่าใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นเป็นของโยเกิร์ตขึ้นมาแทน มันยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่มภายใจมากกว่าเดิม มือหนาบีบมีดแน่นจนร่างกายสั่นเทา ให้ความรักกับเธอไปมากขนาดนั้น ทำไมถึงได้ตอบกลับมาเป็นความทรยศหักหลังแบบนั้นล่ะ
ฉึก!
"กรี๊ดดดดดดด!" เสียงกรีดร้องโหยหวนทรมานดังระงมทั่วห้องแต่กลับไม่มีใครได้ยินเพราะห้องเก็บเสียงไว้อย่างมิดชิด คราบเลือดที่กระเด็นจากการเฉือนเนื้อหญิงสาวตรงหน้าโดนชุดคลุมสีขาวและใบหน้าที่กำลังคลุ้มคลั่งราวกับฆาตกรโรคจิต ภาคินทิ้งมีดลงบนข้างกายเธอแล้วลุกขึ้นเต็มความสูง มือหนายกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ติดตามใบหน้าออกแล้วหลุบตามองเลือดที่ไหลนองบนพื้น หญิงสาวหมดสติไปแล้วและอีกไม่นานคงหมดลมหายใจ
ภาคินเดินออกมาจากห้องโถงก็พบเข้ากับร่างของใครบางคนที่มาพร้อมกับหน่วย BUC ชายหนุ่มจึงส่งยิ้มให้แล้วเอ่ยทักทั้งที่คราบเลือดยังติดตามใบหน้า
"ช่วงนี้ทำไปกี่คนแล้ว" เสียงทุ่มของชายวัยกลางคนเอ่ยถามลูกชายของตนเองและในขณะเดียวกันหน่วยปกครอง BUC ก็เข้าไปเครือพื้นที่และจัดการกับเรื่องนี้ให้ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ผมอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยครับพ่อ" ภาคินตอบแล้วเดินตามหลังผู้เป็นพ่อไปยังห้องนั่งเล่น เขาถอนหายใจออกมาจากพฤติกรรมของลูกชายที่ได้ความวิปลาสนี้มาจากพ่อของเขาเต็มๆหรือก็หมายถึงปู่ของภาคินที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นแหละ
"พ่อไม่รู้ว่าจะหาคนทำความสะอาดที่ไหนมาให้ลูกแล้วนะ ทุกคนที่เข้ามาทำความสะอาดที่นี้ก็โดนลูกลงมือหมด" มันเป็นความจริงอย่างที่ปรเวทพูด แม่บ้านผู้หญิงสาวๆคือเหยื่อของภาคิน เขาจะชอบลงมือจากคนพวกนี้ และทุกคนที่เข้ามาก็ไม่มีโอกาสได้กลับออกไปอีกเลยยกเว้นเสียแต่จะเป็นศพออกไป ทุกคนที่ถูกให้มาทำงานความสะอาดที่นี้ล้วนเป็นคนที่ไร้ญาติ เพราะงั้นการตายจะเงียบหายไปแบบไหนก็ได้ มันสะดวกต่อการลงมือของเขา
"ไม่ต้องแล้วแหละครับ อีกไม่นานผมคงมีเหยื่อชิ้นโปรดแล้ว" ว่าแล้วภาคินก็เอนหลังพิงกับผนังห้องนั่งเล่น
"พ่อเหนื่อยจะพูดแล้วแหละภาคิน"
"ในเมื่อคุณย่าก็ไม่ได้ว่าอะไร พ่อไม่ต้องกังวลนะครับ เดี๋ยวอาการของผมคงหายเองเหมือนคุณปู่" ชายหนุ่มพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร
"เอาเถอะ ตอนนี้แกควรไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วไปที่คฤหาสน์ใหญ่ได้แล้ว"
"มีอะไรหรอครับ"
"ฉายตะวันกลับมาจากลอนดอนแล้ว คุณแม่เลยจัดงานเลี้ยงฉลองเล็กๆภายในครอบครัว"
"หรอครับ…" ภาคินเลิกคิ้วถาม เขาถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
"แล้วรู้มั้ยว่าฉายตะวันจะเป็นอาจารย์สอนแทนเจนนี่แล้ว"
"ผมได้ยินมาบ้างว่าเจนนี่จะโฟกัสงานกัปตันอย่างเดียว แต่ไม่คิดว่าคนที่มาแทนจะเป็นพี่ฉาย"
"ช่วงนี้ก็แวะเข้าบริษัทบ้างนะ ยังไงฉายตะวันก็ไม่มีทางโฟกัสแค่เรื่องการสอนอย่างเดียวหรอก เผลอนิดหน่อยอัคคีกับปั้นหยาคงไม่อยู่นิ่ง แกก็รู้มาตลอดว่าสองคนนั้นจ้องจะหุบหุ้นที่เป็นส่วนของพ่ออยู่" ปรเวทเล่าให้ลูกชายฟัง อัคคีคือน้องของเขาลูกชายคนกลางของโสภาและสามีส่วนปั้นหยาคือภรรยาของอัคคีและมีลูกชายและลูกสาว ฉายตะวันคนโตส่วนสานฝันเรียนมัธยมคอนแวนต์ที่ต่างประเทศ
"ครับ"
"ถ้ารู้แล้วก็รีบแต่งตัวแล้วไปที่คฤหาสน์ใหญ่ พ่อจะไปก่อน" สิ้นเสียงพูดปรเวทก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ภาคินจึงไปชำระล้างตัวเพื่อไปที่คฤหาสน์ใหญ่อย่างที่พ่อบอก และไม่นานเขาก็ได้มาถึงที่คฤหาสน์ใหญ่ซึ่งทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ในงานเลี้ยงเล็กๆ
“ไง…นายสบายดีรึเปล่า” ในตอนที่ภาคินกำลังจะเดินผ่านประตูเข้าไปในบ้านเสียงของฉายตะวันก็เอ่ยขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงักเท้าเอาไว้แล้วหันไปมองยังต้นเสียงที่พึ่งจะมาเวลาเดียวกัน
“สบายดี พี่ล่ะ”
“ไม่ได้แย่เท่าไหร่” ฉายตะวันเอ่ยตอบแล้วเดินล้วงถุงกางเกงเข้าไปหาญาติผู้น้อง ทำให้ภาคินมองเข้าด้วยสายตาสงสัยเล็กน้อยพร้อมกับหรี่ตา
“พี่มองผมแบบนี้ มีอะไรอยากถามรึเปล่าครับ?”
“นายยังเป็นเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า อาการเหมือนคุณปู่”
“อยากรู้ทำไมหรอครับ”
“เพราะถ้านายยังเป็นอยู่ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนเขาทนนายได้หรอกนะ”
“ผมคงไม่ต้องตอบคำถามพี่หรอกใช่ไหม”
“พี่แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้นายไปทำร้ายใคร” พูดจบฉายตะวันก็ก้าวเดินผ่านตัวภาคินไป แต่คำพูดของภาคินก็ทำให้เขาหยุดแน่นิ่งเอาไว้เสียก่อน
“เป็นห่วงตัวเองเถอะครับ อย่าเป็นห่วงผมเลย”
