ตอนที่ 11 เรื่องไม่คาดฝัน
EP11 เรื่องไม่คาดฝัน
ฉายตะวันไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปชายหนุ่มเพียงยกยิ้มมุมปากแล้วเดินผ่านประตูเข้าไปยังข้างใน ซึ่งวันนี้ก็นับว่าเป็นวันรวมญาติเลยก็ว่าได้ เพราะลูกๆของโสภามากันครบ หัวโต๊ะอาหารคือโสภาด้านข้างคือคู่สามีภรรยาคนเล็กอย่างปรเวท อีกข้างลูกชายคนกลางและภรรยาอย่างอัคคีและปั้นหยา ข้างสองคนนี้คือลูกสาวคนเล็กและสามี
ทันใดที่ฉายตะวันหย่อนก้นนั่งลงข้างกายผู้เป็นอาอย่างปรเวทไม่นานภาคินก็เดินตามเข้ามากันติดๆ พอทุกคนมากันครบบนโต๊ะอาหารคุณที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดก็พูดขึ้นมา
"หลานย่ามาพร้อมกันเลยนะ ได้พูดคุยกันบ้างแล้วสิ"
"ทักทายกันบ้างแล้วครับคุณย่า" ฉายตะวันเอ่ยตอบ
"แล้วเป็นยังไงบ้างตาคินรู้รึยังว่าพี่เขาจะไปสอนที่คณะของเรา"
"คุณพ่อแจ้งผมแล้วครับ"
"ย่าดีใจนะที่เห็นหลานทั้งสองคนอยู่ใกล้หูใกล้ตา"
"เมก็ดีใจเหมือนกันค่ะคุณแม่ แต่อีกหน่อยมุกดาก็คงจะกลับมาเรียนต่อมหาลัยที่ไทยแล้วนะคะ" เมสินีลูกสาวคนโตของโสภาเอ่ยขึ้น เธออยากให้ชื่อของลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองอยู่ในบทสนทนาบ้าง
"มุกดาพึ่งอยู่มัธยมปลายปีที่สี่ท้าเทียบกับของไทย เรียนอีกสองสามปีกว่าจะจบมันไม่เรียกว่าใกล้จบหรอกนะ อย่าโกหกคนแก่หน่อยเลยเม" คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้ปั้นหยาภรรยาของอัคคีนึกสมเพชอยู่ไม่น้อยที่เห็นเมสินีพยายามยัดเยียดชื่อของลูกสาวตนเองเข้ามาในบทสนทนาทั้งที่โสภาไม่ได้ถาม มันทำให้เมสินีเคียงอยู่เล็กน้อยแต่ก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกกรุ่นเคืองของตนเองเอาไว้ภายในอก
"แหม่ มันไม่นานเลยนะคะคุณแม่ สองสามปีก็แค่แป๊บเดียวเอง"
"เอาเถอะ ไว้หนูมุกกลับมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที"
"ค่ะ" เมสินีเอ่ยตอบ
"ว่าแต่หลานย่าก็อายุพอจะมีหวานใจได้แล้วนะ มีบ้างรึยัง" โสภาเริ่มบทสนทนาต่อ ในขณะเดียวกันคนรับใช้ก็เริ่มตักข้าวลงบนจานของทุกคนอย่างระมัดระวัง
"ยังไม่เจอคนถูกใจเลยครับคุณย่า อยู่ลอนดอนก็ไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องพวกนี้เลย"
"ย่าอยากให้ฉายมีแฟนได้แล้วแหละ ถ้าตาฉายมีแฟนย่าคงจะอยู่ทันได้อุ้มเหลนคนแรกของตระกูล" โสภาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง เธออายุมากพอแล้วกลัวตนเองจะไม่แข็งแรงเอาเสียก่อน เห็นหลายชายโตเป็นหนุ่มก็อยากจะอุ้มเหลนก่อนจะสิ้นลมหายใจ
คนที่คาดหวังไว้มากที่สดุก็คงจะเป็นฉายตะวันเพราะเป็นหลานคนโตที่อายุมากที่สุด ส่วนภาคินก็ยังเรียนมหาลัย มีแฟนได้แต่คงจะไม่พร้อมจะมีหลานให้ได้ ด้านมุกดาลูกสาวเมสินีก็ยิ่งไม่มีหวังเพราะยังเรียนมัธยมปลาย ถึงจะเป็นลูกของเมสินีลูกสาวคนโตแต่เมสินีและสามีก็นับว่าเป็นคู่ที่มีลูกช้าที่สุด
"ไว้ผมมีคนถูกใจแล้วจีบเธอติดเมื่อไหร่จะบอกคุณย่าเป็นคนแรกเลยนะครับ" ฉายตะวันเอ่ย ตอนนี้เขาก็พอจะมีคนที่ถูกใจบ้างแล้วแหละ รู้แค่เพียงชื่อและคณะที่เธอเรียนอยู่ก็คงไม่อยากต่อการที่จะตามหาเธอแล้ว ชายหนุ่มไม่เคยต้องการผู้หญิงคนไหนตั้งแต่เจอกันครั้งแรกมากขนาดนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่และน่าตื่นเต้นสำหรับเขามาก
วันต่อมา
ก่อนจะไปเรียนในช่วงเช้าโยเกิร์ตก็พาตนเองมาที่สถานีตำรวจ เพราะเธออยากรู้เรื่องการตายของชานนท์ให้มากขึ้นกว่านี้ เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้มันทำให้เธอต้องหาคำตอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผู้หญิงปริศนาที่บอกว่าเธอฆ่าคนคือใคร แต่คนที่เธอคนนั้นหมายถึงคงจะเป็นชานนท์พึ่งเสียชีวิตไป โยเกิร์ตยืนมองอยู่หน้าโรงพักเพียงครู่เดียวก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน
"สวัสดีครับ แจ้งความเรื่องอะไรครับ" ตำรวจที่ทำหน้าที่ทำจดคดีเอ่ยถามเมื่อเห็นเธอในชุดนักศึกษาเดินเข้ามา
"ตำรวจที่ทำคดีนี้อยู่มั้ยคะ" ว่าแล้วก็หยิบรูปของตำรวจที่ทำคดีของชานนท์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
"คดีไหน แจ้งรายละเอียดด้วยครับ"
"ฆ่าตัวตายอยู่คอนโดเมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ" ตอบเสร็จก็หยิบรูปที่ถูกพาดหัวข้อข่าวขึ้นมาให้ดูเพื่อขยายความชัดเจนอีกครั้ง
"คดีนี้ถูกปิดไปแล้ว"
"ฉันอยากพบตำรวจเจ้าของคดี คุณพ่อจะช่วยติดต่อเขาให้ได้ไหมคะ"
"ผมไม่มีข้อมูลติดต่อเขาหรอกครับ ตำรวจคนนี้ไม่ได้ทำงานอยู่ สน.ของเรา" คำตอบนั้นทำให้โยเกิร์ตสีหน้าเจื่อนลงทันที
"หมายความว่ายังไงหรอคะ"
"คดีนี้ถูกรับผิดช่วยโดยหน่วย BUC คนที่รับผิดชอบคดีก็เป็นคนของหน่วย ผมไม่สามารถให้ข้อมูลการติดต่ออะไรกับคุณได้"
"…" หน่วย BUC แบบนั้นหรอ เหมือนเธอจะเห็นรถของหน่วย BUC จอดรอฉายตะวันที่คณะเมื่อวาน แสดงว่าผู้ชายคนนั้นที่เธอบังเอิญรู้จักก็คงจะทราบเรื่องเกี่ยวกับหน่วย BUC
"ในเมื่อคดีถูกปิดไปแล้วคุณไม่ควรจะอยากรู้อะไรที่ถูกปิดไปแล้วนะครับ มันเหมือนจะเป็นการรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่"
"ขอโทษค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ" ว่าแล้วโยเกิร์ตก็เอ่ยขอโทษแล้วเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ภาคินเองก็เป็นหลานชายของตระกูลดังที่มีหน่วย BUC คอยดูแลและรักษาความปลอดภัย แต่เธอไม่กล้าถามอะไรเขาหรอก เพราะมันจะเหมือนการบอกความจริงกับเขาทุกอย่าง เธอต้องการจะหาคำตอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง มันเป็นศพที่สองแล้วที่ต้องตายตอนรู้จักกับเธอ คดีของชานนถูกสรุปว่าฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายแบบนั้นหรอ? มันฆ่าตกรรมต่างหากล่ะ มีคนกำลังเล่นตลกกับชีวิตของเธอ เขาวางแผนทุกอย่างให้เธอปั่นป่วนและอึดอัดใจแทบจะบ้าคลั่ง แล้วเขาคนนั้นเป็นใครกันล่ะ เขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
โยเกิร์ตนั่งรถมาเกือบยี่สิบนาทีก็มาถึงมหาลัย เธอเดินเข้ามายังใต้ตึกของคณะ แต่ยังไม่ทันไรก็ดูเหมือนว่าข้อมือจะถูกคว้าเอาไว้ ใบหน้าหวานหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นไดม่อน
"พี่ม่อน…"
"พี่มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย"
"เรื่องเมื่อวันก่อนหรอคะ"
"อืม"
"โยขอโทษนะคะ ที่ออกมาจากร้านโดยที่ไม่ได้บอกก่อน" โยเกิร์ตเอ่ยขอโทษออกไปด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
"ไม่เป็นไรครับ แต่วันนี้โยแก้ตัวกับพี่ได้มั้ย"
"คะ?"
"พี่มีนัดดื่มกับเพื่อนพอดี โยไปด้วยกันนะ"
"ค่ะ" โยเกิร์ตรับปากโดยที่ไม่ได้คิดอะไร เธอรู้เพียงแค่ว่าต้องเร่งมือทำทุกอย่างแล้ว
"คืนนี้พี่ไปรับนะ แล้วเจอกันนะครับ" พูดจบไดม่อนก็ยอมปล่อยมือจากเธอแล้วส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป เห็นแบบนั้นโยเกิร์ตจึงเดินเข้าไปในตึกเพื่อรอเวลาเรียน
21.00 AM.
เวลาสามทุ่มในวันเดียวกัน โยเกิร์ตนั่งเหม่อมองตัวเองอยู่หน้ากระจกภายในห้องนอน เธอกำลังใช้หวีสางผมสีดำสลวย วันนี้มาถึงอีกแล้วสินะ ที่ต้องหลอกผู้ชายเพื่อเงิน เธอได้แต่คิดในใจ ดวงตากลมโตที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีสวยเหลือบมองไปยังนอกระเบียงห้อง เธอเห็นเงาของเจ้าแมวดำที่นั่งจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว แมวตัวนี้มันมาอยู่กับเธอตั้งแต่วันนั้นที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด โยเกิร์ตไม่ได้กลัวมันเลย กลับคิดว่าแมวตัวนี้ช่วยเอาไว้เสียอีก
"ไม่อยากทำแบบนี้เลยเจ้าดำ" เธอเอื้อนเอ่ยออกมา ไม่อยากหลอกใครอีกแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากมายนัก
"…" แมวดำได้แต่จ้องมองเธอแน่นิ่ง มันนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น
"แกมองฉันแบบนั้นหิวรึไง แต่เอาอะไรให้กินก็ไม่ยอมกิน ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ" ถามเสร็จเธอก็หันมาสนใจโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นเครือ โยเกิร์ตมองรายชื่อบนหน้าจอก็พบว่าเป็นไดม่อนที่โทรมา ก่อนจะกดรับเธอก็หันไปมองยังนอกระเบียงอีกครั้ง แต่พอหันออกไปก็ไม่เห็นเจ้าแมวดำนั้นอีกแล้ว พอเห็นว่ามันไม่อยู่ เธอจึงตัดสินใจกดรับสายไดม่อนทันที
"ว่าไงคะ"
(พี่กำลังขับรถไปรับนะ)
"โอเคค่ะ โยกำลังจะเสร็จพอดี"
(ลงมารอพี่ข้างละ…)
โครม!!
