บท
ตั้งค่า

2

งานศพผ่านพ้นไปด้วยดี ตลอดสี่ห้าวันมานี้ฉันแทบไม่ได้คุยอะไรกับพ่อ เพราะท่านยุ่งจากการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ และดำเนินเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่านี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำให้กับแม่ได้

เช้าวันนี้เราทำบุญตักบาตรให้กับดวงวิญญาณของแม่ และนำเถ้ากระดูกที่เหลือจากการฌาปนกิจ ขึ้นเรือไปลอยอังคารในแม่น้ำสายหนึ่งใกล้ๆ วัด

สายตาพ่อที่ทอดมองผงกระดูกสีขาวขุ่นละลายไปกับสายน้ำ ดูเศร้าสร้อยและสำนึกผิดกว่าทุกวันที่ผ่านมา มีทั้งความเจ็บปวดและเศร้าเสียใจ คงมีอะไรมากมายที่อยากเอ่ยกับแม่ แต่ตอนนี้โอกาสนั้นมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ฉันอยากจะถามอะไรมากมายหลายอย่าง ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีโอกาสเพราะเรากำลังอยู่กันตามลำพัง ทว่าฉันกลับเลือกที่จะไม่พูดอะไร ปล่อยให้ท่านได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายกับแม่อย่างเต็มที่

ช่วงเวลาซึ่งเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ทว่าชวนให้รู้สึกถึงความอึดอัดผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ เมื่อการลอยอังคารสิ้นสุดลงเรือรับจ้างจึงพาเราสองคนมาส่งที่ฝั่ง

เมื่อเดินขึ้นบันไดมาจากท่าน้ำ มีรถเก๋งปริศนาสีดำคันหรูจอดอยู่ตรงฟุตบาทด้านหน้า พร้อมชายอายุราวๆ สามสิบลงจากรถมาเปิดประตูให้ คล้ายเขากำลังรอพวกเราอยู่แต่แรก

ด้วยความสงสัยเพราะไม่เคยเห็นรถและคนคนนี้มาก่อน ฉันจึงหันไปมองหน้าพ่อเชิงตั้งคำถาม ท่านพูดเพียงประโยคสั้นๆ แต่นั่นก็ทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง

“กลับบ้านเรากัน”

‘บ้าน’ ในความหมายที่พ่อกำลังสื่อ คงไม่ได้หมายถึงบ้านของเจ้านายเศรษฐีที่ฉันและแม่เคยอาศัยซุกหัวนอน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านที่พ่อจะพากลับไปนั้นอยู่ที่ไหน แต่ก็พยักหน้ารับและเดินขึ้นไปนั่งบนรถอย่างว่าง่าย ในความสับสนและสงสัยฉันมีความรู้สึกตื่นเต้นแฝงอยู่ด้วย

ดูจากยี่ห้อรถที่พวกเรากำลังนั่ง และผู้ชายซึ่งประจำตำแหน่งอยู่หลังพวงมาลัย ทำให้คิดจินตนาการไปได้ไกลว่าพ่อฉันคงไม่ใช่แค่รวยเฉยๆ

ถึงจะเกิดมาในครอบครัวยากจน ทว่าฉันเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ถูกรายล้อมไปด้วยคนมีฐานะ เจ้านายของแม่หรือคุณหญิงผกา เป็นภรรยาของท่านสุรศักดิ์ซึ่งเป็นถึงนักการเมืองชื่อดัง และครองเก้าอี้สำคัญในกระทรวงแห่งหนึ่ง

คนร่ำรวยและมีอำนาจ มักแวะเวียนมาเยือนบ้านของพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ฉันพอมีความรู้เกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้ และยานพาหนะที่เศรษฐีเขาใช้โดยสารกัน

รถของพ่อคันนี้เป็นยี่ห้อที่ไม่ได้นิยมเสียเท่าไหร่ เพราะราคามันสูงเกินกว่าจะนำออกมาใช้บนท้องถนน ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายในบ้านเมืองเรา

ส่วนคนขับรถโดยทั่วไปมักใส่ยูนิฟอร์มสีดำธรรมดา ทว่าพลขับด้านหน้ากลับใส่สูทผูกไท แต่งตัวเนี้ยบยิ่งกว่านักธุรกิจ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาดีเกินกว่าจะมาเป็นคนขับรถ

หลายวันที่ฉันได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับพ่อในวัด เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรหวือหวา หรือเก็บซ่อนความลับเอาไว้สักนิด นอนมุ้งเฝ้าศพแม่ อาบน้ำ กินอยู่ในวัดตั้งหลายวัน เสื้อผ้าที่สวมใส่วันถัดๆ มา ก็ล้วนได้มาจากการช่วยเหลือของคุณหญิงผกา จนฉันเริ่มรู้สึกว่าภาพลักษณ์แรกที่เห็น เป็นเพียงสิ่งที่พ่อสร้างขึ้นเพื่อให้ฉันประทับใจ

ฉันเริ่มคิดว่าความรวยของพ่อเป็นเรื่องจอมปลอม แอบรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ แต่คิดไปคิดมา อย่างน้อยก็คงดีกว่าเผชิญหน้ากับเรื่องมากมายหลังจากนี้ลำพัง

ไหนจะหนี้ที่แม่ไปกู้นอกระบบ ไหนจะเรื่องการเรียนที่ยังครึ่งๆ กลางๆ ฉันยังเรียนไม่จบและจำเป็นต้องใช้เงินอีกมากมาย ผู้ชายคนนี้ต้องรับหน้าที่ดูแลเลี้ยงดูฉันต่อจากแม่

แต่แล้วความคิดนั้นกลับต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อได้เห็นรถที่มารอรับเรา

ฉันเก็บอาการอยากรู้อยากเห็นและความสงสัยเอาไว้ แม้ปากจะคันยุบยิบอยากถามเต็มที่ พยายามเก็บข้อมูลอยู่เงียบๆ และรอเวลาให้พ่อเป็นคนเอ่ยออกมาเอง และเหมือนว่าฉันจะไม่ต้องรอเวลานั้นนานนัก เมื่อบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่เงียบสงัด ถูกทำลายด้วยบทสนทนาที่พ่อเป็นฝ่ายเริ่มต้น

“ตอนนี้พ่อพร้อมตอบทุกอย่างแล้ว หนูถามมาได้เลยนะ”

ฉันลากสายตาจากวิวนอกหน้าต่างรถหันมองเสี้ยวหน้าของคนด้านข้าง เงียบอยู่ชั่วหนึ่งอึดใจ จนใบหน้าที่มองตรงไปทางกระจกด้านหน้ารถ หันมาสบตาฉันคล้ายกำลังสงสัย

“พ่อรวยแค่ไหนเหรอคะ?”

แล้วความสงสัยนั้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อฉันถามคำถามที่เขาคงไม่คิดว่าจะได้ยินออกไป พ่อนิ่งอึ้งไปราวๆ ห้าวินาทีก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และตอบในสิ่งที่ฉันอยากรู้

“ครอบครัวเราทำธุรกิจสายการบินน่ะ”

พ่อเกริ่นขึ้นมาสั้นๆ และเริ่มอธิบายรายละเอียดเพิ่ม หลังฉันขยับกายหันไปฟังอย่างตั้งใจ

ศัพท์ที่พ่อใช้ดูทางการเกินไป บางคำเป็นภาษาอังกฤษที่ฉันไม่รู้จัก แต่เท่าที่จับใจความได้ คือพ่อเป็นเจ้าของสายการบินมากกว่าสามบริษัท ให้บริการทั้งในและนอกประเทศ ลงจอดทุกที่ที่มีสนามบินรองรับ

ทรัพย์สินของพ่อมีมากกว่าหนึ่งพันล้าน มีลูกน้องในการดูแลหลายหมื่นชีวิต และบ้านที่เรากำลังเดินทางไปตั้งอยู่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ บนที่ดินส่วนตัวเกือบหนึ่งพันไร่ ซึ่งด้านหนึ่งติดทะเลส่วนอีกด้านติดภูเขา

มีโรงงานผลิตไวน์ ซึ่งสร้างขึ้นมารองรับสวนองุ่นร่วมร้อยไร่บริเวณหน้าบ้าน อีกทั้งยังมีสนามหญ้า และคอกม้าพันธุ์หายากนับร้อยตัวรวมอยู่ในพื้นที่นั้นด้วย

กิจกรรมยามว่างอีกอย่างของพ่อ คือเก็บสะสมโบราณวัตถุและของหายากทุกชนิด ทุ่มประมูลมาโดยไม่สนว่าเงินที่จ่ายไปมันจะเกินราคาจริงของสินค้าหรือเปล่า

ฟังพ่อพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ หูฉันดับไปกลางอากาศ มีแต่เสียงอื้ออึงอยู่ในรูหูทั้งสองข้าง ไม่ใช่แค่อึ้ง แต่ตอนนี้วิญญาณฉันราวกับหลุดออกจากร่างไปแล้ว

ใครจะไปคิดไปฝัน มันเกินกว่าจะจินตนาการเสียด้วยซ้ำ ลูกแม่บ้านจนๆ ที่ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อโทรศัพท์ตกรุ่นให้ลูกใช้ เพียงชั่วข้ามคืนหลังแม่ตายจะกลายเป็นลูกสาวไฮโซพันล้าน ที่ใช้เงินราวกับเศษกระดาษ

ชื่อนิธาดาหรือ ‘นิทาน’ ที่แม่ตั้งให้ควรเป็นนิยายเสียมากกว่า ขนาดตัวฉันเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือเรื่องจริง สิ่งที่ได้รู้จากปากพ่อมันเกินกว่าที่ฉันจะรับเรื่องอะไรเพิ่มเข้าไปได้อีก สมองมันเบลอไปหมด ฉันจึงเลือกที่จะนั่งเงียบๆ ไม่ถามอะไรอีกไปตลอดทาง

จนกระทั่งรถที่เรากำลังโดยสารอยู่เริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตแนวต้นสนสูงชะลูด มองเลยเข้าไปอีกนิดเป็นไร่องุ่นที่ออกลูกเต็มต้นพร้อมเก็บผลผลิต คนงานมากมายกำลังทำหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้นท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ

เป็นเวลาอีกพักใหญ่ รถเริ่มชะลอความเร็วและเลี้ยวเข้าประตูรั้วเหล็กบานมหึมา ซึ่งค่อยๆ เปิดอ้าออกโดยอัตโนมัติ เพราะฉันไม่เห็นใครสักคนเดินมาเปิดมันให้

ทางฝั่งขวาของตัวรถมีรั้วสีขาววางยาวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ภายในนั้นมีฝูงม้าจำนวนหนึ่งทะยานวิ่งกันอย่างอิสรเสรี วิวทะเลลิบๆ เป็นภาพประกอบฉากอยู่เบื้องหลัง นี่ถ้าฉันไม่รู้อะไรมาก่อน ฉันคงคิดว่าเรากำลังเดินทางเข้าไปเที่ยวชมปราสาทในเทพนิยาย

นี่สินะคืออาณาจักรของพ่อที่ท่านกล่าวถึง ตอนฟังว่าอึ้งแล้วได้มาเห็นของจริงฉันช็อกหนักกว่าเดิมอีก ทว่าที่เห็นมาทั้งหมด ก็ยังสู้ความอลังการของสิ่งซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าไม่ได้

สิ่งก่อสร้างสไตล์ยุโรปให้กลิ่นอายปราสาทโบราณของราชวงศ์ ตั้งเด่นเป็นสง่าบนเนินดินในระยะสายตาที่มองเห็น ด้านหน้ามีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางลานกว้าง ขณะที่ด้านข้างมีสนามหญ้าสีเขียวสดพร้อมพุ่มไม้ดอกไม้ประดับ ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูรู้ว่าเป็นพันธุ์หายากและน่าจะมีราคาโคตรแพง

บ้าน... ไม่สิ ใหญ่ขนาดนี้ฉันควรจะเรียกมันว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก อยากรู้เสียจริงว่าในสิ่งก่อสร้างหลังนี้มีผู้อยู่อาศัยสักกี่คน พ่อฉันคงไม่ได้ซ่อนกองทัพคอมมิวนิสต์ หรือซุกแก๊งมาเฟียเอาไว้หรอกใช่ไหม

ฉันค่อยๆ ก้าวลงจากรถด้วยอาการขาสั่นพั่บๆ เพราะกำลังตื่นตะลึงกับความอภิมหารวยของพ่อตัวเอง นอกจากธุรกิจสายการบิน ทรัพย์สินพันล้าน และบ้านใหญ่โตประหนึ่งคฤหาสน์แล้ว ยังมีเหล่าคนรับใช้อีกนับสิบที่ออกมายืนเรียงรายรอต้อนรับเจ้านายกลับเข้าบ้าน

อีกครั้งที่มือของฉันไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับประตูรถหรู เพราะถูกชายสูงวัยแต่งกายสุภาพเดินเข้ามาแย่งเปิด และเมื่อพวกเราลงไปยืนอยู่บนพื้น กลุ่มคนเหล่านั้นต่างพากันก้มหัวให้อย่างนอบน้อม เล่นเอาฉันทำตัวไม่ถูกและเผลอโค้งตัวตอบรับด้วยท่าทางเงอะงะ

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ คุณผู้ชาย”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนลากจากพ่อหันมามองฉันพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ เขาดูเป็นคนสุภาพใจดีและมีออร่ากว่ากลุ่มคนด้านหลัง ฉันจึงเดาว่าเขาน่าจะเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน

“ยินดีต้อนรับครับ คุณหนูนิทาน”

รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อชื่อของฉันเป็นที่รู้จักที่นี่ แสดงว่าพ่อน่าจะเกริ่นข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับฉันเอาไว้บ้างแล้ว

ฉันพยักหน้าพร้อมฉีกยิ้มแหยๆ ตอบรับด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ไม่ชินกับการถูกปฏิบัติด้วยความสุภาพนอบน้อม ก่อนความสนใจของคุณลุงหัวหน้าพ่อบ้านจะถูกดึงกลับไปที่คุณพ่ออีกครั้ง

“2 คนนั้นอยู่ที่ไหน?”

คุณพ่อกล่าวถามพลางกวาดสายตาคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันที่คุณลุงจะได้เอ่ยตอบ เสียงของใครบางคนก็ดังแทรกขึ้น พร้อมผู้เป็นเจ้าของเสียงวิ่งลงมาจากขั้นบันได

“กลับมาแล้วเหรอคะ?”

เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉันพุ่งตรงเข้ามากอดคุณพ่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนผละออกมามองหน้ากัน ฉันยืนมองเหตุการณ์นั้นด้วยความสับสนงุนงงอยู่เงียบๆ

ดูจากรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ และการแต่งกาย ฉันมั่นใจว่าเธอต้องอยู่ในชนชั้นเจ้านายของที่นี่ อีกทั้งความสนิทชิดเชื้อกับคุณพ่อของฉันขนาดนี้ คงไม่น่าจะใช่ลูกสาวแม่บ้านแถวนี้อย่างแน่นอน

“แม่เราล่ะ?”

ฝ่ามือใหญ่ยกลูบกลุ่มผมสีดำสนิทของเด็กคนนั้นด้วยท่าทีอ่อนโยน จนฉันรู้สึกได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ดูผิดปกติ

‘หลานสาวอย่างนั้นเหรอ?’

เธอคงเป็นลูกเครือญาติสักคนของคุณพ่อ นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด นี่ฉันมีลูกพี่ลูกน้องหน้าตาดีขนาดนี้เลยหรือไง

แม้เธอจะมีผมและนัยน์ตาสีดำสนิท ทว่าเครื่องหน้ากลับออกทางยุโรป ไม่พ่อหรือแม่ของเธอคงเป็นคนต่างชาติ ฉันเองก็อยากเป็นลูกครึ่งกับเขาบ้างเหมือนกัน

ขนตายาวงอนจนน่าอิจฉา ดวงตากลมโตประหนึ่งตุ๊กตา คิ้วเรียวได้รูปรับกับสันจมูกโด่งคม ปากเป็นกระจับโดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ อายุแค่นี้ฉันเชื่อว่าคงไม่ได้สวยจากการศัลยกรรม

“คุณแม่กำลังเข้าครัวทำกับข้าวอยู่ค่ะ วันนี้เราจะได้ทานอาหารจานพิเศษกัน”

เธอดูตื่นเต้นและคล้ายจะมีการโปรโมตอยู่กลายๆ ขณะกล่าวตอบ

“ว้าว~ วันนี้พายุจะเข้าบ้านเราไหมนะ? ฮ่าๆ”

“อย่าแซวสิคะ เดี๋ยวคุณแม่ก็เขินไม่ยอมเข้าครัวอีกหรอก”

“จ้าๆ”

ทั้งคู่พูดจาหยอกเย้าพร้อมหัวร่อต่อกระซิกกันไปมา บรรยากาศโดยรอบตลบอบอวลไปด้วยความสุขที่ฉันเข้าไม่ถึง ความสนใจของทุกคนพุ่งตรงไปยังเด็กคนนั้น จนฉันเริ่มรู้สึกหงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุ เกิดความริษยาเล็กๆ ขึ้นภายในใจ

ก่อนหน้าที่หล่อนจะปรากฏตัวดาราเอกของงานนี้คือฉัน แต่พอเธอมาฉันกลายเป็นตัวประกอบในพริบตา แม้กระทั่งคุณพ่อก็เอาแต่พูดจาเย้าหยอกกับเธอ คล้ายลืมว่าฉันก็มีตัวตนยืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน

“อะฮึ่ม!”

เมื่อถูกเมินจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นธาตุอากาศ ฉันจึงเรียกร้องความสนใจด้วยการกระแอมเบาๆ บทสนทนาพร้อมเสียงหัวเราะหยุดลง แต่แทนที่จะเป็นคุณพ่อที่ต้องหันมาหา ทว่ากลับเป็นเด็กสาวจอมแย่งซีนปรี่เข้ามาหาฉันแทน

“นี่คงเป็นพี่นิทานสินะคะ?”

เธอกล่าวถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจ กวาดสายตามองฉันทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดศีรษะ ฉันตกใจและไม่ทันตั้งตัวจึงไม่รู้จะตอบโต้เธออย่างไร ทำเพียงพยักหน้ารับน้อยๆ

“เอมิลี่ค่ะ หรือจะเรียกว่าเอมมี่ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ดีใจที่สุดเลยค่ะที่ได้เจอหน้าพี่นิทาน”

ปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าเธอดูดีเยี่ยม ไม่ถือตัว เป็นมิตร และเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ขณะที่ฉันคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะกล่าวตอบเธอกลับด้วยคำว่าอะไรดี ทำเพียงแค่ฝืนยิ้มแห้งๆ ทั้งที่ภายในใจอยากขมวดคิ้วใส่กับท่าทางแสนเฟรนลี่จนน่าหมั่นไส้นั่น

“เข้าไปในบ้านกันเถอะ สงสารพี่นิทาน เธอเดินทางมาไกลคงอยากพักผ่อน”

คุณพ่อคงจะจับสังเกตสีหน้าฉันได้ ท่านคงพอรู้ว่าฉันไม่ชอบใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ จึงเดินนำพวกเราขึ้นบันไดเข้าไปในตัวบ้าน

เมื่อเข้ามาด้านในฉันจึงรู้ว่าสิ่งที่จินตนาการเอาไว้นั้นผิดถนัด คฤหาสน์หลังเบ้อเริ่มที่ควรจะมีผู้อาศัยจำนวนมาก ทว่ากลับเงียบสงบคล้ายอยู่กันเพียงไม่กี่คน คนซึ่งเดินผ่านไปมาให้เห็นเป็นแม่บ้านแทบทั้งสิ้น

จนกระทั่งเรามาหยุดอยู่ในห้องโถงที่ฉันเดาว่าน่าจะเป็นห้องรับแขก เพราะเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เน้นประดับไม่ได้ใช้สอย มีเพียงชุดโซฟาหรูตรงกลางห้องสามตัวเท่านั้นที่น่าจะใช้งานได้จริง

“นั่งรอพ่ออยู่ตรงนี้สักเดี๋ยวนะ”

พ่อเดินหายเข้าไปอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ โดยมีเอมมี่เดินตามติดไม่ห่างกาย ก็แค่หลานจำเป็นต้องติดแจขนาดนั้นด้วยเหรอ ฉันเป็นลูกสาวแท้ๆ ยังไม่ทำตัวแบบนั้น

ยิ่งรู้จักยิ่งน่าหมั่นไส้!

ฉันพ่นลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด พยายามหันดูนู่นนี่เพื่อให้ความขุ่นมัวในอารมณ์เบาบาง จนสายตาไปสะดุดเข้ากับแม่บ้านสาวคนหนึ่ง กำลังเดินถือถาดซึ่งด้านบนมีแก้วเปล่าพร้อมเหยือกน้ำส้มเย็นเฉียบวางอยู่เข้ามาหา สังเกตได้จากไอน้ำที่เริ่มเกาะข้างภาชนะ

เธอทรุดกายคุกเข่าข้างโต๊ะกาแฟ จัดแจงรินของเหลวในเหยือกใส่แก้วให้ และลุกเดินถอยออกไปเงียบๆ อย่างสุภาพ ฉันรู้สึกว่าคนที่นี่ดูไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้าน เจียมเนื้อเจียมตัวและสุภาพนอบน้อม แตกต่างจากคนรับใช้ในบ้านของคุณหญิงผกาลิบลับ

ฉันเลิกสนใจแม่บ้านคนนั้น และหันมาหยิบแก้วน้ำส้มยกขึ้นกำลังจะดื่ม เป็นจังหวะที่เอมมี่ออกมาจากห้องที่เพิ่งเข้าไปพอดี พร้อมกับคุณพ่อและผู้หญิงต่างชาติวัยไล่เลี่ยกับท่าน เธอคงเป็นคนในหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้ที่ถูกกล่าวถึง แม่คงของเด็กน่าหมั่นไส้คนนั้นแน่ๆ

“ยินดีต้อนรับนะจ๊ะหนูนิทาน”

ตอนแรกมันเป็นแค่การคาดเดาเอามั่วๆ แต่ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าคิดถูก ลูกถอดนิสัยมาจากแม่แบบเป๊ะๆ

เธอเดินดิ่งเข้ามาทรุดกายนั่งลงบนโซฟาข้างๆ จนหัวเข่าของเราแทบจะเกยกัน พร้อมแสดงอาการตื่นเต้นดีใจ เล่นเอาฉันวางแก้วน้ำส้มกลับที่เดิมแทบไม่ทัน

“เอ่อ ค่ะ”

ฉันอึกอักตอบกลับพร้อมขยับก้นถอยหลังหนีเล็กน้อย เธอยังมิวายขยับตามเข้ามาหา จำเป็นต้องทำตัวสนิทชิดเชื้อกับคนแปลกหน้า ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกขนาดนั้นด้วยหรือ คนที่นี่เขามีวัฒนธรรมแบบนี้กันหรือไง

“หิวไหมจ๊ะ? น้าทำอาหารรอเราเยอะแยะเลยนะ”

เธอยังคงสวมบทบาทราชินีผู้มีแต่ความอ่อนโยนและรอยยิ้ม แสดงความเป็นห่วงเป็นใยจนฉันเริ่มอึดอัด

“พี่นิทานโชคดีมากเลยนะคะ ปกติคุณแม่ไม่เคยลงมือทำอาหารให้ใครทานสักคน แม้แต่เอมมี่ยังไม่มีโอกาสเลยค่ะ”

ฝั่งขวาเป็นแม่ฝั่งซ้ายดันเป็นลูกสาวของหล่อนอีก เอมมี่เองก็เข้ามาทิ้งกายนั่งขนาบข้างฉันในระยะประชิด ประหนึ่งตอนนี้ฉันเป็นไส้กรอกที่มีขนมปังสองอันประกบ ส่วนคุณพ่อของฉันเอาแต่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองเรา พวกเขามีความสุขกัน ส่วนฉันประหม่าจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก

“อื้อ... อย่าพูดไปสิลูก แม่เขินนะ”

“ก็มันจริงนี่คะคุณแม่ เอมมี่น้อยใจได้ไหมคะเนี่ย?”

ระหว่างที่แม่ลูกงอนง้อกันข้ามหัวฉันไปมา เป็นอีกครั้งที่คุณพ่อพาฉันออกจากบรรยากาศน่าอึดอัด หรือเขากำลังพาฉันเข้าสู่เรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิมก็ไม่รู้

“นิทาน”

“คะ?”

ฉันตอบรับคำเรียกขานจากพ่อด้วยใบหน้าที่มีแต่ความสงสัย ทำไมจู่ๆ สีหน้าพ่อถึงเปลี่ยนไป รอยยิ้มถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม แถมบรรยากาศยังชวนมาคุแปลกๆ

“พอดีพ่ออยากแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวของเรา”

ก็แค่แนะนำให้รู้จักกัน จำเป็นต้องทำสีหน้าท่าทางจริงจังขนาดนั้นด้วยเหรอ อย่างกับพาฉันไปทำความรู้จักกับคนสำคัญระดับประดับ

“อ๋อค่ะ ได้สิคะ พวกเขาอยู่ไหนเหรอ?”

ฉันกวาดสายตามองหาครอบครัวที่พ่อพูดถึง แต่กลับพบเพียงแค่เราสี่คนในห้องโถงนี้

ไหนล่ะครอบครัวคนอื่นๆ คงไม่ได้มีแค่หลานสาว กับคุณป้าหรือคุณน้าคนนี้หรอกใช่ไหม มันดูน้อยเกินไปนะสำหรับครอบครัวที่อาศัยกันอยู่ที่นี่

ฉันลากสายตากลับมามองหน้าคุณพ่ออีกครั้งอย่างเฝ้ารอคำตอบ ทว่าท่านไม่ได้ตอบคำถามที่ฉันสงสัย แต่เริ่มแนะนำบุคคลซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างให้ฉันรู้จักอีกครั้งแทน

“นั่นคือน้องสาวของลูก เธอชื่อเอมิลี่อันนี้ลูกคงรู้อยู่แล้ว”

น้องสาว? พ่อคงจะหมายถึงลูกพี่ลูกน้องกันตามที่ฉันเข้าใจมาตั้งแต่แรกสินะ

“ส่วนนั่น... เธอชื่อเอมิเรีย”

ยัยป้าฝรั่งคนนี้ชื่อคล้องจองกับลูกสาวเสียจริง มีเรียกผิดเรียกถูกกันบ้างหรือเปล่าเนี่ย แต่จะว่าไป... พวกเธอไม่ได้คล้ายกันแค่ชื่อ หน้าตายังเหมือนราวกับคนคนเดียวกันในเวอร์ชันต่างอายุ แม่ลูกกันของแท้จริงๆ

ขณะตั้งใจฟังฉันรู้สึกกระหายน้ำมาก ตอนแรกที่ตั้งใจจะดื่มน้ำส้ม ทว่ากลับถูกคุณป้าเอมิเรียขัดขวางเลยต้องวางแก้วคืนที่เดิม แต่ตอนนี้ฉันทนไม่ไหวแล้ว ลำคอแห้งผากราวกับมีเศษทรายนับล้านอยู่ด้านใน จึงเอื้อมหยิบแก้วขึ้นมาอีกครั้งหวังจิบ

แต่ดูเหมือนการดื่มน้ำส้มครั้งที่สองของฉัน ก็ดูท่าว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จอีกครั้ง มันหลุดหล่นออกจากมือตกลงสู่พื้น เมื่อคุณพ่อเอ่ยประโยคถัดมา

“เธอเป็นภรรยาของพ่อเอง”

“...!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel