1
‘เด็กคนนั้นน่าสงสารจังเนาะ? กำพร้าพ่อ ไร้ญาติ แถมแม่ยังมาตายอีก’
‘นั่นสิ แล้วหลังจากนี้จะอยู่ยังไง? อายุก็น่าจะเพิ่ง 15 16 เองมั้ง’
‘ถ้าพิมลพอมีเงินเก็บบ้างก็คงไม่น่าห่วง แต่เท่าที่ฉันรู้มาเหมือนหล่อนจะมีแต่หนี้รอบตัว แถมยังเป็นหนี้นอกระบบอีกต่างหาก’
‘แบบนี้ลูกสาวจะต้องมารับใช้หนี้แทนหรือเปล่าเนี่ย อายุแค่นี้ เรียนก็ยังเรียนไม่จบ จะเอาอะไรไปใช้หนี้แทนแม่ได้ล่ะ?’
‘หน้าตาสะสวย ผิวพรรณก็ดี อกเป็นอกเอวเป็นเอวแบบนี้ ฉันว่าคงไม่พ้นร่างกาย’
เสียงดนตรีจากเครื่องไฟซึ่งมีคนอาสามาเปิดให้ฟรีในงานขาวดำ เพื่อสร้างบรรยากาศที่มีแต่ความเสียใจอยู่แล้วให้เศร้าโศกยิ่งขึ้นไปอีก ดังลอดรูหูซ้ายและผ่านออกไปทางรูหูขวา
ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงทำนองเพลงเหล่านั้น เพราะเอาแต่โฟกัสคำซุบซิบนินทาของเหล่าบรรดาผู้ใหญ่สามสี่คน ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกทางด้านหลัง ในระยะที่ห่างไม่ถึงสามเมตร
ด้านหน้าของฉันมีกรอบรูปบานใหญ่ของผู้หญิงวัยสี่สิบต้นๆ ที่เป็นหัวข้อสนทนาของกลุ่มคนเหล่านั้น ระบุชื่อนามสกุลพร้อมวันชาตะมรณะตั้งอยู่
ถัดออกไปเพียงนิด ร่างไร้วิญญาณของเธอนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงเย็น มีดอกไม้สีขาวสะอาดซึ่งได้รับการอนุเคราะห์จากเศรษฐีใจดี ประดับประดาอย่างสวยงาม
หลังจากนี้เธอคงไม่ต้องทุกข์ทรมานจากความยากจน ไม่ต้องลำบากทำงานเป็นขี้ข้าใคร เพื่อหาเงินส่งลูกสาวเพียงคนเดียวเรียนให้จบอีกแล้ว
ในที่สุดเธอก็ค้นพบความสงบสุข และทิ้งโชคชะตาอันเลวร้ายเหล่านั้นไว้ให้ลูกสาวอย่างฉันต้องเผชิญแทน
แม่ผู้ให้กำเนิด แม่บังเกิดเกล้า หล่อนใช้อะไรคิดใช้อะไรตัดสินใจ เลือกจบชีวิตตัวเองทั้งๆ ที่ลูกสาวเพียงคนเดียว เพิ่งจะอายุสิบหกไปหยกๆ เมื่อวานนี้
ตัดช่องน้อยแค่พอตัว ทุเรศสิ้นดี!
วันเกิดทั้งทีแทนที่จะถูกรับกลับมาฉลองพร้อมหน้า แต่ฉันกลับต้องมาร่วมงานศพแม่ตัวเอง น่าประทับใจเสียจริงสำหรับของขวัญวันเกิดชิ้นนี้
แม้เราสองคนแม่ลูกจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่ไร้ความอบอุ่น ทะเลาะมากกว่าพูดคุยปรึกษา หรือขาดความเข้าใจกันก็ตาม
ยอมรับว่าตลอดมาฉันมักแสดงออกว่าเกลียดแม่ตัวเอง ไม่ยอมรับในชะตาชีวิตที่ต้องมีแม่จนๆ เป็นแค่คนรับใช้ในบ้านเศรษฐี ถูกเพื่อนล้อว่าเป็นลูกขี้ข้าตั้งแต่จำความได้
พยายามตั้งใจเรียนเพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่อนาคตที่ดี พาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่รอบข้างมีแต่คนร่ำรวย เลือกคบแต่เพื่อนมีฐานะ หรือแม้กระทั่งสร้างภาพว่าตัวเองก็เป็นลูกคุณหนูคนหนึ่ง
มันเหนื่อยนะกับการต้องพยายามเป็นในสิ่งที่มันไม่ใช่ความจริง แต่ฉันจะไม่มีวันกลับไปอยู่จุดเดิมอีกแล้ว จุดที่ถูกตราหน้าว่าเป็นแค่ลูกแม่บ้าน ถูกเหยียบย่ำกลั่นแกล้งรุมรังแกราวกับฉันไม่ใช่มนุษย์
เมื่อจบมัธยมต้นฉันจึงสอบชิงทุนเข้าโรงเรียนระดับประเทศ เป็นอะไรที่เหนื่อยและท้อแท้มากเพราะต้นทุนครอบครัวต่ำ แม่ไม่มีเงินพอจะส่งฉันเรียนพิเศษ หรือซื้ออุปกรณ์รองรับการเรียนให้ เลยต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แม้ต้องใช้วิธีสกปรก อย่างการขโมยหนังสือเรียนเสริมของเพื่อนในห้องก็ตาม
ในที่สุดฉันก็ได้มาอยู่โรงเรียน ที่สภาพแวดล้อมรอบข้างมีแต่ลูกคุณหนูสมใจอยาก เป็นโรงเรียนประจำซึ่งมีค่าใช้จ่ายสารพัด
ฉันได้ทุนก็จริง แต่เรื่องอาหารการกินและของใช้ส่วนตัวต่างๆ ยังคงต้องใช้เงินจากผู้ปกครอง และนั่นคือต้นเหตุของการเป็นหนี้ เงินที่แม่เบิกล่วงหน้ากับเจ้านายเศรษฐีไม่เพียงพอต่อค่าจ่ายของฉัน
ฉันต้องการขัดเกลาตัวเองให้สมกับตัวต้นใหม่ ลูกสาวเถ้าแก่ใหญ่ในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ จึงจำเป็นต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง เพื่ออัพเกรดตัวเองให้สมฐานะจอมปลอมที่สร้างขึ้น
ทุกอย่างที่ทำทั้งหมดก็เพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ฉันต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้
แต่แม่ก็คือแม่ ฉันยังคงมีความรู้สึกเหมือนที่ลูกคนอื่นๆ มีให้กับแม่ของตน เพียงแค่ไม่ได้แสดงออกมาก็เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นในวันนี้...
ฉันไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่ร้องไห้สักแอะ ภายนอกดูไร้ร่องรอยของความเสียใจ สุขุม นิ่งขรึม และเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น
เอาแต่นั่งเงียบอยู่หน้าโลงศพ ไม่พูดจากับใคร ไม่รับแขก ไม่ทักทายผู้ใหญ่ แม้กระทั่งเจ้านายของแม่ที่เดินมาเอ่ยคำปลอบโยน ฉันก็ยังทำราวกับเธอเป็นเพียงธาตุอากาศ จนเกิดเสียงซุบซิบนินทาขึ้นอีกครั้ง
‘เด็กคนนี้ไร้มารยาทชะมัด คุณหญิงผกาเข้าไปพูดคุยด้วยแต่กลับเมินเฉยใส่’
‘ไม่ใช่แค่ไร้มารยาทนะ หล่อนยังดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่แม่ตัวเองตายเลย’
‘เด็กอะไร๊~ แม่ตายทั้งคนยังนั่งนิ่งอยู่ได้’
ชิ! พวกขี้นินทา เกลียดชะมัด ยิ่งพยายามหนียิ่งได้เจอ ฉันต้องการหลุดออกจากสภาพแวดล้อมแบบนี้!!
ถึงเวลาแล้วที่ต้องปกป้องตัวเองบ้าง ฉันนั่งฟังพวกปากหอยปากปูที่ไม่เจียมสังขารเม้ามอยกันมานานพอแล้ว และตอนนี้ก็หมดความอดทนแล้วด้วย จึงลุกขึ้นจากเสื่อหันหลังกลับไปเผชิญหน้า และปะทะฝีปากกลับเล็กน้อย
“อย่าปากดีสิคะป้าๆ เดี๋ยวก็ได้ลงไปนอนในโลงกับแม่หนูหรอก”
พวกหล่อนเบิกตาค้างอ้าปากเหวอ คงตกใจไม่ก็ช็อกกับการกระทำของฉัน ก่อนหนึ่งในสี่คนนั้นจะตั้งสติได้และสวนกลับด้วยท่าทางโกรธจัด
“ต๊าย~ ยัยเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน! ไม่รู้จักสัมมาคารวะ!! เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ได้ยังไงกัน!!?”
หล่อนหยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยกนิ้วชี้หน้าต่อว่าฉันดังลั่นศาลาวัด แขกเหรื่อคนอื่นๆ จึงเริ่มหันมาให้ความสนใจ พร้อมเสียงซุบซิบนินทาดังเซ็งแซ่
ฉันอยู่ของฉันดีๆ อยู่อย่างเงียบๆ แต่กลับเอาไปพูดว่ากันสนุกปาก อีพวกป้าข้างบ้านที่ไม่ได้รู้อะไรจริงแต่กลับทำตัวเหมือนรู้ดีไปหมด วันไหนไม่ได้นินทาใครเหมือนจะขาดใจตาย ประหนึ่งชีวิตนี้ถูกหล่อเลี้ยงและขับเคลื่อนด้วยเรื่องของคนอื่น
ฉันจะไม่ยอมเป็นเป้าโจมตีฝ่ายเดียวแน่ คนประเภทนี้ต้องได้รับการสั่งสอน
“ก็ผู้ใหญ่อย่างป้าๆ ไม่น่าให้เกียรตินี่คะ ทำไมหนูจะต้องมีสัมมาคารวะด้วย?”
การลอยหน้าลอยตาตอบโต้ดูท่าจะปั่นประสาทคู่สนทนาได้เป็นอย่างดี หน้าของอีกฝ่ายเห่อแดงด้วยความโมโห สองมือจิกกำแน่น พร้อมสันกรามที่นูนขึ้นจากการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนเห็นได้ชัด สายตาแข็งกร้าวจ้องมองฉันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
แต่หล่อนคงสังเกตเห็นว่าผู้คนให้ความสนใจกับเรื่องนี้อยู่มาก จึงแสดงความรู้สึกออกมาได้ไม่เต็มที่ และคงไม่กล้าพอจะทำในสิ่งที่ใจต้องการ จึงข่มความโกรธและกัดฟันพูดคุยกับฉันด้วยความสุภาพแทน
“หัดให้ความเคารพกันหน่อยนะหนู ป้าอายุมากกว่าแม่เธออีก!”
แต่นั่นไม่ใช่วิถีของฉัน ฉันไม่อาย ไม่แคร์ ไม่สนใจใครหน้าไหนที่ไม่ได้มีผลกับชีวิตฉันทั้งนั้น
“ทำตัวให้น่าเคารพก่อนสิคะ นี่ยังดีนะ หนูยังให้ความเกรงใจไม่เรียกป้าว่า ‘อีแก่!’”
“กรี๊ด!!”
ดูท่าป้าแกคงจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่หลังได้ยินคำที่ฉันทิ้งท้ายเอาไว้ เลยระเบิดเสียงกรีดร้องจนสุดแรง อีกทั้งยังกระทืบเท้าปึงปังและง้างมือทำท่าจะเข้ามาตบ
ขณะที่ฉันยื่นหน้าท้าทายอย่างไม่เกรงกลัวคนซึ่งมีขนาดตัวใหญ่กว่า ทว่าการกระทำนั้น กลับถูกหยุดยั้งไว้ด้วยใครบางคน
ชายแปลกหน้าวัยกลางคน แต่งตัวภูมิฐาน ผิวพรรณดูผู้ดี มีรัศมีความร่ำรวยแผ่กระจายรอบตัว ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่มีทางรู้จักและไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเขามาก่อน กำลังจ้องมองคุณป้าขี้นินทาด้วยสายตาดุดัน
เขาดูโกรธและไม่พอใจมาก สังเกตได้จากการจับข้อมืออวบๆ นั่นคล้ายออกแรงบีบจนเกิดการสั่นเกร็ง อีกทั้งใบหน้าของคุณป้าเริ่มเหยเกขึ้นเรื่อยๆ ก่อนร้องและออกแรงสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม
“โอ๊ย! เจ็บ!! คุณเป็นใคร มาจับฉันไว้ทำไม?”
“ผมต่างหากที่ควรถามว่าคุณเป็นใคร ถึงกล้ามาทำร้ายลูกสาวผม!?”
‘ลูกสาว?’
ไม่ใช่แค่ฉันที่อุทานคำนี้ออกมา คนที่มาร่วมงานศพและกำลังยืนมุงมองเหตุการณ์ในบริเวณนั้นก็เช่นกัน เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าฉันเป็นเด็กที่กำพร้าพ่อ
ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตะลึง ผู้ชายคนนั้นผลักคุณป้าขี้นินทาออกจนเธอเซเกือบหงายหลังล้มลง จากนั้นจึงหันหน้ามามองฉันพร้อมคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น สายตาของเขาอ่อนโยนผิดกับช่วงเวลาก่อนหน้า ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ฉันยืนตัวแข็งทื่อด้วยความสับสนระคนตกใจ
“นิทาน... กลับบ้านกับพ่อนะลูก”
‘พ่อ’
คำคำนี้เป็นอะไรที่ดูเกินเอื้อมสำหรับฉันมาก เพราะตั้งแต่จำความได้แม่ไม่เคยปริปากพูดถึงผู้ชายคนนี้ จนกระทั่งฉันเริ่มรู้ความจึงเอ่ยปากถามเรื่องพ่อ
แม่บอกว่าพ่อตายจากพวกเราไปนานแล้ว ก่อนที่ฉันจะลืมตาดูโลกเสียอีก แต่ด้วยความเป็นเด็กฉันจึงมักถามซอกแซกเกี่ยวกับสิ่งที่สงสัย
เป็นธรรมดาที่ลูกทุกคนอยากรู้จักพ่อของตัวเองว่าเป็นใคร หน้าตาอย่างไร นิสัยแบบไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา ทว่าแม่มักจะอึกอัก พูดจาติดขัด และดูลำบากใจเวลาตอบ ท่านไม่เคยสบตาฉันสักครั้งเวลาที่เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตลอดมา... ฉันเข้าใจว่าสาเหตุที่แม่มีท่าทางแบบนั้น เป็นเพราะท่านคงรู้สึกเศร้าใจกับการสูญเสียสามี เลยเลือกที่จะไม่ซักไซ้หรือถามไถ่อะไรเกี่ยวกับพ่ออีก ตัดจบตามที่รับรู้คือพ่อตายแล้ว และพับเก็บทุกความสงสัยทุกความอยากรู้ เอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของความทรงจำซึ่งแทบไม่มีเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น
เด็กที่เติบโตมามีเพียงแค่แม่ แน่นอนว่าความอิจฉาริษยาย่อมมีบ้าง เห็นเพื่อนมีพ่อแม่มารับมาส่งที่โรงเรียนพร้อมหน้า ตัดภาพมาที่ฉันบางวันยังต้องหาทางกลับบ้านเอาเอง ไม่รถโดยสารฟรีก็เดินเท้ากลับ เพราะแม่ทำงานหนักจนลืมเวลามารับที่โรงเรียน
มองย้อนกลับไปในอดีต รู้สึกภาคภูมิใจและชื่นชมตัวเองมาก เติบโตมาได้อย่างไรจนทุกวันนี้ เด็กบางคนคงถูกจับขึ้นรถตู้ไปเป็นขอทาน ไม่ก็ถูกคนสติไม่ดีฆ่าข่มขืนไปนานแล้ว
แต่ฉันกลับยังรอดมาใช้ชีวิตอันน่าสมเพชได้ต่อ ชาติที่แล้วคงทำเวรกรรมเอาไว้เยอะเกิน สวรรค์เลยยังไม่ปล่อยให้ไปพานพบกับความสงบสุข
คนที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เจอ คำที่ไม่เคยฝันว่าจะมีโอกาสได้เอ่ย จู่ๆ ตอนนี้เขากลับมาปรากฏตัวตรงหน้า ผู้ชายที่ฉันเคยโหยหามาโดยตลอด ทว่าปัจจุบันความรู้สึกพวกนั้นมันสลายหายไปจนแทบไม่หลงเหลือ
ในตอนนี้หัวใจฉันมันมีอยู่สองความรู้สึก หนึ่งคือดีใจที่ตัวเองยังมีพ่อ ไม่ต้องถูกส่งตัวไปสถานสงเคราะห์หรือหาใครก็ไม่รู้มารับอุปการะเลี้ยงดู
แต่อีกหนึ่งความรู้สึกคือความเกลียดชัง ถ้าที่ผ่านมาพ่อไม่ได้ตายอย่างที่แม่บอกแล้วเขาทิ้งลูกทิ้งเมียไปอยู่ไหน ทำไมถึงเพิ่งกลับมาเอาตอนนี้ ปล่อยให้ฉันกับแม่ต้องทนตกระกำลำบากอยู่ได้ไงตั้งสิบกว่าปี มาแสดงตัวในวันที่แม่ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วเพื่ออะไร
“คุณไปอยู่ที่ไหนมาคะ?”
คำถามมากมายอัดอั้นอยู่เต็มหัวใจ สิ่งที่ฉันอยากรู้มีเยอะแยะเต็มไปหมด ทว่านี่กลับเป็นประโยคแรกที่ฉันเลือกจะเอ่ยถาม เมื่อเจอหน้าพ่อตัวเองครั้งแรกในรอบสิบหกปี
รอยยิ้มอ่อนโยนเจื่อนลงช้าๆ ความรู้สึกผิดเริ่มแผ่กระจายบนใบหน้า ที่เริ่มมีริ้วรอยจากตีนกาปรากฏให้เห็นจางๆ ดวงตาหลุบลงไม่กล้าสบ อ้ำอึ้งอึกอักคล้ายลำบากใจในการเอ่ยตอบ
“ทำไมเหรอคะ คำถามนี้มันยากเกินที่จะตอบหรือไง? หนูไม่ได้ถามคุณเสียหน่อยว่าเพราะอะไรถึงทิ้งแม่กับหนู”
เมื่อเขาไม่ยอมพูดฉันจึงถามขยี้จี้จุดหนักขึ้น ก็ไม่ได้อยากทำพฤติกรรมไม่น่ารักต่อหน้าพ่อที่เพิ่งได้เจอกันแค่ไม่กี่นาทีหรอกนะ แต่มันอดแค้นเคืองไม่ได้จริงๆ
ใครจะมองว่าฉันนิสัยเสียก็มองไป เข้าใจว่าเป็นเด็กไร้สัมมาคารวะก็เรื่องของเขา ไม่ได้เป็นฉัน... ไม่มีวันเข้าใจหรอก
“พ่อขอโทษ”
คนที่เรียกตัวเองว่าพ่อสาวเท้าเข้ามาหา ยกมือทำท่าจะจับแขนฉัน ทว่าร่างกายมันกลับเบี่ยงหลบสัมผัสนั้นโดยอัตโนมัติ คล้ายกับว่าในส่วนลึกความรู้สึกที่มีให้กับเขามันแย่มากกว่าดี
“สำนึกได้ตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยเหรอคะ? แม่ของหนูที่นอนอยู่ในโรงตรงนั้นคงไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกแล้ว”
ฉันหันหน้าไปมองโรงเย็นพร้อมกับหยดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลริน ยกหลังมือขึ้นปาดมันออกลวกๆ และลากสายตากลับมามองคู่สนทนาอีกครั้ง
“พ่อไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ พ่อเองก็เสียใจที่แม่ของลูกไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
“…”
“พ่อรู้ตัวว่าผิด รู้ตัวว่ามาช้าเกินไป ต่อจากนี้ให้พ่อได้ทำหน้าที่ต่อจากแม่ของลูกเถอะนะ ให้พ่อได้ชดเชยทุกอย่างให้กับลูกเถอะ”
ร่างสูงตระหง่านทรุดกายคุกเข่าก้มหน้าร้องไห้ เขาดูสำนึกผิดอย่างจริงใจ ฉันไม่รู้สึกถึงความเสแสร้งจอมปลอมใดๆ ในการแสดงออกเหล่านั้น
ฉันรู้ ฉันเข้าใจ คนเราทุกคนมักมีเหตุผลในทุกการกระทำของตัวเอง แต่มันอยู่ที่ว่าเหตุผลของผู้ชายคนนี้ เพียงพอให้ฉันยอมอภัยให้กับเขาหรือเปล่า มันสำคัญพอที่เขาต้องเลือกทิ้งลูกทั้งคนไปได้ไหม
“งั้นก็ตอบมาสิคะว่าทิ้งหนูไปทำไม? แล้วหนูจะพิจารณาเองว่าคุณสมควรได้เป็นพ่อของหนูหรือเปล่า”
ฉันไม่ได้อวดเก่ง ไม่ได้ถือดี หรือมีทางเลือกอะไรมากมายนัก แม่ซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวและเป็นทุกอย่างของฉันก็ตายจากไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อจากนี้ชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไร
ฉันอาจต้องไปเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ไม่ก็เป็นขอทานอยู่ตามสะพานลอย หรือเลวร้ายกว่านั้นฉันอาจต้องขายตัวหาเงินมาประทังชีวิต หรือบางทีอาจถูกพวกแก๊งทวงหนี้ฆ่าเอาอวัยวะไปขายตามตลาดมืด
แต่ฉันมีศักดิ์ศรี ฉันมีสิทธิ์เลือก ว่าจะให้ผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบคนนี้มาทำหน้าที่พ่อหรือเปล่า ไหนๆ ชีวิตที่ผ่านมามันก็อาภัพอยู่แล้ว ใช้ชีวิตต่อโดยไร้พ่อก็คงไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอกมั้ง หรือฉันควรตายตามแม่ไปซะให้มันจบๆ
ไม่สิ ไม่ได้! ความฝันของฉันคือการมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ลำบากตรากตรำมาตั้งเท่าไหร่ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ฉันเริ่มมีเพื่อนรวย มีสังคมที่เต็มไปด้วยลูกคุณหนูคุณนาย ผู้ชายมีเงินเริ่มหันมาให้ความสนใจ
เป้าหมายที่วางไว้เข้าใกล้คำว่าสำเร็จไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นฉันจะทำเรื่องโง่ๆ อย่างการจบชีวิตตัวเองไม่ได้ ต้องอยู่เสวยสุขกับสิ่งที่อุตส่าห์พยายามทำมาทั้งหมดก่อน
ฉันกวาดสายตาสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอีกครั้งอย่างตั้งใจ การแต่งกายดูเรียบหรูมีราคา ดูท่าน่าจะเป็นแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า คงใช้ของแพงๆ ดูแลตัวเองอย่างดี ทั้งๆ ที่อายุก็น่าจะเกือบห้าสิบแล้วแท้ๆ แต่ร่างกายผิวพรรณผิดกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันลิบลับ
หรือผู้ชายซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้า จะเป็นหนทางเดียวที่จะพาฉันไปถึงความฝันนั้น ตัวตนลูกสาวเจ้าสัวที่ฉันสร้างขึ้นคงไม่เกินจริงแล้วสินะ ฉันกำลังจะได้เป็นลูกคุณหนูอย่างที่มโนเอาไว้แล้วใช่ไหม
เรื่องศักดิ์ศรีคงต้องช่างมันไว้ก่อน บุญคุณความแค้นอะไรค่อยไปชำระทีหลังก็แล้วกัน
“พ่อ...”
“ไม่ต้องอธิบายแล้วค่ะ หนูไม่อยากรู้แล้ว”
“แต่...”
“เอาเป็นว่าต่อจากนี้ คุณก็ทำหน้าที่ที่เคยละเลยไปให้ดีก็แล้วกันนะคะ คุณพ่อ...”
ฉันรีบแย่งพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ปริปากอธิบายอะไร เขาดูตกตะลึงกับการตัดสินใจซึ่งดูสวนทางกับท่าทีที่ฉันแสดงออกก่อนหน้า ถ้ามัวแต่ต่อความยาวสาวความยืด ฉันคงกลับคำลำบาก ตัดสินใจกลืนน้ำลายตัวเองตอนนี้มันดูทุเรศน้อยกว่า
อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะ ที่ฉันยอมง่ายดายทั้งๆ ที่ช่วงแรกแสดงอาการต่อต้านขนาดนั้น เพราะฉันต้องการบันไดเหยียบขึ้นไปหาความฝัน ไม่ใช่ใจอ่อนเพราะอยากมีพ่อ
ความรู้สึกยินดีมันตายจากฉันไปนานแล้ว ตอนนี้ฉันมีแต่ความทะเยอทะยาน อะไรที่ขาดฉันต้องการเติมให้เต็ม สิ่งที่ไม่มีฉันต้องหามาให้ได้ อยากได้อะไรต้องได้ อยากมีอะไรต้องมี ต่อไปนี้ฉันจะเอาแต่ใจให้ถึงที่สุด ถือซะว่าเขากำลังจะได้ชดใช้ในสิ่งที่สมควรทำให้กับลูกสาวอย่างฉันก็แล้วกัน
คุณพ่อ!
