3
เพล้ง!!
ฉันนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อจ้องหน้าคุณพ่อตาเขม็ง มือยังคงยกค้าง ทั้งๆ ที่แก้วหล่นแตกกระจายลงบนพื้นหินอ่อนเนื้อดีไปแล้ว
ไม่รู้ว่าควรนิยามความรู้สึกและอาการตอนนี้อย่างไรดี ร่างกายชาไปหมดทุกส่วน หูเกิดอาการอื้ออึ้งครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ในรอบหนึ่งวันนี้ ได้ยินเสียงจังหวะหัวใจตัวเองเต้นดังก้องอยู่ในโสตประสาท มันไม่ได้เร็วกว่าปกติ ทว่ามันเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บบริเวณทรวงอกด้านซ้าย
เท่าที่เข้าใจ ฉันว่ามันคืออาการของคนตกใจจนขวัญหาย สติสัมปชัญญะทุกอย่างหยุดทำงานกลางอากาศ แม้ไม่ได้เป็นลมล้มพับและยังคงนั่งลืมตาเหมือนคนปกติที่รู้สึกตัว ทว่าสติสตังหลุดลอยออกไปไกลมากแล้ว
ฉันไม่ได้ช็อกที่คุณพ่อมีภรรยาอยู่ ก็แอบคิดไว้บ้างแล้วล่ะว่ามันอาจเป็นแบบนั้น ส่วนน้อยนักที่คนเราจะใช้ชีวิตอยู่โดยไร้คู่ครอง ยิ่งคนที่มีพร้อมและสมบูรณ์แบบในทุกด้านอย่างท่าน เปอร์เซ็นต์ที่จะมีครอบครัวย่อมสูงกว่า
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจและค่อนไปทางผิดหวัง คือเรื่องของเด็กสาวที่เข้าใจว่าเป็นเพียงแค่ลูกพี่ลูกน้องกัน คำว่า ‘น้องสาว’ ที่พ่อพยายามสื่อคงหมายถึงน้องสาวต่างแม่ ที่มีสายเลือดเดียวกันอยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของฉันต่างหาก
เอมมี่คงอายุไม่ได้ทิ้งห่างอะไรกับฉันมากนัก ไม่แน่เธออาจอายุน้อยกว่าเพียงแค่หนึ่งหรือสองปี นั่นเท่ากับว่าช่วงเวลาที่ฉันกำพร้าพ่อ ใช้ชีวิตตกระกำลำบากอยู่กับแม่สองคนจนกระทั่งท่านตาย
พ่อกำลังมีความสุขอยู่กับผู้หญิงสองคนนี้ ในบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย กินอาหารเลิศรสซึ่งถูกปรุงขึ้นมาจากวัตถุดิบชั้นดี เดินทางไปไหนมาไหนโดยมีคนขับรถให้ตลอด ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเองเพราะมีแม่บ้านคอยดูแลรับใช้
ขณะที่แม้แต่คอมพิวเตอร์มือสองสักเครื่อง เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ฉันยังไม่มีโอกาสได้ครอบครอง แต่พวกเขากลับถือกระเป๋าแบรนด์เนมราคาหลักสิบล้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าตามเทรนด์แฟชั่น หรือกระทั่งบินข้ามประเทศเพียงเพื่อไปดูคอนเสิรต์ของศิลปินคนโปรด
ทานอาหารในภัตตาคารหรูจากฝีมือเชฟชั้นนำทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ตัดภาพมาที่ฉันต้องนั่งกินของเหลือหลังจากครอบครัวเจ้านายแม่อิ่มกันแล้ว
มันยุติธรรมกับเราสองแม่ลูกแล้วหรือ?
นี่ใช่ไหมคือเหตุผลที่พ่อทิ้งพวกเราไป?
“หนูขอคุยกับคุณพ่อตามลำพัง 2 คนได้ไหมคะ?”
นานมากกว่าฉันจะยอมปริปากพูดอะไร และในระหว่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ คุณพ่อยืนมองฉันด้วยแววตาสำนึกผิด ขณะที่สองแม่ลูกนั่งสงบเสงี่ยมผิดจากช่วงเวลาก่อนหน้านั้นอย่างลิบลับ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดจนฉันอยากจะลุกเดินหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรไปที่ไหนดี เอมมี่กับแม่ของเธอมองหน้าฉันสลับกับคุณพ่อ และเมื่อได้รับสัญญาณเป็นการพยักหน้าเบาๆ พวกเธอจึงลุกเดินออกจากห้องนี้ไป
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่เหลือเพียงเราสองคนพ่อลูก แต่แทนที่ฉันจะเริ่มบทสนทนาตามที่ตั้งใจไว้ กลับเอาแต่นั่งอมน้ำลายไม่กล้าปริปาก
อยู่ๆ ก็รู้สึกกลัวคำตอบที่ต้องหลุดออกจากปากคุณพ่อหลังจากฉันเอ่ยถาม ไม่พร้อมจะรับฟังขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งๆ ที่ตอนแรกต้องการคำอธิบาย และเหมือนคุณพ่อจะคาดเดาได้ว่าฉันต้องการถามอะไร เมื่อท่านเริ่มเกริ่นออกมาเป็นประโยคสั้นๆ
“วันที่พวกเราตัดสินใจแยกทาง พ่อไม่รู้จริงๆ ว่าแม่กำลังตั้งท้องลูกอยู่”
ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาคุณพ่อ หลังก้มหน้ามองมือตัวเองมาได้ระยะหนึ่ง ร่างสูงสง่าขยับกายเดินเข้ามาทรุดนั่งลงข้างๆ พร้อมหันหน้าเข้าหา แววตาของพ่อเต็มไปด้วยความเศร้าและรู้สึกผิด ฉันนั่งเงียบฟังท่านเล่าต่ออย่างตั้งใจ
ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วพ่อได้พบรักกับผู้หญิงคนหนึ่งในบาร์ เธอเป็นเพียงพนักงานเสิร์ฟธรรมดาอยู่ที่นั่น ขณะพ่อเป็นถึงลูกค้าระดับวีวีไอพี
ผู้หญิงคนนี้ประจำอยู่ชั้นหนึ่งซึ่งเป็นส่วนให้บริการของลูกค้าทั่วไป แต่วันนั้นเพื่อนร่วมงานซึ่งประจำอยู่ชั้นสองป่วยกะทันหัน เธอจึงมีโอกาสได้ขึ้นไปทำงานชั้นบนแทน
เรียกได้ว่าเป็นรักแรกพบ แค่เพียงบานประตูห้องส่วนตัวถูกเปิดออก สายตาของคนสองคนสบกันโดยไม่ได้นัดหมาย พลันจังหวะหัวใจของคุณพ่อกระหน่ำเต้นอย่างรุนแรง
กลุ่มเพื่อนในห้องร่วมสิบคนราวกับไร้ตัวตน พ่อไม่อาจละสายตาไปจากเธอคนนั้นได้ ทุกท่วงท่า ทุกการก้าวเดิน และเคลื่อนขยับร่างกาย ดึงดูดความสนใจไปจากพ่อทั้งหมด หลังจากนั้นห้องส่วนตัวที่มักใช้บริการก็ไม่ได้มีโอกาสได้แอ้มเงินพ่ออีกเลย
กลายเป็นว่าตอนนี้ลูกค้าวีวีไอพีที่ควรอยู่ชั้นสอง มานั่งประจำเคาน์เตอร์บาร์ชั้นหนึ่งรวมกับกลุ่มขาจรทั่วไปชั้นล่างแทน เพื่อเฝ้ามองผู้หญิงที่เขาตกหลุมรักวันแล้ววันเล่า
ผ่านไปหลายเดือนกว่าพ่อจะรวบรวมความกล้าเข้าไปกล่าวทักทายเธอได้ ครั้งแรกของการพูดคุยระหว่างทั้งคู่มีเพียงแค่คำว่า ‘สวัสดี’ เท่านั้น
พ่อไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรชวนผู้หญิงคนนั้นคุยต่อ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนเฟรนลี่และคุยสนุก แต่กับเธอคนนี้พ่อกลายเป็นคนขี้อายและมักเสียอาการเสมอ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน บังเอิญมีเรื่องให้ทั้งคู่ได้พูดคุยอย่างเลี่ยงไม่ได้ พ่อขับรถเฉี่ยวเธอโดยไม่ตั้งใจ หลังส่งโรงพยาบาลตรวจร่างกายพบว่าข้อเท้าเธอหัก ต้องหยุดงานรักษาตัวร่วมสองอาทิตย์ อีกทั้งการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างลำบาก ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างพ่อจึงเสนอตัวรับผิดชอบคอยดูแล
อุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ดันเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนได้พัฒนา
แม้ผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาเป็นปกติ สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองเช่นเดิม แต่พ่อยังคงเทียวส่งอาหารทุกมื้อไม่ขาดตกบกพร่อง และคอยรับเธอไปส่งที่ทำงานทุกวัน นั่งเฝ้าเธอทำหน้าที่ยันบาร์ปิด และพาเธอกลับบ้านหลังเลิกงานทุกคืน
ทั้งคู่ตัดสินใจคบหากัน โดยที่ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนรักของเธอมากนัก พ่อไม่พูดเธอก็ไม่ถาม จนเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปีที่ทั้งคู่รักกันดี อยู่ๆท่าทีของเธอกลับเปลี่ยนไป
เธอนิ่ง ซึม ไม่สดใสร่าเริงเหมือนแต่ก่อน เงียบขรึมและมักเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้อง การสนทนาระหว่างกันเริ่มน้อยลง และหนึ่งอาทิตย์ให้หลังเธอได้หายตัวไป พร้อมทิ้งจดหมายน้อยๆ ไว้ให้หนึ่งฉบับ เนื้อหาด้านในมีเพียงข้อความสั้นๆ ระบุว่า...
‘ฉันไม่ได้รักคุณแล้ว’
ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบายถึงสาเหตุของการจากลา ทว่าประโยคนี้ก็เพียงพอให้พ่อตัดสินใจ ที่จะไม่ออกตามหาเพื่อเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้
แม้พ่อจะยังรักเธออยู่เหมือนวันแรก แต่จำต้องตัดใจปล่อยเธอไปตามทาง เพราะคนที่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ยื้อเอาไว้ต่อไปมันไม่เกิดประโยชน์อะไร
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงสิบหกปีเต็ม ผู้หญิงคนนั้นติดต่อกลับมาอีกครั้งผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่คุณพ่อเคยให้ไว้ และปัจจุบันนี้ยังคงใช้งานอยู่
เล่าถึงสาเหตุการบอกลาว่าถูกแม่ของคุณพ่อกีดกัน และดูถูกด้วยการเอาเงินฟาดหัวเพื่อให้เลิกยุ่งกับลูกชายของท่าน ทั้งที่รักมาก แต่ไตร่ตรองแล้วว่าเธอไม่คู่ควร ไม่มีอะไรเหมาะสมให้ยืนเคียงข้างจึงตัดสินใจจากมาเงียบๆ
เธอขอโทษและขออโหสิกรรมทุกอย่าง รู้ว่าตอนนี้คุณพ่อมีครอบครัวใหม่และมีความสุขกันดี ไม่ได้เรียกร้องจะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธออยากขอให้คุณพ่อช่วยเหลือ นั่นคือดูแลลูกสาวเพียงคนเดียวต่อจากเธอให้ที
คุณพ่อไม่เข้าใจว่านั่นคือคำสั่งเสียสุดท้าย เมื่อมาตามที่อยู่ที่ได้รับถึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตแล้ว จากการฆ่าตัวตายได้เพียงหนึ่งวัน และเมื่อพบหน้าเด็กซึ่งอยู่ในคำสั่งเสีย ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรก็รู้ได้ในทันทีว่านี่คือลูกสาวของตัวเอง
และใช่... ผู้หญิงคนนั้นที่กำลังถูกพูดถึงคือคุณแม่ของฉันเอง
ควรต้องโทษใครในเรื่องนี้ คนที่เป็นต้นเหตุให้ฉันต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก คนที่พรากความสุขสบายไปจากฉัน
คุณย่าใจยักษ์ที่ไม่ยอมรับว่าที่ลูกสะใภ้แสนธรรมดา คุณแม่ใจเสาะที่ไม่กล้ายืนหยัดเผชิญหน้ากับอุปสรรคในความสัมพันธ์ หรือคุณพ่อซื่อบื้อที่เชื่อเพียงข้อความสั้นๆ แล้วปล่อยคนรักไปอย่างง่ายดาย
ใครกัน? ใครต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ หรือฉันควรโทษโชคชะตาของตัวเอง เป็นความผิดของฉันหรือเปล่า ที่ดันโง่มาเกิดในครอบครัวแตกแยกครอบครัวนี้
“หลังจากนี้หนูควรทำอย่างไรต่อคะ?”
รู้สึกสับสนและจนหนทางจริงๆ ฉันควรต้องก้าวเดินทางไหนต่อ ปล่อยให้คุณพ่อได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวของเขา โดยไร้ลูกนอกไส้อย่างฉัน หรือควรหน้าด้านอยู่เป็นก้างขวางคอพวกเขาต่อ เพื่อทวงทุกอย่างที่ควรเป็นของฉันกลับคืน
“ลูกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างเต็มที่ พ่อพร้อมสนับสนุนลูกทุกอย่าง”
ฝ่ามือหนายกขึ้นกุมมือฉันซึ่งวางไว้บนหน้าตัก พร้อมบีบกระชับคล้ายยืนยันสิ่งที่ตนพูดให้ดูหนักแน่นยิ่งขึ้น
ในเมื่อคุณพ่อเสนอทางเลือกให้แล้ว เหตุใดต้องเอ่ยคำปฏิเสธ ฉันไม่ใช่คนดีหรือมีจิตใจกว้างขวาง เป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งมีความเห็นแก่ตัวเหมือนมนุษย์ทั่วไป
มันควรเป็นของฉันมาตั้งแต่แรก บ้านหลังใหญ่แสนอบอุ่น ข้าวของเครื่องใช้สุดหรูไว้อำนวยความสะดวก แม่บ้านมากมายคอยดูแลปรนนิบัติพัดวี และทรัพย์สมบัตินับพันล้านของคุณพ่อล้วนเป็นของฉันแทบทั้งสิ้น
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาแย่งไป แม้แต่เอมิลี่น้องสาวนอกไส้กับแม่ของหล่อน ก็อย่าได้หวังจะมาฮุบอะไรไปทั้งนั้น เพราะตอนนี้ฉันกลับมาทวงทุกอย่างคืนตามสิทธิโดยชอบธรรมแล้ว
“เราจะเป็นครอบครัวกันใช่ไหมคะคุณพ่อ?”
“แน่นอนสิ เราจะเป็นครอบครัว”
คุณพ่อตอบรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากสีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดตลอดบทสนทนาระหว่างเราที่ผ่านมา
ดูท่าคำว่าครอบครัวในความหมายของคุณพ่อคงไม่เหมือนกันกับฉัน เพราะถ้าเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังสื่อ ท่านจะไม่ยิ้มหน้าระรื่นแบบนี้แน่
“ครอบครัวในความหมายของหนู คือมีเราแค่ 2 คนนะคะ”
และเมื่อฉันกล่าวจบรอยยิ้มนั้นได้เจื่อนลงในทันใด สีหน้าคุณพ่อกลับไปเคร่งขรึมจนดูเคร่งเครียด แววตาเต็มไปด้วยความวิตกหนักใจ และนั่น... เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
“หนูล้อเล่นค่ะ”
ฉันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทะเล้น ชักมือตัวเองออกจากการเกาะกุม ลุกขึ้นก้าวเดินได้เพียงสองสามก้าว ก่อนหันกลับไปสบตาท่าน ด้วยใบหน้าที่พยายามปั้นให้ยิ้มแย้มแจ่มใส สีหน้าคุณพ่อเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน มองมาอย่างเฝ้ารอคำอธิบาย ฉันจึงไขความกระจ่างให้กับความสงสัยนั้น
“ครอบครัวเราก็ต้องมีกัน 4 คนสิคะ คุณพ่อ น้าเอมิเรีย น้องเอมมี่ แล้วก็... หนู”
เสียงลมหายใจถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากหยักเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่กลับมาระบายบนใบหน้า คุณพ่อลุกขึ้นเดินเข้ามาโอบกอด และก้มหน้าประทับจุมพิตบนกลุ่มผมของฉัน ด้วยสัมผัสซึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“พ่อดีใจนะที่หนูเปิดใจรับพวกเราเป็นครอบครัว”
หางเสียงฟังดูสั่นเครือเล็กน้อยคล้ายพยายามสะกดกลั้นก้อนสะอื้น ฉันถูกกอดไว้แนบแผ่นอกกว้าง จึงไม่อาจเห็นได้ว่าตอนนี้คุณพ่อกำลังมีสีหน้าเช่นไร แต่ก็พอเดาได้ว่าท่านกำลังตื้นตันใจ
“หนูก็ดีใจค่ะที่มีทุกคนเป็นครอบครัว”
มือซึ่งทิ้งขนานข้างลำตัวยกขึ้นกอดรอบเอวคุณพ่อไว้หลวมๆ ขยับใบหน้าซุกหาความอบอุ่นที่ทั้งชีวิตไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส
ฉันควรต้องมีความสุขเพราะกำลังจะได้มีครอบครัวเหมือนคนอื่นๆ เขา ทว่าตอนนี้ฉันกลับเฉยชา ภายในหัวใจมันว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นตื่นเต้น ดีใจ หรือแม้แต่ความปลื้มปีติ
เราสองพ่อลูกยืนตระกองกอดแสดงความรักกันได้สักระยะ ก่อนฉันจะสัมผัสได้ถึงวงแขนของคนอื่น ซึ่งมีมากกว่าหนึ่งโอบล้อมรอบร่างกาย เมื่อลืมตาขึ้นดูจึงพบว่าเป็นสองแม่ลูก ที่เดินออกจากห้องโถงไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า
พวกเธอคงยืนแอบฟังอยู่ด้านนอกห่างๆ และเมื่อสถานการณ์เป็นไปด้วยดีไม่มีอะไรเลวร้าย จึงกลับเข้ามาและมีส่วนร่วมในการปรับความเข้าใจ และกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัวในครั้งนี้ด้วย
“น้าสัญญาว่าจะทำหน้าที่ให้ดีไม่แพ้แม่ของหนู”
เป็นน้าเอมิเรียที่เริ่มเปิดบทสนทนา เธอยกมือข้างหนึ่งลูบไล้กลุ่มผมฉันอย่างทะนุถนอม ก่อนเอมิลี่จะเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงสดใส
“เอมมี่จะเป็นน้องสาวที่ดีของพี่นิทานนะคะ”
เราสี่คนยืนกอดกันกลางห้องโถง บรรยากาศโดยรอบคล้ายจะตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นความสุข เมื่อมองผ่านสายตาของบุคคลภายนอก ทว่าในความเป็นจริง รอยยิ้มบนริมฝีปากของฉันที่ดูเหมือนเต็มไปด้วยความปีติยินดี มันมีแต่ความจอมปลอมและการเสแสร้ง
ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนกับสัมผัสของสองแม่ลูกนั่นเสียเต็มประดา อยากจะสลัดตัวออกและกระทืบเท้าพร้อมกรีดร้องด้วยความรังเกียจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดอยู่ในใจ
ใครมันจะไปทำใจยอมรับคนที่มีส่วนจะเข้ามาแย่งทุกอย่างไปจากตัวเองได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าคุณพ่อต้องปันความรักความห่วงใย และสมบัติบางส่วนให้กับพวกหล่อน
และฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าไอ้ท่าทางยินดีปรีดา ที่ทั้งน้าเอมิเรียและเอมิลี่กำลังแสดงออกมามันเป็นความรู้สึกจริงๆ ของพวกเธอ หล่อนสามารถรักหรือเอ็นดูลูกที่เกิดจากผู้หญิงอีกคนของสามีตัวเองได้จริงหรือ พวกเธอทำใจอยู่ร่วมชายคากับคนที่เข้ามา เพื่อมีส่วนแบ่งในทรัพย์สมบัติของพ่อและสามีตัวเองได้จริงๆ ใช่ไหม
ฉันเชื่อว่าเราสามคนมันก็ตอแหลไม่น้อยไปกว่ากันนักหรอก ต่างฝ่ายต่างใส่หน้ากาก แล้วค่อยไปตลบหลังเมื่อมีโอกาสในภายภาคหน้า นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดและตั้งใจจะทำ
จากสีหน้าและแววตาของคุณพ่อในตอนที่ฉันเอ่ยหยั่งเชิง ดูก็รู้แล้วว่าท่านต้องลำบากใจมากแน่ๆ หากต้องเลือกข้างระหว่างลูกสาวที่พลัดพราก กับเมียและลูกอีกคนในปัจจุบัน เป็นไปได้ที่สงครามครั้งนี้ฉันอาจพ่ายแพ้
หากเลือกเปิดศึกซึ่งๆ หน้า ฉันคงถูกเฉดหัวออกจากบ้านด้วยการส่งไปเรียนต่างประเทศ หรือไม่คุณพ่อคงควักเงินสักก้อนที่พอให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ และส่งฉันไปอยู่บ้านหลังอื่นในคอลเลคชั่นของท่านแทน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ เป้าหมายคือทุกอย่างของคุณพ่อซึ่งเป็นสิทธิโดยกำเนิดของฉัน แม้แต่เงินเพียงบาทเดียว ฉันก็ไม่ต้องการให้มันกระเด็นออกจากกระเป๋า
แม่ลูกคู่นี้ต้องคืนทั้งหมดนั่นมา ระยะเวลาสิบหกปีที่ผ่านมาพวกหล่อนช่วงชิงอะไรไปบ้าง ต้องเอากลับคืนมาให้ฉันทั้งหมด และแน่นอนว่าการเอ่ยปากทวงตรงๆ คงไม่ได้อะไรคืนกลับ เพราะฉะนั้นฉันจำเป็นต้องอยู่ต่อ ในฐานะพี่สาวแสนดีหรือลูกเลี้ยงแสนน่ารัก
อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะ พวกเธอเสวยสุขบนทรัพย์สมบัติที่ควรเป็นของฉันมามากพอแล้ว ได้เวลาที่ต้องชดใช้หนี้พวกนั้นคืนให้กับเจ้าของตัวจริงอย่างฉันได้แล้วล่ะ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ คุณแม่ น้องเอมมี่...”
