บท
ตั้งค่า

09 ห้องเชียร์

.

.

..ธาม

กว่าผมจะผ่านการรับน้องช่วงก่อนเปิดเทอมตลอดเกือบสองอาทิตย์มาได้ก็แทบตาย ร่างกายน่ะเหนื่อยมาก แต่ว่าก็สนุกมาก สมกับที่เป็นคณะนิเทศศาสตร์ จริงๆก็ไม่มั่นใจในการเรียนในคณะที่จะต้องแสดงตัวตนมากขนาดนี้ เพราะผมเป็นคนนิ่งๆ ดูภายนอกก็คือคนเรียบร้อยคนนึงเลย แต่ตัวตนจริงของผมก็คือคนบ้าๆคนนึงเลยเหมือนกัน แค่ผมแสดงออกไม่ค่อยเก่ง

เสื้ออยู่ในกางเกงเรียบร้อย ไทค์ก็ผูกตรงเรียบร้อย รองเท้าหนังสีดำก็เงางามเรียบร้อย ผมก็เรียบร้อย หน้าตาก็..พอใช้ได้ เช้านี้เป็นเช้าวันเปิดเทอม ซึ่งผมก็มีเรียนมันแต่เช้านี่แหละ ผมก้มลงหยิบเป้สีดำใบเก่งขึ้นหลัง พร้อมสำหรับช่วงเวลาชีวิตใหม่ๆ

“มึงจะไปเรียนแล้วเหรอ ไม่เช้าไปเหรอวะ” ไอ้บอสส่งเสียงทักทายทั้งที่ยังเมาขี้ตาอยู่บนเตียงข้างๆ

“เออ กูอยากไปนั่งโรงอาหารคณะ อยากเสพบรรยากาศตอนคนน้อยๆ”

“ติสสัดให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไปดิ”

“เชี่ย! มึงก็รู้ กูพูดตามมารยาท ไม่ไปด้วยหรอก”

“เออ กูรู้ มึงนอนไปเลยไป” ผมตอบไอ้บอสไปก็ล้วงเอามือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาดู ..ปรินซ์โทรมา

“ฮัลโหล ว่าไงปรินซ์”

[เปิดประตู]

“ห่ะ เปิดประตู? ประตูไหน?”

[ก็ประตูห้องไง]

“เห้ย! อยู่หน้าห้องเหรอ” ตลอดอาทิตย์ปรินซ์มันจะรอผมอยู่ใต้ตึก (ทั้งที่ผมไม่ได้ขอ) จะว่าไปมันก็ไม่ได้ขึ้นมาอีกเลยหลังจากที่มันมาค้างเมื่อคืนที่ผมอิ่มจนหลับคาโต๊ะที่ร้านซำบายเป๋า

“พี่ปรินซ์อยู่หน้าห้องเหรอวะ” ไอ้บอสถามเสียงกระซิบ ผมพยักหน้า ไอ้บอสรีบลุกมาใส่กางเกงวอร์มทับบ็อกเซอร์ของมัน พยายามดึงชายเสื้อยืดยับให้เรียบขึ้น ไม่รู้มันจะอะไรขนาดนั้น ก็แค่ปรินซ์มา..

ผมเดินไปเปิดประตูให้ปรินซ์ ไม่เข้าใจว่ามันจะมาทำไม ก็บอกไปแล้วว่าผมจะปั่นจักรยานไปเรียนเอง ไอ้ที่มารับๆส่งๆตลอดสองอาทิตย์เนี่ยมันก็มากเกินพอแล้ว ไม่ได้คิดเกรงใจอะไรหรอกนะ แต่ผมอยากขี่จักรยานไง อยากเอาหน้าต้านลม ดมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทาง

“สวัสดีครับพี่” ปรินซ์พยักหน้ารับรู้ทีนึงให้ไอ้บอสมัน

“มาไม” ผมถามแบบไม่สบอารมณ์

“ก็มารับไปกินข้าว แล้วก็ไปคณะ”

“นี่มันยังเช้าอยู่เลย ยังไม่ไปคณะหรอก”

“แน่ใจ? เตรียมตัวออกจากห้องแล้วชัดๆ”

“…” ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง หลักฐานมันคาตา

“พี่กะแล้วว่าธามต้องอยากไปแต่เช้า”

“รู้ดีไปป่ะ” ปรินซ์เดินเข้ามาใกล้ผม มันยื่นมือมาขยับเนคไทค์ของผม แถมยังมองผมด้วยสายตา.. สายตาแบบที่ว่าสาวๆ คงมีละลาย แต่กูไม่ไงครับผมมองมันตอบแบบมีคำถาม กูว่าไทค์กูน่ะตรงเป๊ะเรียบร้อยดีอยู่แล้ว จะจับเพื่อ?

“ปีหนึ่งน่ะ ไทค์เบี้ยวนิดเดียวมันก็ดูไม่ดี เข้าใจไหมครับ” ปรินซ์ยังคงจ้องมองลึกเข้ามาในตาของผม ..เป็นผมที่ต้องหลบตามัน

“เออๆ ไปก็ไป” ผมปัดมือปรินซ์ออก ผมว่ามันน่ารำคาญนิดๆ นี่ผมโตจนหมากระโดดงับตูดไม่ถึงแล้วนะ ยังต้องมาจัดเสื้อผ้าให้อีก ขนาดม๊ายังเลิกยุ่งกับการแต่งตัวของผม ซึ่งนั่นก็นานมาแล้วด้วย

.

.

วันนี้ผมมีเรียนวิชารวมกับปีหนึ่งหลายๆ คณะ วาดภาพคาบแรกไว้ว่าจะได้นั่งฟังอาจารย์เกริ่นเนื้อหาสักครึ่งชั่วโมงแล้วก็ปล่อยให้เรียนรู้ตามอัธยาศัย ผมเดาจากตอนเรียนสมัยมัธยม แต่มันหาได้เป็นอย่างนั้นไม่ อาจารย์เดินเข้ามาพร้อมกับอาจารย์ผู้ช่วย แล้วพวกเราทุกคนก็ได้รับชุดข้อสอบ! สอบมันตั้งแต่คาบแรก!!

“ไม่ต้องตกใจไป” เสียงอาจารย์พูดดังผ่านไมค์ก้องไปทั่วห้องขนาดความจุห้าร้อยคน เสียงหึ่งๆของนักศึกษาเงียบลงแทบจะทันที

“นี่ไม่ใช่การเก็บคะแนน แต่คะแนนที่ได้ในครั้งนี้จะเป็นตัวบอกให้พวกคุณรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องพยายามมากแค่ไหนในการเรียนวิชานี้”

“เชี่ยยย คมว่ะ” บรีสที่นั่งอยู่ข้างๆผมพูด

“เออคม ได้แผลแหละเนี่ย”

หมดกันวันแรกที่แสนสดใสในชีวิตการเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง นี่ขนาดแค่วิชาแรกนะ

สี่โมงเย็นวันนี้พวกเรามีนัดกับรุ่นพี่ที่คณะเพื่อเข้าห้องเชียร์ ผมได้ยินเรื่องห้องเชียร์มาบ้าง แต่ก็ยังนึกไม่ออกหรอกว่าห้องเชียร์ของนิเทศจะเป็นยังไง และก็รู้ด้วยว่าเป้าหมายของการเข้าห้องเชียร์คืออะไร ผมเลยไม่คิดต่อต้าน ผมว่าระบบพวกนี้ถูกคิดขึ้นก็เพื่อให้ประโยชน์อยู่แล้ว เพราะถ้ามันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ก็คงไม่มีใครมานั่งสืบทอดรุ่นต่อรุ่นเรื่อยมาหรอก

ใต้ถุนตึกเย็นนี้แสนอบอ้าว แม้จะมีพัดลมหมุนสุดกําลังอยู่บนหัวถึงสี่ตัว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร พวกเราเกือบสองร้อยคนกำลังยืนเข้าแถวกันตามคำบอกของรุ่นพี่ปีสองที่คุ้นหน้าคุ้นตากันจากตอนรับน้องก่อนเปิดเทอม แต่วันนี้พวกพี่มาโหมดอึมครึม ไม่มีพี่คนไหนชวนน้องปีหนึ่งคุย จะมีก็แต่ประโยคสั้นๆ ที่ดูเป็นทางการ อย่าง..

“น้องค่ะ เสื้อเข้ากางเกงให้เรียบร้อยนะ”

“น้องครับ จัดเนคไทค์ให้ตรงด้วยครับ”

“น้องค่ะ ผมด้านหน้าเก็บให้เรียบร้อยด้วยค่ะ”

“น้องๆครับ แถวตรงนะครับ อย่าหันไปมา”

“น้องค่ะ อย่าคุยกันนะ”

..และอีกหลายประโยคบอกเล่าที่เป็นคำสั่งกลายๆ

ตอนแรกผมว่ามันคือความตื่นเต้น ตื่นเต้นว่าพวกพี่เขาจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง และจากสองอาทิตย์ที่สนุกมากๆ ผมเลยคิดว่า ‘ห้องเชียร์’ ก็ต้องมีอารมณ์คล้ายกัน คือสนุกสนานหรรษา แต่พอเวลาที่พวกเรายืนมันกินเวลานานขึ้นเรื่อยๆ จากสิบห้านาทีเป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเป็นชั่วโมง หรืออาจจะนานกว่านั้น ผมว่าตอนนี้มันคือความท้าทาย ท้าทายว่าตัวเองจะทนได้มากแค่ไหน แล้วก็เกิดคำถามต่อว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เพราะเหงื่อของผมกำลังผุดเต็มใบหน้า แขนขาที่ยืนเกร็งตรงอยู่นานเริ่มจะไม่ไหว บางครั้งก็รู้สึกว่าลำตัวเอียงยวบไปข้างนึง แต่ผมก็รีบปรับท่าให้มันกลับมาตรงได้อีกครั้ง

“น้องค่ะ ถ้าคนไหนไม่ไหวให้ยกมือเลยนะ”

แม่งก็ควรมีคนไม่ไหว ขนาดผมเป็นผู้ชายยังเริ่มรู้สึกล้า แล้วพวกผู้หญิงล่ะ..

“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”

“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”

“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”

“ตามองตรงไปข้างหน้า!!!”

จู่ๆ ก็มีเสียงจากกลุ่มคนปริศนาตะโกนดังสนั่นลั่นทั่วใต้ถุน ขนาดผมยังเผลอสะดุ้ง มันดังจากทุกทิศทางรอบๆ และกำลังตรงมาที่พวกเรา ผมอยากจะหันไปมองใจแทบขาดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใครวะที่มารุมตะโกนตะคอกพวกเราอยู่

“พวกคุณ! กำลังทำอะไรกันอยู่!!” เสียงรุ่นพี่ผู้หญิงตะโกนเสียงดัง ตอนนี้พวกพี่เขาเข้ามาอยู่ในระยะสายตาของผมแล้ว ประมาณจากสายตาที่เห็นน่าจะมีพวกพี่เขาประมาณแปดคน มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหมดอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย ไม่สิ เรียบร้อยกว่าพวกเราปีหนึ่งด้วยซ้ำ เว้นแค่ว่าพวกพี่ผู้ชายไม่ต้องผูกไทค์แล้ว

“นี่มันกี่โมงแล้ว!!” คราวนี้เป็นเสียงของพี่ผู้ชายพูดขึ้นบ้าง

“พวกเราให้โอกาสพวกคุณอยู่นาน นานมาก!! แต่พวกคุณทำได้แค่นี้เหรอ!!” เสียงของพี่ผู้หญิงอีกคน

“จะต้องให้พวกเรารออีกนานแค่ไหน!!”

“แค่ยืนแล้วตามองตรงไปข้างหน้า ยังทำไม่ได้เลย!!!”

“พวกคุณจะมาเป็นน้องเราจริงๆเหรอเนี่ย ทำไมผมถึงไม่เห็นอยากรับพวกคุณเป็นน้องผมเลย!!”

“สปิริตมีแค่นี้เหรอ ทำแค่นี้มันยากเหรอ!!!”

“ผมยังเห็นพวกคุณคุยกันอยู่เลย!!”

ผมไม่รู้นะว่าเพื่อนคนอื่นรู้สึกยังไง แต่ผมแม่งขนลุก เหงื่อซึมหนักขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกนี้มันคืออะไรวะ กำลังยืนให้โดนด่า โดนด่าแบบที่ต้องพยายามแกะรหัสให้ได้ว่าพวกพี่กำลังด่าเรื่องอะไร

“พวกคุณมากันกี่คน!” เสียงพี่ยังคงตะโกนต่อ

“...”

“ทำไมไม่มีใครตอบ!!!”

“ที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ใช่เพื่อนคุณรึไง ทําไมไม่รู้ว่ามากันทั้งหมดกี่คน!!!”

“นี่น่ะเหรอคนที่จะมาเป็นน้องของเรา!!”

“พวกเราไม่มีวันยอมรับพวกคุณที่ไม่สนใจเพื่อน บอกได้ไหมว่ามากันกี่คน!!!”

“...” ทั้งใต้ถุนเงียบจนเสียงพัดลมดังอย่างกับเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์

“พวกคุณนับเลยครับ พวกคุณมากันกี่คน!!”

เชี่ย!! ทําไงวะ สถานการณ์นี้มันจะจบเมื่อไหร่ จบยังไง มันมีแต่รังสีความอึดอัด ความมาคุคลุมอยู่ทั่วใต้ถุน

“...”

“หัวแถวนับสิคะ!! ต้องให้บอกรึไง!!” ผมว่าคนที่ยืนหัวแถวโคตรซวย เพราะเจอพี่ตะโกนใส่หน้าเต็มๆ

“หนึ่ง”

“สอง”

“สาม”

.

.

“สามสิบห้า”

“หยุดก่อน คุณได้ยินไหมว่าเพื่อนนับถึงเท่าไหร่แล้ว!!” เสียงพี่ผู้ชายถามจากแถวด้านหลัง

“ไม่ทราบค่ะ”

“ไม่ทราบ เห็นไหมว่าเพื่อนคุณไม่ได้ยิน!! พวกคุณมีแรงแค่นี้เหรอ!! หรือคุณไม่สนใจ ไม่ใส่ใจว่าเพื่อนของคุณจะได้ยินไหม!!!”

“รักแต่ตัวเอง!!!” พี่อีกคนตะโกนจากด้านหน้า

“แค่ขานเลขแค่นี้ยังทําเต็มที่ไม่ได้ พวกคุณยังจะมีหน้ามาเป็นน้องของเราอีกเหรอ!!!”

“เราต้องการความเต็มที่จากพวกคุณ!!”

“นับใหม่!!”

“หนึ่ง”

“สอง”

“สาม”

.

.

.

“หนึ่งร้อยห้าสิบสาม”

“วันนี้พวกคุณมาหนึ่งร้อยห้าสิบสามคน!!! รู้ไหมว่ารุ่นคุณมีทั้งหมดกี่คน!!”

“...”

“ไม่รู้งั้นเหรอ!!”

“สองร้อยสิบห้าคนค่ะ” เสียงของใครสักคนดังขึ้นจากอีกฟากที่ผมยืน เจ๋งว่ะ รู้ได้ไง

“ยกมือขึ้น พูดขออนุญาตก่อน แล้วค่อยพูด!!”

เธอคนนั้นยกมือขึ้นชี้ตรงไปในอากาศ “ขออนุญาตค่ะ”

“เชิญ!!”

“รุ่นเรามีสองร้อยสิบห้าคนค่ะ”

“สองร้อยสิบห้าคน แล้วทําไมมาแค่นี้!!”

“เพื่อนคุณหายไปไหน!!”

“ไม่ใส่ใจเพื่อนเลยใช่ไหม!!!”

“เขาไม่ใช่เพื่อนรึไง!!!”

“...”

ตอนนี้เสียงของพวกพี่ยังคงดังอยู่ในการรับรู้ของผมนะ แต่การที่จะต้องเอาแต่มองไปข้างหน้า ซึ่งก็คือการมองต้นคอ กับหัวดําๆของคนข้างหน้าเป็นชั่วโมงๆ ก็ทําเอาผมเริ่มจะเมื่อย (ลูกตา) เลยแอบกลอกตาไปทางขวา ดีนะที่ผมยืนอยู่ค่อนไปทั้งท้ายห้อง ฝังตัวเองตรงกลางๆ แถว ถ้าอยู่แถวริม ผมคงต้องเกร็งมากกว่านี้แน่ๆ เพราะคงจะแอบขยับลูกตาอย่างนี้ไม่ได้

ณ ที่ตรงที่พวกพี่ๆชั้นปีอื่นกำลังยืนจับกลุ่มมองมาที่พวกเรา ผมเห็นพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชวนสะดุดตา เพราะว่าร่างนั้นสูงโดดเด่นเหนือคนที่อยู่รายล้อม ชุดนักศึกษาที่สวมใส่ก็พอดีตัวจนเห็นสัดส่วนร่างกายได้อย่างชัดเจน ไหล่กว้างที่เหมาะรับเข้ากันกับสะโพกเล็ก ถึงจะดูเหมือนบอบบาง แต่กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองที่แน่นจนเกือบคับอยู่ในเสื้อนักศึกษากลับบอกว่าร่างกายนี้ผ่านการออกกำลังกายมาอย่างเหมาะสม ดวงตาคมๆถูกซ่อนอยู่ใต้แว่นกลมใสกรอบบางที่เข้ากันดีกับใบหน้าเรียว จมูกโด่งเป็นสันสูงและปากสีชมพูอ่อนถูกจัดวางอยู่บนเรือนหน้าผิวสีน้ำผึ้งที่ไร้ซึ่งจุดน่าตำหนิ จะมีก็แค่ไรหนวดอ่อนๆที่เพิ่งขึ้นระบายอยู่เหนือริมฝีปากเท่านั้น น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่าเขาดูมีเสน่ห์ทั้งที่น่าจะสูงแค่พอๆ กันกับผม แต่พี่เขาดูเป็นผู้ใหญ่ ดูน่าเคารพ ดูน่าศรัทธา..

พี่เขากำลังทำหน้าเคร่งเครียด พลางกระซิบกระซาบกับพี่ผู้หญิงอีกคน แล้วชี้ไปทางด้านซ้ายของแถวพวกเรา ผมเผลอมองตามนิ้วที่ชี้นั้น นั่นเป็นแถวของผู้หญิง และถ้าผมมองไม่ผิด ร่างของเพื่อนผมคนหนึ่งกำลังโงนเงนเต็มที เธอกำลังจะล้มลงแล้ว!!แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดว่าเธอจะล้มด้วยซ้ำ กลุ่มพี่ผู้หญิงที่คุยอยู่กับพี่ผู้ชายคนเมื่อกี้ก็เข้าไปรับร่างที่ใกล้ไร้สตินั้นไว้ได้ทัน แล้วพาเธอออกจากแถวไปทางด้านหลัง ผมเข้าใจว่าน่าจะพาออกไปพัก และปฐมพยาบาล

เฮ้ออออ โล่งอก…

“คุณกำลังมองอะไรครับ” เสียงทุ้มเข้มเรียกสติของผมให้กลับคืนมา ผมหันกลับมามองต้นเสียงนั้นทันที พี่ผู้ชายคนเมื่อกี้กำลังยืนจ้องผมด้วยระยะที่ต้องกลั้นหายใจใส่กัน เพราะพี่เขาเล่นเข้ามายืนแทรกระหว่างแถวที่ยืนกันแบบแน่นๆ เขาสูงกว่าผมนะ น่าจะสูงพอๆ กันกับปรินซ์ และถึงหัวใจของผมจะกําลังเต้นโครมคราม ผมก็อดเงยหน้ามองพี่เขาไม่ได้ คือไม่ได้จะกวนตีนอะไร ก็แค่ผมถูกสอนมาว่า การเป็นผู้ฟังที่ดีจะต้องมองหน้าผู้พูดก็แค่นั้น หรือจะให้ผมมองอกของผู้พูดมันก็ดูจะแปลกประหลาด

“ผมถามว่าคุณกำลังมองอะไร!!” พี่เขาเริ่มดันระดับเสียงของตัวเองให้ดังขึ้นไปอีก ผมเผลอสะดุ้ง พวกเพื่อนๆ ที่ยืนข้างผมก็คงสะดุ้งไปกับผมด้วยเหมือนกัน

“เอ่อ มองพี่ครับ” เชี่ยธาม!! มึงตอบอะไรไปเนี่ยยยยย

พี่เขาโน้มหน้าลงมาตรงหน้าผม “..จะกวนตีนผมเหรอ” พี่เขาจ้องตาผมด้วยดวงตาคมๆ คู่นั้น ผมเองก็สู้ตาพี่เขา แต่อยู่ได้สักวินาทีก็ก้มหน้าหนี

“..ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะมองพี่ มันเผลอมองไปเอง..” ผมตอบเสียงเบาจนเหมือนว่ากําลังพูดกับตัวเอง

“...”

ผมเผลอถอนหายใจตอนที่พี่เขายอมเดินจากไปโดยดี แล้วพาตัวเองกลับเข้าสู่โหมดตามองตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง ตอนนี้ผมมีแรงที่จะยืนตรงต่อแล้วเพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ทำผมตื่นตัว หรือเพราะผมได้ขยับหัว ขยับปากด้วยละมั้ง หัวใจเองก็ค่อยๆ กลับเข้าสู่จังหวะการเต้นที่ปกติ ผมว่าหน้าร้อนๆ ของผมก็ค่อยๆ อุ่นขึ้น ผมว่าผมกำลังเม้มปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกบางอย่าง ใบหน้าของพี่มันยังลอยอยู่ตรงหน้าผมอยู่เลย เชี่ย!! ผมเป็นอะไรไปเนี่ย

“วันนี้เป็นวันแรกที่เราได้เจอหน้ากัน หน้าของคนที่เรายังไม่อยากรับเป็นน้อง!!” เสียงของพี่ว๊ากยังคงดังอยู่

“อย่าคิดว่าแค่สอบติดเข้ามาก็จะได้เป็นน้องเรา!!”

“สำหรับพวกแหกกฎ.. รู้ไว้ด้วยว่าต้องได้รับโทษแน่นอน!!!” เสียงทุ้มเข้มนี้ เสียงของพี่ผู้ชายคนเมื่อกี้ พี่มันพูดเสียงดังแหวกอากาศมาเลย คงยืนอยู่ห่างจากผมไปทางขวาสุด ผมแอบกลอกตาไปมอง แต่ก็ยังไม่เห็นพี่มันในระยะเกือบร้อยแปดสิบองศาของสายตา แอบหันหัวนิดนึงคงไม่เป็นไร ผมเห็นพี่มันแล้ว และพี่มันก็มองผมอยู่พอดี!! สายตาพี่มันแม่งเย็นเยือกอย่างกับผีดูดเลือด แล้วไอ้ที่พี่มันว่าเมื่อกี้ นั่นมันหมายถึงผมใช่ไหม!! มึงตายแน่ไอ้ธามมมมม!!

.

.

.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel