บท
ตั้งค่า

010 ข้าว

.

.

..ห้องประชุมคณะนิเทศศาสตร์

..ข้าว

“สำหรับพวกแหกกฎ..รู้ไว้ด้วยว่าต้องได้รับโทษแน่นอน!!”เสียงพี่หลินเฮดว๊ากปีสี่ที่กำลังล้อเลียนคำพูดของผม

ภายในห้องประชุมนี้จะมีก็แค่พวกเราชาวพี่ว๊ากและคณะกรรมการห้องเชียร์ที่จะมีกันทั้งปีสอง ปีสาม และปีสี่ พวกเราจะสรุปปัญหาที่เกิดขึ้น และช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหานั้นร่วมกัน และเพราะมีแต่คนกันเอง การล้อเลียนของพี่หลินเลยสร้างความเฮฮาผ่อนคลายให้กับพวกเราทุกคน ขนาดผมเองที่โดนล้อก็ยังยิ้มเก้อๆ พร้อมกับดื่มน้ำแก้กระหาย นี่ขนาดวันแรก ยังทำเอาผมแสบคอขนาดนี้ กลัวจริงๆ ว่าวันต่อๆ ไปจะไอให้อายน้องมัน

“ไอ้ข้าว ห้องเชียร์เรามีทำโทษด้วยเหรอวะ นี่นิเทศนะเว้ย เราสายเฮฮาป่ะวะ”

”นั่นดิ พอกูได้ยินมึงพูดอย่างนั้น กูนี่ไปไม่เป็นเลย สตั้นท์ว่ะ เชี่ยแม่ง มีทำโทษด้วยเว้ย นึกว่ากูวาปไปว๊ากอยู่วิดวะซะแล้ว”

“โทษทีพี่ อารมณ์มันพาไป พอดีเจอเด็กกวนตีน” ผมนึกถึงหน้าไอ้เด็กปีหนึ่งนั่นทันที

“แต่หวานว่าน้องธามไม่ได้ดูกวนอะไรนะ ตอนที่น้องเห็นว่าเพื่อนจะล้ม น้องมันยังทำท่าเหมือนจะพุ่งตัวไปเลย แต่พวกเราไวกว่าไง ดีที่ข้าวมาชี้ให้พวกเราเห็นก่อน เลยไปรับไว้ทัน”

“...”

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปต์นะ ต้องสอนน้องมันหลายอย่างอยู่…”

เสียงการประชุมยังคงดังต่อเนื่องอยู่เป็นชั่วโมง ผมเองซึ่งรู้หน้าที่ของการเป็นพี่ว๊ากดีอยู่แล้วจึงแค่พยักหน้ารับรู้หัวข้อเพิ่มเติมของการว๊ากในวันพรุ่งนี้ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากเพราะนี่เป็นปีที่สองที่ผมได้รับเกียรติให้มาทำหน้าที่นี้ แต่มันกลับมีบางอย่างกำลังกวนใจผม

“..ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะมองพี่ มันเผลอมองไปเอง..” คำพูดของเด็กนั่น นักศึกษาชายร่างบาง เตี้ยกว่าผมน่าจะราวสิบเซนต์ ผิวขาวเหมือนไม่ค่อยได้โดนแดด ตาไม่โตไม่ตี่แต่ก็มีสองชั้นไว้ใช้งาน จมูกไม่ใหญ่มากพอดีกับปากเล็กๆที่น่าจะกินข้าวคำใหญ่ไม่ได้ โดยรวมหน้าตาไม่ได้ดีโดดเด่นอะไร แต่น่ามอง อาจเพราะแก้มป่องๆบนใบหน้ารูปวงรีที่น่าหยิกสักสองทีก็ได้

“ข้าวยิ้มไรอยู่คนเดียววะ”

“ออ เปล่านิพี่” นี่ผมกำลังยิ้มเพราะวิเคราะห์หน้าไอ้เด็กยียวนคนนั้น ทั้งที่มองมันไม่ถึงหนึ่งนาทีเนี่ยนะ

.

..ธาม

“มึงนี่มันสุดยอดเลยว่ะไอ้ธาม” ไอ้บรีสพูดกับผมหลังเลิกจากห้องเชียร์ มันพาผมมากินน้ำปั่นที่ร้านยอดนิยมของคณะครุศาสตร์ คณะเพื่อนบ้านของพวกเรา

“อะไรของมึงวะ”

“กูเห็นไง ว่ามึงได้คุยกับพี่ว๊ากคนนั้นด้วย”

“คุยเชี่ยไรวะ กูเกือบจะได้โดนว๊ากแบบเอ็กคลูซีฟแล้ว”

“กูก็ลุ้นว่ามึงจะโดนว๊ากว่าอะไร ตื่นเต้นแทนมึงฉิบ” แล้วไอ้บรีสมันก็หัวเราะ ไม่รู้จะขำอะไรหนักหนา ตอนนั้นผมกลัวจะตาย พอเบื่อไอ้การหัวเราะไม่จบไม่สิ้นของไอ้บรีส ผมเลยเปลี่ยนอารมณ์ด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาดูหลังจากที่ไม่ได้มีโอกาสหยิบมันขึ้นมาเลยตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงในห้องเชียร์ ..สิบสายไม่ได้รับจากปรินซ์ และข้อความไลน์จากปรินซ์ ผมเปิดดูไลน์ทันที

[อยู่ตรงไหน รับสายด้วย]

[อยู่ใต้ถุน อยู่ตรงไหน]

[ถ้าไม่โทรกลับจะโทรไปแจ้งความ]

[ถ้าไม่โทรมาจะฟ้องมาม๊า]

เวลาของข้อความสุดท้ายระบุว่าส่งมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

“เชี่ย!!”

“ด่ากูไมวะ”

“กูไม่ได้ด่ามึง กูต้องกลับคณะแล้วว่ะ พี่ชายมารับ”

“เห้ยมึงมีพี่อยู่นี่ด้วยเหรอวะ พี่อยู่คณะไร” บรีสพูดพลางขยับลุกจากม้านั่งพร้อมๆ กันกับผม

“บัญชี-บริหาร”

“งี้พี่มึงก็คงสายนุ่มนิ่มสิว่ะ ผู้ชายเรียนบัญชี”

“บริหารไหมวะ”

“มันก็บัญชีนั่นแหละ หนุ่มบัญชีก็ต้องนุ่มนิ่มอยู่แล้ว”

“กูท้าให้มึงไปพูดต่อหน้าพี่มันเลย แล้วมึงจะรู้ว่าตีนมันอ่ะไม่นุ่มนิ่ม”

ผมกับบรีสเดินกึ่งวิ่งข้ามถนนสองเลนระหว่างคณะนิเทศกับครุ ตรงไปยังใต้ถุน จริงๆ ผมเห็นปรินซ์แต่ไกลแล้วแหละ มันกำลังยืนคุยกับสาวอยู่ใต้ต้นไม้นอกใต้ถุน พอมันเห็นผมมันก็เดินมาหาผม ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนอยู่ที่เดิมและยังมองตามร่างมัน

“จะกลับยัง รอนานแล้วนะ”

“แล้วใครใช้ให้มารอวะ” ผมตอบปรินซ์แบบห้วนๆ ตามเคยทั้งที่ก็เห็นนะว่าหน้าปรินซ์แม่งงอเป็นปลาทูแม่กลองแล้ว ผมว่ามันตลกดี เพราะมันขัดกับหน้าหล่อๆ ของมัน

“สวัสดีครับพี่ ผมบรีสเพื่อนธามครับ” บรีสที่เห็นช่องว่างของบทสนทนาระหว่างผมกับปรินซ์รีบพูดขึ้น

“อืม เห็นอยู่กับธามหลายทีล่ะ ฝากดูแลธามเวลาอยู่คณะด้วยนะ”

“เชี่ยปรินซ์ นี่ปอตรีแล้วป่ะ ไม่ใช่เด็กน้อยในเนอสซารี ฝากกูเป็นแม่ลูกอ่อนไปได้”

“ก็คนมันห่วง” ปรินซ์หันมามองผมด้วยสายตาอ่อนโยน มึงเป็นไรเนี่ย ฮอร์โมนความเป็นแม่เข้าร่างรึไง กูเริ่มขนลุกแล้วเนี่ย

“บรีส กูว่ากูพาแม่อีกคนกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันโรงอาหาร”

“เออๆ เจอกันมึง หวัดดีครับพี่” พอปรินซ์พยักหน้าตอบไอ้บรีสเสร็จผมรีบคว้าข้อมือไอ้คนตัวสูงกว่าแล้วจูงมันไปที่รถ (ของมัน) ทันที

.

.

“จะพาไปไหน ไม่ใช่ทางไปหอ”

“ก็กำลังจะพาไปหอไง แต่หอนอกของพี่นะ”

“ไปทำไม”

“ไปก่อนค่อยว่ากันนะครับ” เสียงอ่อนๆ ของปรินซ์.. เก็บไปไว้ใช้กับสาวๆ ไหมครับ

ผมยังไม่เคยไปห้องของปรินซ์เลยทั้งที่จริงๆแล้วผมเกือบจะได้อยู่ห้องของปรินซ์ด้วยซ้ำ ทั้งม๊า ป้าป้าและปรินซ์สนับสนุนกันเต็มที่เพราะว่าผมจะได้มีปรินซ์คอยดูแล ม๊ากับป้าป้าจะได้ไม่ต้องห่วง แต่พ่อของปรินซ์ไม่สนับสนุน พ่อของปรินซ์บอกว่าไม่สะดวกหรอก สู้หอในไม่ได้ เพราะหอในน่ะอยู่ในตัวมหาลัยเลย ปลอดภัยกว่า ไปเรียนก็ง่ายกว่า ตื่นสายได้อีกนิดด้วย ผมเองก็เห็นด้วยกับพ่อของปรินซ์นะ อีกอย่างผมอยากได้อิสระไง แถมบอสมันก็บอกว่าจะอยู่กับผมด้วย ผมเลยเลือกอยู่หอในในที่สุด

“นั่งที่โซฟาก่อน เดี๋ยวหาไรให้กิน หิวแล้วป่ะ”

“อือ หิว” ผมไม่ปฏิเสธ ก็มันหิวจริงๆ เมื่อกี้ก็ได้แค่น้ำหวานไปเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้มีแรงขึ้นมาหลังจากยืนเหงื่อแตกอยู่เกือบสองชั่วโมง

ปรินซ์หายไปหลังเคาเตอร์เล็กๆ ที่ระบุตัวตนว่ามุมนั้นคือห้องครัว ส่วนผมก็หยิบมือถือขึ้นมาไถดูเรื่อยเปื่อย เวลาผ่านไปสักห้านาทีกลิ่นหอมๆ ที่เดาไม่ยากว่ามันคือกลิ่นของอาหารก็ลอยมาเตะจมูกผม (ได้เวลาอาหารสักที) ผมพยายามไม่ยิ้มให้กับกลิ่นของมัน กลิ่นนี้น่าจะเป็นกะเพราหมูสับ ส่วนอีกกลิ่นก็น่าจะเป็นไข่เจียวกุ้ง ผมค่อยๆ สูดดมกลิ่นของพวกมันที่ลอยเข้ามาใกล้มากขึ้น และชัดเจนขึ้นทุกที

“หลับตาพริ้มเชียวนะ พอได้กลิ่นของกิน”

ผมลืมตาขึ้น ปรินซ์พูดถูก ผมไม่เถียง เพราะผมโตมากับการช่วยงานเล็กๆน้อยๆ ในครัว ผมเลยมีประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นเป็นพิเศษ อย่างกลิ่นไหม้นิดๆ ของกระเทียมเจียว หรือกลิ่นเค็มของเห็ดหอมที่ถูกเจียวน้ำมันใส่ซีอิ๊วนิดหน่อย ก่อนที่ส่วนผสมทั้งคู่จะลงไปอยู่ในเมนูข้ามต้มทรงเครื่องที่แสนกลมกล่อม ม๊าเคยบอกว่าผมเป็นคนกินง่าย และกินอร่อย แม่ครัวคนไหนมาปรุงอาหารให้ผมกินเป็นต้องปลื้มแน่นอน เพราะผมจะกินจนลืมไปเลยว่าจานใบนี้ต้องล้าง แต่เมนูนั้นต้องอร่อยนะปรินซ์วางจานสองจานลงบนโต๊ะหน้าโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ผมรีบมองดูของที่อยู่ในจาน เพราะอยากรู้ว่าต่อมรับกลิ่นของตัวเองทำงานพลาดรึเปล่า และก็ไม่พลาด

“ทำเองเหรอ” ปรินซ์ไม่ตอบ แค่ยิ้มให้ผม แล้วก็เอามือหนามาขยี้หัวผม ก่อนผละไปหยิบจานข้าวมาสองจาน

“เวฟเอาสิ พี่ทำเป็นที่ไหนล่ะ”

“เออแหะ ไม่น่าถาม แค่อยู่หอสองปีไม่น่าจะทำให้คนเราทำอาหารเป็นได้”

“กัดได้ตลอดเลยนะ พูดดีๆ กับพี่บ้างไม่ได้รึไงครับ”

“ก็พูดกันอย่างนี้มาตลอดแล้วป่ะวะ จู่ๆ นึกยังไงจะให้พูดจาดีๆ ด้วย”

“...”

“ธามกินก่อนเลยนะ” ปรินซ์ลุกขึ้นจากที่นั่งอยู่ข้างผมแทบจะทันที แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน คงจะต้องการความเป็นส่วนตัวล่ะมั้ง รีบกินแล้วรีบกลับดีกว่า

ผมก็กินเสร็จเรียบร้อยแบ่งกับข้าวส่วนของปรินซ์ไว้เรียบร้อย และอาหารก็เย็นหมดเรียบร้อย แต่ปรินซ์ก็ยังไม่ออกมา ทั้งที่เวลาผ่านไปเลยครึ่งชั่วโมงแล้ว จะไปเรียกก็กลัวจะกวน จะกลับก่อนโดยไม่บอกก็กลัวเสียมารยาท ถึงจะสนิทกันมาก แต่ก็รอให้ปรินซ์ออกมาก่อนล่ะกัน อีกอย่าง ปรินซ์เป็นคนพามา ก็ต้องเป็นคนพากลับดิว่ะ ระหว่างรอก็หลับล่ะกัน ผมขยับตัวหามุมสบายแล้วเอนศีรษะพิงพนักโซฟา เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย อิ่มก็อิ่ม ง่วงก็ง่วง

.

..ปรินซ์

ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะยากขนาดนี้ ..การจีบคนที่ตัวเองรัก ผมเคยคิดมาตลอดว่ามันไม่น่าจะยาก ยิ่งกับคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก ผมคงเข้าใจผิดไปมาก

“กัดได้ตลอดเลยนะ พูดดีๆ กับพี่บ้างไม่ได้รึไงครับ”

“ก็พูดกันอย่างนี้มาตลอดแล้วป่ะวะ จู่ๆ นึกยังไงจะให้พูดจาดีๆ ด้วย”

ธามพูดถูก ผมกำลังคาดหวังอะไรอยู่วะ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะให้ธามพูดหวานๆ กับผม ในเมื่อมันมีแค่ผมคนเดียวที่คิดไปเอง สถานะของเราก็คือพี่น้อง เพื่อน ที่โตมาด้วยกัน สนิทกัน ผมเป็นแค่นั้นสำหรับธาม และเป็นผมฝ่ายเดียวที่กำลังพยายามเพื่อให้ตัวเองได้เป็นมากกว่านั้นสำหรับธาม

ผมนั่งพิงหลังประตูตั้งแต่เดินหนีธามเข้ามาในห้องนอน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทนต่อคำพูดของธามได้มากแค่ไหน ใจนึงอยากจะพูดบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ ธามจะได้รู้ว่าผมชอบธามแบบคนรัก และรักธามมานาน แต่ถ้าผมพูดออกไป ก็ไม่มีอะไรจะการันตีได้เลยว่าผมจะไม่เสียธามไปโดยที่ธามยังไม่ได้ทันเห็นความพยายาม และความตั้งใจของผมเลยสักนิด การรักใครสักคน ผมว่ามันต้องลงทุน ต้องเสี่ยง และสุดท้ายคือต้องลุ้น ลุ้นให้เขาเห็นความดีในตัวเรามากพอที่เขาจะรัก ตอนนี้ผมจึงควรต้องรอ รอที่วันนั้นจะมาถึง วันที่ธามจะเห็นผมในแบบที่ผมเห็นธามอย่างที่ผมเป็นมาตลอดหลายปี

เสียงช้อนส้อมของธามเงียบลงไปแล้ว ตอนนี้ธามคงหลับเหมือนทุกครั้งที่กินจนอิ่ม ไหนจะเพลียจากการเข้าห้องเชียร์อีก ธามไม่มีวันรู้เลยว่าวันนี้ผมไปยืนมองธามตั้งแต่เวลาของห้องเชียร์เริ่มขึ้น ธามยืนโอนเอนหลายทีจนผมเกือบเผลอจะเข้าไปคว้าเจ้าคนตัวบางนั้นออกมาจากแถว ทั้งที่ผมก็รู้ว่าธามไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เขาต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากเห็นคนที่ผมรักยืนทรมานอยู่แบบนั้น และสิ่งที่ผมเห็นจากการไปยืนเฝ้าอยู่ห่างๆ ก็คือ ธามมองหนึ่งในพี่ว๊ากที่ยืนอยู่ด้านล่างของจุดที่ผมกำลังยืนอยู่ หนำซ้ำพี่ว๊ากคนนั้นยังเดินเข้าไปหาเรื่องธามอีก ตอนแรกผมกลัวว่าธามจะโดนว๊าก กลัวธามจะทนต่อคำพูดที่ทำร้ายจิตใจไม่ได้ แต่พอธามเงยหน้าขึ้นสบตาไอ้พี่ว๊ากนั่น แค่วินาทีเดียวผมก็ว่ามันนานเกินไปแล้ว ในความรู้สึกของผมมันเหมือนกับการได้เห็นคนรักของตัวเองกำลังนอกใจไปกับไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ พายุอารมณ์ของผมกำลังก่อตัวขึ้น ยิ่งมันเอาหน้าลงไปใกล้หน้าของธาม มือของผมยิ่งกำหมัดแน่น ดีที่ผมเห็นธามก้มหน้าหลบมันในที่สุด ธามเหมือนพูดพึมพำอะไรสักอย่างกับไอ้พี่ว๊ากนั่น หลังจากนั้นมันก็เดินออกจากแถว โดยไม่ได้ว่าอะไรธาม ผมเลยพยายามสงบสติอารมณ์ให้เป็นปกติมากที่สุด ถึงร่างแยกของผมพุ่งตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อไอ้พี่ว๊ากนั่นตั้งแต่ที่มันเดินเข้าไปใกล้ธามเรียบร้อยแล้ว

ธามกำลังหลับอยู่จริงๆ และหลับสนิท เพราะมีเสียงกรนเบาๆออกจากคนที่ตัวเล็กกว่าผมนิดเดียว หน้าธามตอนหลับน่ามองที่สุดผมรู้ดี ผมชอบแอบมองธามเวลาหลับ ชอบแอบเอามือไปลูบหัวของธามเบาๆ ผมเส้นไม่หนาของธามนั้นนุ่มชวนสัมผัส

“อยากผมนุ่มก็ใช้ครีมนวดด้วยดิ”

ธามเคยบอกผมเมื่อนานมาแล้วตอนที่ผมเริ่มสังเกตทุกสิ่งที่เป็นธาม

“แมนๆใครเขาใช้ครีมนวด”

“แมนๆ เนี่ยผมนุ่มไม่ได้รึไงวะ”

ตอนนี้ผมก็กำลังลูบผมของคนที่ผมแอบรักอยู่อีกครั้ง มันจะมีวันนั้นไหม วันที่ผมไม่ต้องแอบสัมผัสธามแค่ตอนนอน ตอนที่ธามไม่รู้ตัว

.

..ธาม

น้ำท่วมเหรอวะ ทำไมขาถึงรู้สึกเปียกๆ เชี่ยแล้ว!! น้ำท่วมจริงๆด้วย ต้องรีบไปบอกม๊ากับป้าป้า แล้วนี่จะทำไงดี ถ้าน้ำสูงกว่านี้ธามน้อยก็เปียกดิวะ ยังไม่ได้เตรียมถุง เตรียมรองเท้า เตรียมเรือเลย ถ้าเชื้อโรคเข้าธามน้อย ธามใหญ่จะทำไง!! แล้วปรินซ์รู้เรื่องยังเนี่ย!! น้ำจะท่วมโลกแล้ว ต้องรีบไปบอกปรินซ์ บอกพ่อแม่ปรินซ์จะได้หนีขึ้นเหนือไปด้วยกัน แต่ว่าจะไปยังไงดีวะ ขึ้นรถ ลงเรือ หรือขึ้นเครื่อง! ทางไหนก็ได้! เพราะกูว่ายน้ำไม่เป็นนนนนนนน ช่วยด้วย!!!

ผมสะดุ้งตัวแรงมาก หายใจหอบเหนื่อย แต่พอมองไปรอบๆก็สบายใจ แม้ไฟจะสลัวไปนิด แต่ผมก็ยังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องของปรินซ์ และมีปรินซ์กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม หน้าและตัวของปรินซ์เปียกอย่างกับโดนใครสาดน้ำสงกรานต์ใส่ หยดน้ำบนเส้นผมดำขลับของปรินซ์กำลังไหลแล่นไปทั่วหน้า

“ตื่นแล้วเหรอ ฝันร้ายใช่ไหม” ปรินซ์พูดทั้งที่ยังก้มหน้าผมเลยยิ่งมองปรินซ์ไม่ค่อยถนัดเพราะผมของปรินซ์ก็เปียกปิดหน้าปิดตาปรินซ์อยู่

“...” ผมก้มลงไปมองที่เท้าของตัวเอง เพราะรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังแช่อยู่ในน้ำ มันแช่อยู่ในน้ำจริงๆ น้ำอุ่นๆในกะละมังใบไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กไปกว่าเท้าทั้งสองข้างของผม และมีมือของปรินซ์ที่กำลังจับอยู่ที่น่องขาของผม

“เห้ย! ทำไรอ่ะปรินซ์”

“กำลังนวดเท้าให้ไง เห็นยืนมาตั้งสองชั่วโมง”

“เห้ย ไม่ต้อง ปล่อยเลยปรินซ์!!”

“อยู่เฉยๆ เถอะ ใกล้เสร็จแล้ว”

“...” จู่ๆผมก็รู้สึกว่าระหว่างเรามันมีความเงียบชวนอึดอัดขึ้นมา ระหว่างปรินซ์กับผมมันไม่เคยมีช่วงเวลาแบบนี้ เราเคยต่างคนต่างนอนอ่านการ์ตูนในห้องเดียวกันมาก็ตลอด แต่ความรู้สึกนี้มัน.. ผมอดเม้มปากไมได้ ใจก็อดเต้นแรงไม่ได้

“แล้วทำไมตัวเปียกวะ อาบน้ำแล้วลืมเช็ดตัว?”

“ไม่ได้อาบน้ำ แต่มันมีใครบางคนฝันร้ายแล้วก็ยกเท้าสะบัดน้ำขึ้นมา..”

“ห่ะ???” ผมจินตนาการตามแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นั่นมันน้ำที่แช่เท้าผมนี่หว่า โถ ปรินซ์ผู้น่าสงสาร ผมเอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับหน้าของคนตรงหน้า แล้วลูบผมของปรินซ์ให้เปิดขึ้น ผมมองตาปรินซ์ทั้งที่ยังขำอยู่ ตอนนี้ระดับสายตาของเราสูงเท่ากันแล้ว ไม่สิ ตอนนี้ปรินซ์เตี้ยกว่าผมแล้วเพราะผมนั่งสูงกว่า ปรินซ์มองตาผมนิ่ง สายตาแข็งกร้าวเหมือนคนกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ตัดพ้อ แต่ก็ดูอ่อนโยนอยู่ในที บวกกับหน้าเปียกๆ ผมเปียกๆของปรินซ์ในเวลานี้อีก เรียกว่าเซ็กซี่จะถูกไหม ผมเผลอมองขนตาดำยาวของปรินซ์ ขนตาของผมยาวไม่เท่าของปรินซ์ หน้าของผมเลยดูจะจืดๆเมื่อเทียบกับปรินซ์ที่มีดวงตาเข้มๆ ทั้งขนคิ้วของปรินซ์ก็หนาดำขลับเรียงเส้นสม่ำเสมอ จมูกของปรินซ์ก็โด่งดี ปากก็ไม่เล็กไม่ใหญ่พอเหมาะกับใบหน้าที่เรียวยาว แม้แต่กรามของปรินซ์เอง ผมก็ว่ามันดูลงตัวกับปรินซ์ไปซะหมด ผมไม่เคยมองหน้าปรินซ์นานขนาดนี้มาก่อน ผมว่าผมคงตกอยู่ในภวังค์ของอะไรสักอย่าง ปรินซ์เองก็ยังคงสบตาผมอยู่อย่างนั้น เหมือนปล่อยให้ผมได้มีเวลาพินิจหน้าของตัวเองเท่าที่ผมจะพอใจ ผมว่าการมองปรินซ์นี่ก็เพลินดี จนไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ปรินซ์มากแค่ไหนแล้ว

“ถ้าธามไม่ถอย พี่จะจูบธามนะ”

“!!!!!”

.

.

.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel