บท
ตั้งค่า

05 สายลม แสงเดือน

.

.

..ธาม

เช้าวันที่สองของการรับน้องก่อนเปิดเทอม ..ปรินซ์ก็ยังคงมารับที่หออยู่ดี ถึงผมจะอ้อนวอนขอปั่นจักรยานไปคณะเอง

“แล้วจะมีจักรยานไว้ทําไม?” ผมถามปรินซ์

“พี่โทรหามาม๊านะ”

แม่งงงง ก็เอาแต่อ้างม๊า แล้วได้ผลไหม.. ก็ได้ผลสิ

.

วันนี้กิจกรรมในคณะก็สนุกไม่แตกต่างจากเมื่อวาน สันทนาการกําลังละลายพฤติกรรมพวกเรา (รวมถึงพลังงานทั้งหมด) ถึงยังรู้จักกันไม่หมดทุกคน แต่พวกเราก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากัน เจอหน้ากันตรงห้องนํ้าก็ยิ้มทักกัน เวลากินข้าวพวกเราก็นั่งเรียงเป็นแถวตอนแน่นๆ มีพวกพี่ๆ คอยแจกอาหารกล่อง กินนํ้าจากถังเดียวกันมีเพียงหลอดหลากสีที่เสียบไว้ให้ได้เลือกดูด ความไม่แบ่งแยกกันของน้องปีหนึ่งหน้าใหม่ที่มาจากที่ต่างๆ ค่อยๆ ทลายลงทีละน้อยๆ เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นดีจริงๆ ..อุณหภูมิของใต้ถุนก็เช่นกัน

“เดี๋ยวพอทานข้าวเสร็จ พี่จะเรียงแถวน้องๆ ขึ้นไปยังห้องประชุมด้านบนกันนะคะ” พี่ปานพูดผ่านโทรโข่งเสียงดัง เพราะต้องต่อสู้กับเสียงนกกระจาบแตกรังของพวกเรา

ตึกเก่าของคณะนิเทศศาสตร์ยังคงความขลังอยู่เสมอ เพราะผ่านการใช้งานมากว่าสี่สิบปี รุ่นพี่บอกระหว่างทางว่า อีกไม่นานตึกเก่ารวมถึงใต้ถุนก็จะโดนทุบทิ้งแล้ว ขนาดพวกเราที่เพิ่งมาใหม่ ยังรับรู้ได้ถึงความผูกพันธ์ที่พวกพี่ๆ มีต่ออาคารหลังนี้ผ่านนํ้าเสียง และแววตาของพวกพี่เขา

พวกเราสนุกสนานไปกับมุกขำขำของพวกพี่บนเวที และเริ่มรับรู้ถึงการจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในละครนิเทศที่จะมีขึ้นทุกปี แต่คนที่ดูจะมีความสุขที่สุดในค่ำคืนนี้ก็คือบรีส บรีสได้รางวัลขวัญใจจากพวกพี่ๆ ที่โหวตให้การแต่งกายของบรีสเข้ากับตีมละครได้ดีที่สุด

“ผมคิดอยู่ทั้งคืนครับว่าผมจะแต่งตัวยังไงดี แต่เมื่อผมเห็นตัวเองในกระจก ตัวผมเองในกระจกบานนั้นบอกผมว่า ก็แค่แต่งเป็นตัวเองครับ” คำให้สัมภาษณ์ของบรีสเรียกเสียงโห่ฮิ้วได้ทั้งห้อง บรีสดูจะเป็นคนหลงตัวเองไม่น้อย แต่ผมว่าบรีสเป็นคนตลก และจริงใจดี

พวกเราอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้นกันอย่างอบอุ่น (เพราะว่าทั้งห้องนั้นไม่ได้มีเพียงพวกเราชั้นปีหนึ่ง แต่รวมเอาชาวนิเทศตั้งสี่ชั้นปี!!) ผมเองก็ไม่สังเกตเลยว่าเวลาได้ล่วงเลยไปแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งถึงเวลาแยกย้าย

เมื่อออกจากห้องที่แสนอุ่น ผิวกายก็ปะทะเข้ากับลมเย็นยามค่ำคืน เสียงจักจั่นพากันทักทายงึมงำ ดวงตาสบเข้ากับดวงจันทร์เต็มดวงแสนละมุนตา จู่ๆ ผมก็ยิ้มกับตัวเอง และนึกถึงใครสักคน.. ถ้าผมมีใครสักคนเดินอยู่ข้างๆ ในเวลานี้คงจะดีไม่น้อย เสพบรรยากาศที่แสนโรแมนติกนี้ไปด้วยกัน ผมไม่ได้เหงา ไม่ได้ไขว่คว้าหาความรัก แต่ผมก็โตพอที่จะเริ่มมีความรู้สึกว่าตัวเองต้องการใครสักคน..

“ธาม”

ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองที่คุ้นเคย ..เสียงของปรินซ์ ผมว่าผมได้ยินนะทั้งที่ปรินซ์ไม่ได้เปิดปากสักนิด

“ปรินซ์”

ผมเองก็เลยเรียกชื่อปรินซ์ตอบบ้าง ..เรียกในใจ ..ผ่านสายตา

เรายืนมองหน้ากันอยู่พักใหญ่ในระยะห่างเพียงเอื้อม ขณะที่ก็มีใครมากมายกำลังเดินขวางเราสองคนอยู่ ผมยิ้ม.. ผมไม่รู้ว่าทำไมผมยิ้มให้ปรินซ์ คงเพราะบรรยากาศพาไป หรืออาจเพราะผมกำลังมีความสุขจากช่วงเวลาดีๆ ที่ผมได้สัมผัสมาตลอดทั้งวันก็ได้

.

..ปรินซ์

ธามยิ้มให้ผม ยิ้มที่แสนอ่อนโยน ยิ้มที่ผมเฝ้าคิดถึงมาตลอด ผมอยากหยุดเวลานี้ไว้จริงๆ ผมอยากถ่ายรูปของธามในเวลานี้เก็บไว้ดูในยามที่ไม่ได้เจอตัว ไว้ดูตอนที่ผมคิดถึง หรือไว้ดูตอนที่เขาไม่เหลียวแลแม้แต่เงาของผม..สามปีที่ผมอยู่ในลู่ในทาง ‘ตํานาน’ ของผมเป็นแค่คําบอกเล่าที่ส่งต่อกันเพียงลมปาก ไม่เหลือภาพศึกใหม่ใดๆ ให้รุ่นน้องได้อ้างอิงว่าทําไมพี่ปรินซ์ถึงคือ ‘ตํานาน’

ผมเริ่มนับหนึ่งใหม่กับชีวิตของตัวเองหลังจากที่เซ็นสัญญากับป๊า ผมเริ่มเรียนรู้หัวใจของตัวเอง ตั้งคําถาม และหาคําตอบตามที่ป๊าบอก ลองพิสูจน์ว่าความรู้สึกที่ผมมีให้ธาม มันมากพอที่ผมจะแลก ‘ตัวตน’ ของตัวเอง กับสิ่งที่ผมก็ไม่แน่ใจว่าในท้ายที่สุดผมจะได้มันตอบแทนกลับมาไหม

ผมตั้งใจเรียนจนครูทุกคนในโรงเรียนลืมความเกเรในอดีตของผม ผมกลับมาเป็นนักบอลที่น่าเกรงขามในสนาม ไม่ว่าจะแข่งในหรือนอกโรงเรียน และผมก็ยังได้เจอธามเหมือนก่อนที่มันเคยเป็น แต่แล้วช่วงเวลาที่ผมต้องห่างจากธามก็มาถึง ผมเรียนจบมัธยม ต้องเข้ามหาลัย และจะไม่ได้เจอธามเป็นปี ป๊าบอกว่า ถ้ายังหาคําตอบดีๆ ให้ตัวเองไม่ได้ว่าคิดอะไรกับธาม ธามสําคัญมากแค่ไหน ก็ลองใช้เวลาที่ต้องห่าง ลองสัมผัสคนหน้าใหม่ๆ ที่จะผ่านเข้ามา ..ลองเปิดโอกาสให้ตัวเอง

.

.

.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel