บท
ตั้งค่า

03 ภาวะนำใจ

.

.

..ปรินซ์

..หกปีก่อน

“ไอ้ปรินซ์วิ่งเร็วมึงงงงง!!!!” เสียงของพี่โจ๊ก รุ่นพี่มอห้าขาโจ๋ประจำโรงเรียนมัธยมที่ผมกำลังเรียนอยู่เสียงพี่มันดังขึ้นในระยะห่างจากผมประมาณแค่สองเมตร แต่ถึงพี่มันจะตะโกนเสียงดังมากแค่ไหนก็ดึงสติของผมให้ทําตามที่พี่มันบอกไม่ได้ หูผมดับ ปิดการรับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผมกําลังเมาหมัดซัดคู่อริต่างสถาบันไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันใช่คู่อริไหม อาจจะเป็นพวกเดียวกันที่โดนผลักโดนดันจนมายืนเสนอหน้าใกล้ๆ ก็ได้ เอาเป็นว่าใครเข้ามาในรัศมีสายตา ผมก็ง้างหมัดอัดหน้ามันหมดคงเพราะตอนนี้ฟ้ามืดเหมือนฝนใกล้ตก ทัศนวิสัยเลยแย่ หรือจริงๆ แล้วเพราะตาของผมมันบวมจนเกือบปิดจากที่โดนต่อย ..มองเชี่ยไรแม่งไม่ชัดสักอย่าง

“ไอ้เชี่ยปรินซ์มึงต้องวิ่งแล้ว ปล่อยพวกมันไป พ่อมึงแห่มาแล้ว เร็วววว เดี๋ยวโดนจับ!!” พี่โจ๊กทั้งพูดทั้งกระชากคอเสื้อนักเรียนของผม แต่เลือดมันเข้าตาผมซะแล้ว ผมสะบัดตัวเองออกจากการดึงรั้งของรุ่นพี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมว่าผมน่าจะเผลอต่อยพี่มันเข้าสักหมัดสองหมัดด้วยซํ้า

.

.

..สามชั่วโมงก่อนหน้านั้น

..แท็งก์นํ้าข้างโรงเรียน

“วันนี้ศึกใหญ่พวกเราไม่ตํ่ากว่าห้าสิบ มึงจะไปไหม”

“ไม่พลาด”

“ดีมากไอ้น้อง อย่าลืมตามเพื่อนมึงมาด้วย ศักดิ์ศรีของพวกเราจะให้ใครมาหยามไม่ได้ ศักดาของพวกเราแม่งต้องระบือไกล” บทสนทนาสั้นๆ แต่เข้าใจไม่ยากระหว่างพี่โจ๊กกับผม มันเป็นการเชิญชวนให้ยกเพื่อนพาพวกไปตีกันกับคู่อริต่างสถาบัน..

พวกเราดักรอใกล้ๆ ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนของพวกมัน อาวุธที่พอหาได้ถูกเหน็บอยู่ในกางเกงพร้อม ส่วนผมนั้นอาวุธไม่ต้องมี แค่พาร่างนักกีฬาที่สูงใหญ่ กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งจากการวอร์มทุกวันมาก็พอ รุ่นพี่หลายคนชอบผมก็ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ใจกล้าร่างแกร่ง

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง แม้เหงื่อจะไหลเพราะอากาศร้อน แต่ความอดทนของพวกเราก็ไม่ลดลง ทันทีที่กลุ่มศัตรูปรากฏตัว พวกเราก็พุ่งเข้าหาราวเข็มที่ถูกซัดออกไปจากมือของจอมยุทธ พวกมันมากันเจ็ดคน ฝั่งเราเป็นต่อ งานนี้คงไม่ยืดเยื้อ แต่ผมคิดผิด พวกของมันแห่มากันแทบจะทั้งโรงเรียน บางทีพวกเราคงเลือกโลเคชั่นผิด มันใกล้กับถิ่นพวกมันมากเกินไป ถ้าเทียบกันเรื่องจํานวน พวกผมแพ้สนิท แต่แทนที่จะวิ่งหนีต่อข้อเสียเปรียบนี้ พวกผมกลับฮึกเหิม แลกหมัดแลกอาวุธไม่ยั้ง เกิดเป็นลูกผู้ชายทั้งที ศักดิ์ศรีที่มีแม่งต้องรักษาให้ได้!!

.

..ปัจจุบัน

“ไอ้ปรินซ์ซ์ซ์ซ์พ่อมึงมานู้นแล้วววว! พอก่อน!! เดี๋ยวติดคุกกก!!” ในที่สุดเสียงของพี่โจ๊กก็ดึงสติของผมออกจากการแลกหมัดอย่างเมามันได้สำเร็จ และได้สติว่าเรื่องร้ายกําลังวิ่งใกล้เข้ามา

“เร็วสิโว้ยย!!!” พี่โจ๊กส่งเสียงเร่งผม

ศัตรูเองก็เปลี่ยนท่าที พวกมันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คงชั่งใจว่าจะซัดต่อหรือว่าจะวิ่งหนี ถ้ามีใครสักคนนําพวกมันก็จะทําตาม แต่ถ้าเสียเชิงเป็นคนเปิดก่อน ก็จะกลายร่างเป็นหมาในสายตาพรรคพวกทันที..ผมก็เช่นกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมแทบจะประมวลภาพตามไม่ทันตํารวจทั้งกองวิ่งล้อมกรอบพวกเราเข้ามา ในมือของแต่ละคนมีทั้งโล่กําบังกับไม้กระบอง ผมเองเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ก็เริ่มตื่นตระหนก การตีกันครั้งนี้มันคงเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเข้าร่วม เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ตํารวจจะแห่มาเยอะขนาดนี้นาทีนั้นเองที่พวกเราเปลี่ยนสถานะจากศัตรูเป็นมิตรรู้ใจ พร้อมเพรียงพากันออกวิ่งกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทางที่ตรงกันข้ามกับกองกำลังอันถูกกฎหมาย

มือของพี่โจ๊กกุมกระชากข้อมือของผมแน่นในหัวคิดอะไรไม่ออกแค่ปล่อยให้ขาสองข้างวิ่งตามแรงลากของพี่มันผมตัวสั่น หัวใจเต้นแรงความหวาดหวั่นเกิดขึ้นในใจ ผมกลัวที่จะต้องโดนจับ กลัวป๊าม๊าจะรู้ กลัวที่จะไม่ได้ไปโรงเรียน กลัวที่จะสูญเสียเวลาวัยรุ่นไปกับการติดคุก ผมกลัว..

ผมกับพี่โจ๊กซ่อนตัวอยู่ภายในซอยแคบๆ ขณะที่เสียงเกือกม้าของบูทตํารวจกําลังดังใกล้เข้ามา

“มึงเงียบๆ” พี่โจ๊กที่กำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างตัวกระซิบบอกผมเบาๆ ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสะอื้นออกมาอย่างคนไร้สติ พยายามจะกลืนเสียงในลำคอให้หยุดเงียบ แต่ผมก็กดปิดเสียงของตัวเองไม่ได้

เสียงรองเท้าตำรวจดังใกล้เข้ามามากขึ้น ..ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่อาจจะเป็นสิบ!

“ไอ้ปรินซ์มึงเงียบ!!” เสียงดุที่เบาที่สุดของพี่โจ๊กกระซิบที่ข้างหูผม ผมพยักหน้ารับ แต่ผมก็ควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้ มันสะอื้นหนักขึ้น สั่นมากขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น

“มึงหลบอยู่ตรงนี่ อย่าออกไป” พี่โจ๊กออกคําสั่งกับผมเสร็จก็ลุกขึ้นเต็มความสูง พี่มันวิ่งไปหน้าปากซอยก่อนจะหายตัวไปทางด้านซ้ายของปากซอย..หลังจากนั้นเพียงอึดใจ ตํารวจก็วิ่งไล่ตามพี่มันไปเสียงรองเท้าของทุกคนค่อยๆเบาลงเพราะระยะความห่างที่ค่อยๆ ไกลออกไป..ในที่สุดผมก็ได้ยินแค่เสียงสะอื้นของตัวเอง

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมไม่รู้ รู้แค่ว่าซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นนาน นานจนเหน็บกินไปทั้งตัว เพราะผมไม่กล้าขยับตัวแม้สักนิด ผมหยุดสะอื้นสติเริ่มกลับมา ในหัวคิดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือภาวนาให้พี่โจ๊กรอด และสองไปหาธาม..

.

.

..บ้านธาม

จู่ๆ ฝนก็ตกกระหน่ำหนักในค่ำคืนนี้ทั้งที่พยากรณ์ไม่ได้บอกแจ้ง ร่างบางของธามซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมหนาพร้อมพักผ่อนเพราะอากาศเย็นชวนนอน ไม่ก็เพราะงานกีฬาสีของโรงเรียนในวันนี้หนักหนาจนเขาเพลียเหนื่อย ถึงจะรับหน้าที่เป็นเพียงกองเชียร์นั่งส่งเสียงบนสแตนด์ก็เถอะ คืนนี้เขาเลยเข้านอนเร็วกว่าปกติ แต่ถึงสติที่มีจะใกล้ปิดเต็มที เขาก็ยังได้ยินเสียงโวยวายของม๊ากับป้าๆดังเบาๆจากชั้นล่างอยู่ดี

“ปรินซ์ซ์ซ์ ตายแล้ว! เกิดอะไรขึ้น!! เข้ามาเร็ว” เสียงของมาม๊าดังโหวกเหวก “เจ็งไปหยิบกล่องยาหมวยไปเอาผ้าเช็ดตัว!”

เสียงของม๊าดังซ้อนกันกับเสียงฝน ดังอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มมีสติตื่นแล้วก็คิดว่าตัวเองควรลงไปรับรู้ได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างล่าง ถ้าได้ยินไม่ผิดเมื่อกี้ม๊าพูดชื่อปรินซ์.. เออไอ้ปรินซ์ นี่มันกี่โมงแล้วทำไมเพิ่งกลับมาวะ ผมลุกจากเตียงแบบงัวเงีย สองเท้าเดินลงไปตามบันไดไม้ ผมเห็นม๊ากับป้าป้ากำลังรุมล้อมใครสักคนอยู่ ..มองไม่ถนัด ผมเลยค่อยๆเดินใกล้เข้าไปแล้วก็ใกล้เข้าไป

ปรินซ์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิง ม๊ากำลังเอาสำลีเช็ดเลือดที่ไหลอยู่ตรงมุมปากของคนตัวสูง ป้าเจ็งกำลังเตรียมสำลีลูกต่อไปเพื่อส่งให้ม๊า ส่วนป้าหมวยกำลังเช็ดหัวเช็ดตัวให้ปรินซ์ด้วยความเบามือ ร่างหนาของปรินซ์กำลังสั่น คงหนาวจากไอฝนที่สาดเปียกไปทั้งตัว

ปรินซ์ไม่พูดไม่จา เอาแต่พยักหน้ากับส่ายหน้าเมื่อม๊าถามว่าเจ็บไหม แรงไปไหม ปรินซ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่ตรงนั้น ทั้งที่ผมยืนจ้องมองอยู่ใกล้จนแทบหายใจรดคงเพราะตาทั้งสองข้างของปรินซ์บวมเป่งปิดจนมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว ผมยกมือขึ้นปิดปากแน่น กลัวว่าตัวเองจะเผลอส่งเสียงอะไรออกมา ม๊าหันมามองผม เอานิ้วมือทาบที่ปากเพื่อบอกให้ผมเงียบเสียงไว้ ถึงม๊าไม่บอก ผมก็ไม่กล้าส่งเสียงให้ปรินซ์มันรู้..มันต้องอายมากแน่ๆ

ปรินซ์ฝืนกินโจ๊กอุ่นๆ ด้วยความทรมานเพราะปากที่บวมปวด กินไปได้แค่สองคำปรินซ์ก็ส่ายหัวปฏิเสธก่อนจะรับยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ที่ม๊าเตรียมไว้ให้ แล้วกลืนลงคอไป ม๊ายิ้มพอใจก่อนจะหันมาลากผมหลบออกห่างจากปรินซ์ ม๊ากระซิบบอกให้ผมขึ้นไปห้องนอน เตรียมเสื้อผ้าให้ปรินซ์เปลี่ยน ผมรีบทำตามที่ม๊าสั่ง พอเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงนอน เอาผ้าห่มคลุมตัวทำเหมือนว่านอนหลับไปแล้ว ไม่นานม๊ากับป้าก็ช่วยกันพยุงปรินซ์เข้ามาในห้อง ปรินซ์ยืนยันกับม๊าว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองไหว ม๊ากับป้าป้าจึงออกจากห้องไป

ปรินซ์นอนห้องเดียวกันกับผมมาตลอดตั้งแต่เด็ก ก็ทุกครั้งที่พ่อแม่ของปรินซ์ต้องไปทำงานไกล จนในห้องต้องมีเตียงอีกเตียงสำหรับปรินซ์โดยเฉพาะแต่นั่นก็หลังจากที่ทั้งผมทั้งปรินซ์ตัวโตขึ้นจนนอนเตียงเดียวกันไม่ได้

ร่างใหญ่ของปรินซ์หายเข้าไปในห้องน้ำนาน นานจนน่าเป็นห่วง ผมเลยลุกจากเตียง ย่องเข้าไปใกล้หน้าประตูห้องน้ำจู่ๆ เสียงลูกบิดประตูหมุนดัง ผมหันตัวกลับรีบกระโจนกลับขึ้นเตียง หวังว่าปรินซ์จะไม่ทันเห็น

ปรินซ์นอนลงที่เตียง อีกพักใหญ่ปรินซ์ถึงหลับสนิทผมสังเกตจากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ ผมถอนหายใจ ..หลับได้สักที

.

.

..ตี 5

..หน้าห้องนอน Vs ในห้องนอน

..ปรินซ์

“ธามเป็นอะไร ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”

“...”

เสียงเบาๆ ดังมาจากข้างนอกห้อง มันเล็ดลอดเข้ามาในความง่วงของผม..บทสนทนาระหว่างม๊าของธามกับธาม

“หยุดร้องได้แล้ว เป็นอะไร ทำไมไม่นอน”

“ปรินซ์ครางทั้งคืนเลย..”

“ธามเลยนอนไม่หลับ?”

“ไม่ใช่”

“...ห่วงปรินซ์เหรอ”

“...”

“เจ้าเด็กติ๊งต๊องของม๊า มาๆ กอดที”

“หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวปรินซ์จะตื่น ต้องให้ปรินซ์นอนพักเยอะๆรู้ไหม อย่าไปกวน”

“ก็นี่ไง เลยออกมาข้างนอก”

“ยังจะเถียงอีกนะ ไปนอนห้องม๊าก่อนไหม อีกตั้งเป็นชั่วโมงกว่าจะต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน”

“..ไอ้เอา เอี๊ยวอับไออู่เอ็นเอื่อนอิ๊น”

“ม๊าขอแปลก่อน ไม่เอา เดี๋ยวกลับไปอยู่เป็นเพื่อนปรินซ์ ใช่ไหม”

“อือ”

“ขี้แยจริงๆลูกใครเนี่ย ปรินซ์เขาเจ็บขนาดนั้นยังไม่ร้องสักแอะ”

“...”

ผมจินตนาการภาพของธามในตอนนี้ได้ไม่ยากเพราะเห็นบ่อย ความขี้สงสาร ความขี้เห็นใจ ความขี้เซนสิทีฟ ธามมีครบทุกขี้ บางทีแค่ฟังข่าวของคนตกทุกข์ได้ยากก็น้ำตาคลอ เห็นหญิงชรานั่งขอบริจาคก็ต้องรีบหยิบเงินให้ หลายครั้งที่ผมเคยคัดค้านการทำความดีของธาม ก็โลกทุกวันนี้มันมีแต่ความหลอกลวง ธามกลับตอบผมด้วยน้ำเสียงเย็นว่า

“ความดีน่ะทำไปเถอะ แค่เรารู้สึกว่ามันโอเค ไม่ผิดบาป ไม่ผิดต่อใคร มันก็ดีต่อใจของเราแล้ว ส่วนเขาจะชั่วจะเลวจะหลอก มันก็เป็นส่วนของเขา ถ้าเรารับรู้มากไป จับผิดมากเกินไป การทำดีของเรามันก็จะเสียเปล่า”

..สาธุ

ธามกลับเข้ามาในห้องด้วยการเดินที่เบาเสียงที่สุด คงกลัวทําผมตื่น ธามเดินเข้ามาหาผมที่เตียง ลมหายใจอุ่นๆของธามรดหน้าผม ธามเอามือเล็กมาแตะที่หน้าผากผมเบาๆ และถอนหายใจ

“ต้องเจ็บมากแน่เลย” ธามไม่ได้ถามผม แต่ธามกําลังพูดกับตัวเอง

“ตีกันมันน่าสนุกตรงไหน ตีกันแล้วได้อะไร”

“...”

“ออ ได้แผล”

“...”

ผมเกือบจะหลุดขำ แต่ก็ทําไม่ได้อยู่ดี เพราะปากได้แผลเหมือนที่ธามว่า

“หายไวๆ นะปรินซ์”

ผมยิ้ม หวังว่าธามจะไม่เห็น

.

เช้าวันต่อมา มาม๊าของธามจัดการลาหยุดที่โรงเรียนให้ผม มาม๊ารู้ดีว่าร่างกายของผมมันสะบักสะบอมจนขยับแทบไม่ได้..มาม๊าของธามรู้ใจผมเสมอ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือมาม๊าไม่โทรไปบอกป๊ากับม๊าของผมที่กำลังเดินทางไกล คงกลัวว่าจะเป็นห่วง หรือไม่ก็กลัวว่าผมจะโดนป๊าตี ป๊าตีผมทุกครั้งที่ผมมีเรื่องชกต่อย ดีที่ครั้งนี้ป๊าม๊าไปจีนสองอาทิตย์ หวังว่ารอยแผลรอยช้ำจะดีขึ้น ก่อนที่พวกมันจะทําให้ผมโดนตีซํ้า ป๊าไม่เคยปรานีผมเลยทั้งที่ผมยังเจ็บอยู่ ผมเคยได้ยินป๊าพูดกับมาม๊าของธามว่า

“ตีให้เจ็บจะได้จำ โดนซ้ำจะได้รู้ว่าสิ่งที่มันทำ จะทำให้มันเจ็บซ้ำๆ”

ป๊าจะไปรู้อะไร ในวงการตีกัน ใครๆ ก็ยอมรับผมทั้งที่ผมเพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นาน ผมไม่สนใจว่าป๊าจะคิดยังไง..คนที่ไม่มีเวลาให้ ไม่ควรมีสิทธิ์สั่งสอนว่าอะไรควรหรือไม่ควร ..ผมโตแล้ว เลือกเองได้ว่าตัวเองจะเป็นอะไร จะทำอะไร

..แต่ผมไม่เคยเห็นว่าป๊าแอบไปปาดน้ำตาทุกครั้งที่ตีผมเสร็จ

.

ธามหยิบกระเป๋าเตรียมไปเรียนตามปกติ ไม่มองผมด้วยซ้ำตอนที่จะออกจากห้องนอน

“จะไปเรียนแล้วเหรอ”

“ตื่นแล้วเหรอ”

“อืม”

“ไปเรียนไม่ไหวดิ”

“...”

“ทำตัวโง่ว่ะ”

ธามด่าผม ด่ามันทั้งที่ไม่หันหน้ามามอง

“เท่ตรงไหนวะ เจ็บปางตาย”

“...”

“ไม่ดิ ถ้าเก่งจริง คงไม่เละขนาดนี้”

“...”

ธามพูดถูก ผมมันไม่เก่งจริง คิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าตัวใหญ่ แรงเยอะ ผลักใครใครก็ล้ม ..มันไม่จริงสักนิด ต่อให้แกร่งแค่ไหนก็ไม่มีใครรอดในเวทีมวยหมู่ที่คำขู่เรื่องศักดิ์ศรีไม่มีน้ำหนัก อีกอย่างคือไอ้ความคิดที่ว่าเจ็บแค่นี้เดี๋ยวก็หาย ร่างกายมันฉลาด ..โคตรจะเชื่อถือไม่ได้ ครั้งนี้ผมเจ็บหนัก แผลภายนอกอาจไม่หนักเท่าแผลชํ้าข้างใน ตอนนี้จะขยับกระทั่งแค่นิ้วเท้าก็ยังทำไม่ได้ ไอ้ที่พอขยับได้ก็มีแต่ปาก

“เดี๋ยวไปบอกม๊าให้ว่าปรินซ์ตื่นแล้ว”

“...”

ธามหันหน้ามามองผมในที่สุด ก่อนที่ธามจะหายไปหลังประตูที่ปิดลง

..ธามกําลังร้องไห้

ผมอึ้งเพราะไม่เคยเห็นธามทําหน้าเศร้าขนาดนี้ ..เป็นเพราะผมงั้นเหรอ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel