บทที่ 9 คนโคตรเลว 2019
At Hiruku Japanese Restaurant in Highest Avenue
Jelly said :
ฟินน์มารับฉันที่บ้านก่อนที่เขาและฉันจะมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฉันเป็นคนแนะนำ เราสองคนลงจากรถเบนซ์สปอร์ตของเขาแล้วเดินมาด้านในร้านท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย เพราะเขาเป็นคนดัง... มากินอาหารญี่ปุ่นกับผู้หญิงที่มีกระแสคู่จิ้นในตอนนี้ย่อมถูกมองเป็นธรรมดา
ในตอนที่เรากำลังรอให้พนักงานต้อนรับพาไปยังที่นั่ง ฉันหันไปด้านหลังเพราะรู้สึกว่ามีคนเดินมาใกล้ หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นมา เมื่อหันไปแล้วพบว่าตรงหน้านั้นคือไอ้เชี่ยเสือ...
ฉันนิ่ง... มองมันด้วยสายตาเรียบนิ่งเหมือนคนไม่รู้จักกัน และเสือก็มองฉันนิ่ง... เราไม่คิดจะทักทายกันด้วยซ้ำ ฉันรู้ว่ามันมองที่ฉันมากับฟินน์ และฉันรู้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มันในตอนนี้คือแฟนที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษของมัน!
“ฟินน์?” ทว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ไอ้เสือก็เอ่ยเรียกฟินน์ขึ้นมา
ฉิบหาย! อย่าบอกนะว่าพวกเขารู้จักกัน!
ฉันหลับตาและเม้มปากสนิท ทำตัวแข็งไม่ยอมหันกลับไปตามเสียงเรียบ และเมื่อฟินน์หันกลับไป...
“พี่ใบหยก!” เพอร์เฟคดั่งนรกชังและสวรรค์แกล้ง! พวกเขารู้จักกันจริงๆ
สุดท้าย... ฉันก็ได้รู้ว่าแต้มบุญฉันมีไม่พอที่จะช่วยให้ตัวฉันผ่านเหตุการณ์บัดซบครั้งนี้ไปได้โดยง่าย เมื่อฉัน ฟินน์ พี่ใบหยกและไอ้เชี่ยเสือต้องมาร่วมโต๊ะกินอาหารญี่ปุ่นมื้อนี้ด้วยกัน
ฉันได้รับรู้จากคำบอกเล่าของฟินน์ว่าพี่ใบหยกคือเพื่อนสนิทของพี่สาวเขา ซึ่งอายุมากกว่าพวกเราสองปี เธอไปอยู่อังกฤษเมื่อสามปีก่อน เพื่อเรียนต่อปริญญาโท เหอะ! ถ้าโลกจะกลมได้เบอร์นี้อะนะ! ฉันนั่งข้างฟินน์ซึ่งตรงกันข้ามกับไอ้เสือที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าฉันด้วยซ้ำ เป็นแบบนี้ก็ดี... เพราะมันช่วยยืนยันอะไรได้เยอะเลย!
“พี่ใบหยกกลับมานานหรือยัง แล้วรอบนี้อยู่นานไหมครับ” ฟินน์เอ่ยถามพี่ใบหยกผู้มีใบหน้าสวยหวาน หวานไปทั้งหน้าตา การแต่งตัวและนิสัย เรียกว่าผิดกับไอ้เชี่ยเสือราวฟ้ากับเหวลึก!
“พี่เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานน่ะ คงอยู่ถาวรแล้วล่ะ เพราะพี่เรียนจบแล้ว” พี่ใบหยกยกยิ้มหวานให้ฟินน์ก่อนจะปรายตามองฉันด้วยสายตาเป็นมิตร
“ดีจังเลย แล้วนี่พี่ใบหยกได้เจอเจ้เฟอร์หรือยัง” เจ้เฟอร์ที่ฟินน์พูดคงหมายถึงพี่สาวของเขา
“เสือไปรับพี่ที่สนามบินเมื่อคืนแล้วพาไปขังไว้ที่คอนโดเขา จนป่านนี้พี่ยังไม่ได้เจอใครเลย แม้แต่พ่อแม่ตัวเอง” พี่ใบหยกเอ่ย ยื่นมือไปจับไหล่ไอ้เสือแล้วอิงแอบแนบชิดกับตัวมัน ที่เอาแต่ทำหน้าเหมือนคนไร้วิญญาณ
“ผมเข้าใจนะ เสือคงคิดถึงพี่ใบหยกมาเลยรีบล็อกตัวจองคิวไว้ก่อน” ฟินน์เอ่ย
“ว่าแต่... ดาราดังอย่างฟินน์ควงสาวสวยมากินข้าวแบบนี้ ไม่กลัวเป็นข่าวเหรอ? หรือว่าเปิดตัวแล้วแต่พี่ไม่รู้” พี่ใบหยกหันมายิ้มกับฉันที่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้เธอ
“ลืมแนะนำไปเลย นี่เยลลี่ครับพี่ใบหยก เป็น... เอ่อ... ตอนนี้เราเป็นคู่จิ้นกันอยู่” ฟินน์แนะนำฉันพร้อมรอยยิ้ม และในตอนนั้นเอง...
ปัก!
เกิดเสียงดังขึ้นที่ใต้โต๊ะ ถ้าให้ฉันเดา... คงเป็นไอ้เสือที่สร้างเสียงดังนั้นขึ้นมา
“ขอโทษ... เผลอเตะโต๊ะน่ะ” เป็นจริงอย่างที่ฉันคิด
“หมายความว่ายังไงเหรอ? คู่จิ้น? หรือเยลลี่ก็เป็นดาราด้วย” พี่ใบหยกยังคงไม่เข้าใจ
“ไม่ได้เป็นค่ะ เราแค่เคยถ่ายปกนิตยสารด้วยกันเฉยๆ” ฉันรีบตอบ
“หึ!” เสียงไอ้เชี่ยเสือหัวเราะในลำคอ ฉันรู้ว่ามันกำลังด่าฉันอยู่
“แต่เรากำลังจะได้เล่น MV ด้วยกัน รับรองว่าหลังจากที่ MV ได้ออนแอร์ เยลลี่ดังระเบิดแน่ๆ” ฟินน์ดูมั่นใจมาก จริงๆ ฉันแอบอยากให้เราแยกออกไปนั่งโต๊ะอื่นมากๆ เลยนะ รู้สึกอึดอัดเป็นบ้าเลย!
แล้วในตอนนั้นอาหารทั้งหมดที่เราสั่งไปก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ฉันมองปลาดิบและซูชิมากมายที่เป็นของโปรดแต่ตอนนี้กลับกระเดือกไม่ลงสักชิ้น อยากจะถอนหายใจออกมาแบบยาวๆ ก็ก็ไม่กล้า จะมองหน้าไอ้เชี่ยเสือตรงๆ หรือแม้แต่จะยิ้มให้ฟินน์ดีๆ แต่ก็ไม่กล้า นี่ฉันเป็นอะไร! ความหน้าด้านที่มีมากมายของฉันหายไปไหนหมด!
“เยลลี่ลองกินอันนี้ดูสิ อร่อยมากเลย” ฟินน์ใช้ตะเกียบคีบซูชิหน้าตาแปลกๆ มาให้ฉัน
ฉันส่งยิ้มให้เขาก่อนจะคีบมันขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ยัดเข้าปาก ไอ้เชี่ยเสือก็ชิงเอา ตะเกียบของมันมาคีบซูชิจากมือฉันไปกินหน้าตาเฉย
แน่นอนว่าทุกคนในโต๊ะมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ โดยเฉพาะฉัน
“กุ้ง” แล้วมันก็ไขปริศนา ฉันนิ่งไปทันทีเมื่อมันบอกมาแบบนั้น ฉันแพ้กุ้งน่ะ... ถ้ากินเข้าไปจะเป็นผื่นแดงๆ ขึ้นไปทั้งตัว และถ้ากินมากๆ ตัวก็จะบวมแล้วเริ่มหายใจไม่ออก
“พอดีว่าเยลลี่แพ้กุ้งน่ะ” ฉันยิ้มเจื่อนๆ ให้พี่ใบหยกกับฟินน์
“ขอโทษทีนะ ผมไม่รู้เลย ว่าแต่เสือกับเยลลี่รู้จักกันมาก่อนเหรอ?” ฟินน์เอ่ยบอกฉันก่อนจะหันไปถามไอ้เสือ
“เป็นเพื่อนกันที่คณะ มีปัญหาอะไรป่ะ?” ไอ้เสือเลิกคิ้วถามฟินน์ด้วยน้ำเสียงและท่าทางกวนประสาท ส่วนฟินน์ก็ได้แต่นิ่งไปเพราะไม่คิดว่าไอ้เสือจะโชว์ถ่อยออกมา
“แล้วทำไมไม่บอกล่ะ? ปล่อยให้งงตั้งนาน” พี่ใบหยกที่ทำหน้าอึ้งในตอนแรกยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าเธอโล่งใจ
“ก็ไม่มีใครถาม แล้วคุณกับฟินน์ก็คุยกันจนไม่เว้นว่างให้ใครได้พูดเลย” ไอ้เสือที่เรียกฉันว่ามึงบ้าแหละ ด่าว่าอีแรดอีร่านบ้างแหละ เรียกแฟนตัวเองว่า ‘คุณ’ เหอะ! ฉันว่าฉันไม่ทนแล้วดีกว่าว่ะ! นั่งอยู่ตรงนี้ไปกินไม่ลงอยู่ดี แล้วฟินน์ก็คงไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกับฉันนักหรอก
ฉันส่งไลน์หาซูซานเพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉิน มันจะโทรมาแล้วสร้างเรื่องน่าตกใจขึ้น เพื่อให้ฉันสามารถขอตัวออกไปจากตรงนี้โดยที่ไม่น่าเกลียดมากนัก และไม่นานเกินรอไอ้ซานเพื่อนยากมันก็โทรมาหาฉัน
ครืดๆ ครืดๆ ครืดๆ
“โทรศัพท์คุณหรือเปล่าเยลลี่” ฟินน์เอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงมือถือที่ตั้งระบบสั่นของฉันดัง แน่นอนว่าฉันจงใจไม่รับเพื่อให้เขาได้ยิน เพิ่มความเนียนน่ะ
“ฮัลโหลไอ้ซาน ว่าไง?” ฉันรับสายทันที
“อีแรด!” เสียงนั้นดังจากปลายสาย
“ว่าไงนะ?! แล้วกินยาหรือยัง?!” ฉันมองสอดสายตาไปรอบโต๊ะหลังจากที่แสร้งทำเสียงตกใจ และมันได้ผล ตอนนี้พวกเขากำลังมาที่ฉันเป็นตาเดียว
“ตอแหลเก่งนะมึงอ่ะ!”
“รถเสีย! ปวดท้องจนเดินไม่ไหว! มึงให้กูไปหาไหม? เดี๋ยวกูซื้อยาเข้าไปให้ หรือจะให้กูพาไปโรงพยาบาลไหม?”
“โอ๊ะ! รีบๆ ออกมาเหอะ พูดเยอะกว่านี้พวกแม่งคงคิดว่ากูกำลังจะตาย”
แล้วฉันก็รีบตัดสายของซูซานทิ้ง ยัดมือถือใส่กระเป๋าชาแนลใบสวยที่เพิ่งเอาบัตรเครดิตของแม่ไปรูดมา เวลานี้ทุกคนกำลังมองมาที่ฉัน
“มีอะไรหรือเปล่าเยลลี่” เป็นฟินน์ที่เอ่ยถามขึ้นมา
“คือเพื่อนฉันป่วยหนักมากๆ เลย ฉันคิดว่าคงต้องไปหาเพื่อนก่อน... คุณจะโอเคหรือเปล่า?” ฉันทำหน้าตาน่าสงสารใส่ฟินน์
“ให้ผมไปส่งนะ คุณจะได้ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ไปเอง” แล้วฟินน์ก็ออกตัว
“แต่...” เอาไงดี... ขืนให้ฟินน์ไปกับฉัน เขาต้องรู้แน่ว่าฉันตอแหล
“อย่าเลยคุณ... เดี๋ยวฉันไปเองดีกว่า คอนโดเพื่อนฉันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อีกอย่างคุณมีธุระต่อไม่ใช่เหรอ?” ฉันใช้โอกาสที่ฟินน์บอกว่ามีงานต่อได้ในจังหวะที่ดีสุด
“จริงด้วยสิ... แต่คุณไปเองได้ใช่ไหม?” เขายังคงเป็นห่วง
“ได้สิ... ไม่มีปัญหาเลย ฉันขอตัวก่อนนะคุณ... เยลลี่ไปก่อนนะคะพี่ใบหยก ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ!” ฉันคว้ากระเป๋าเตรียมตัวจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ จงใจทิ้งประโยคสุดท้ายให้กระแทกใจใครบางคน ทว่าเสียงพี่ใบหยกก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ให้เสือไปกับเยลลี่ดีไหม? เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกันได้ เพื่อนเยลลี่ก็น่าจะเป็นเพื่อนเสือด้วยใช่ไหม?” บ้าจริง! พี่ใบหยกก็เสือกเป็นคนดีได้ผิดที่ผิดทางฉิบหายเลย!
“มะ... ไม่” ในตอนที่ฉันกำลังจะปฏิเสธ
“ได้... รีบไปเถอะ ป่านนี้ซูซานคงปวดท้องจนรอไม่ไหวแล้ว” ไอ้เชี่ยเสือแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินนำฉันออกไป
ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามคนตัวสูงกว่าออกมาที่ลานจอดรถของอเวนิว ไอ้เสือมันขายาวแถมยังเดินเร็วจนฉันแทบตามไม่ทัน สุดท้ายมันก็นำฉันมาหยุดที่รถของมัน
“มึงไม่ต้องไป!”
“ทำไม? กลัวกูรู้เหรอว่ามึงสร้างเรื่องเพื่อหนีออกมาจากร้าน” เสือเลิกคิ้วถามฉันขณะที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
“ไม่ต้องเสือก!” ฉันถลึงตาใส่มันอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมตอนอยู่ในร้านไม่เห็นมึงปากเก่งแบบนี้เลยวะ? หรือพยายามจะสร้างภาพให้ไอ้เชี่ยดารานั่นคิดว่ามึงใสซื่อ!” ดูท่าว่าเสือจะโมโห แต่นั่นก็เป็นเรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับฉัน!
“แล้วมึงเสือกเชี่ยไรกับชีวิตกูอ่ะ! กูจะทำเชี่ยไรก็เรื่องของกูป่ะ?! กลับไปอยู่กับเมียมึงไป! เห็นหน้ามึงแล้วกูขัดหูขัดตาฉิบหาย!” ฉันด่ามันอย่างเหลืออด
“ฟินน์น่าจะรู้ว่ามึงแม่งแรด! กูน่าจะบอกมันนะว่ามึงเป็นเมียกูแล้ว อยากจะรู้ฉิบหายว่ามันยังจะเอามึงอยู่ไหม!”
เพี๊ยะ!
ฉันฟาดมือลงบนแก้มซ้ายของเสืออย่างแรงด้วยความจงใจ จ้องหน้ามันนิ่งก่อนที่ความเจ็บและจุกจะประดังประเดเข้ามาในโสตประสาท
“ไหนมึงบอกว่าจะเลิกยุ่งกับกูไง! กูแรดแล้วยังไง! กูเคยเอากับมึงแล้วยังไง! ถ้าฟินน์ชอบกูจริงๆ เขาคงไม่สนใจหรอกหากจะรู้ว่ากูเคยผ่านผู้ชายเชี่ยๆ อย่างมึงมา! เพราะขนาดเมียมึงยังทนความร่านของมึงได้เลย!” ฉันอยากร้องไห้... อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าการอกหัก!
“เยลลี่!!!” ไอ้เสือตะโกนขึ้นมาเสียงดังลั่นจนฉันสะดุ้งเพราะความตกใจ
“จากที่ไม่คิดจะมีแฟนง่ายๆ มึงรู้ไหมว่าตอนนี้กูโคตรอยากคบกับฟินน์เลย! กูจะได้หลุดพ้นจากผู้ชายระยำอย่างมึงสักที!” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
ฉันรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ และฉันก็ไม่สนใจด้วยว่าตัวเองจะต้องอายหากฟินน์จะรู้ว่าฉันเคยผ่านผู้ชายมาแล้ว มันไม่เห็นจะน่าอายตรงไหนเลย! เพราะสิ่งที่หน้าอายจนต้องหมุดตัวลงไปหลบซ่อนที่ใต้ดินนั้นคือการที่ทุกคนได้รู้ว่าฉันโง่ไปหลงชอบผู้ชายชั่วๆ อย่างไอ้เชี่ยเสือต่างหาก!
Jelly end.
Suer said :
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกแปลกๆ และจุกขึ้นมาที่อกเมื่อได้ยินเยลลี่บอกว่าอยากไปคบกับไอ้ฟินน์ มันคงกันง่ายๆ หรอกถ้ามันตาย แต่ตอนนี้ผมยังอยู่! เพราะงั้นอย่าหวังเลยว่าพวกมันจะได้มีความสุขด้วยกัน
ไม่ใช่ว่าผมเกลียดเยลลี่
ไม่ใช่ว่าผมเกลียดฟินน์
แต่มันเป็นเพราะผมอยากเห็นเยลลี่ยอมสยบลงที่ผมแค่คนเดียว ใช่... ผมเลวอย่างที่มันบอกนั่นแหละ ผมยอมรับครับ แต่แล้วยังไงล่ะ? อะไรที่เสือต้องการ เสือต้องได้ นี่คือคติเดียวที่ผมถืออยู่
และที่ผมบอกเยลลี่ว่าจะเลิกยุ่งกับมัน ในตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นจริงๆ นะ อยากจะปล่อยมันไปจริงๆ แต่พอได้เห็นหน้ามันอีกครั้ง อยู่ๆ ก็อยากจะเปลี่ยนใจขึ้นมา ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มที่มันยิ้มให้ไอ้ฟินน์แล้ว ผมยิ่งตัดสินใจกลับคำพูดตัวเองได้ทันควันเลยจริงๆ
ผมมองร่างบางที่เดินกระทืบเท้าห่างไปไกลเรื่อยๆ จนหายไปจากสายตา ยกบุหรี่ในมือมาสูบแล้วปล่อยกลุ่มควันที่เทาจางๆ ออกมา ไม่ใช่แค่ตัวเยลลี่ หรือกลุ่มเพื่อน แต่แม้แต่ตัวผมเองก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากจะเอาชนะมันมากขนาดนี้ คำตอบที่ได้คือ
เพราะไม่เคยมีใครปฏิเสธผม แต่เยลลี่ทำ
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนบอกว่าเซ็กซ์ของผมมันห่วย แต่เยลลี่บอก
ไม่เคยมีใครทำท่าทางรังเกียจผม แต่เยลลี่เป็น
ผู้หญิงทุกคนต้องการและเรียกร้องตัวผม แต่เยลลี่ไม่ต้องการ
และผมไม่เคยติดใจและเสพติดร่างกายผู้หญิงคนไหนแม้กระทั่งใบหยก แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองต้องการร่างกายของเยลลี่ตลอดเวลา... แต่อย่าเข้าใจผิดนะ มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นเพียงความต้องการทางเพศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เยลลี่ทำผมผิดหวัง... ผมไม่ชอบผู้หญิงแรด ออกไปทางโคตรจะเกลียดเลยก็ว่าได้ แล้วเป็นไง... เยลลี่แม่งเจ้าแม่ของผู้หญิงแรดเลย! มันทั้งเข้าหาผู้ชายก่อน ทั้งคุยไปทั่ว มั่วไปเรื่อย ผมเห็นแล้วอยากจะฆ่าแม่งให้หมด! อยากให้ผู้ชายทุกคนที่เคยสัมผัสตัวมันตายหรือหายไปโลกนี้! ผมต้องการเป็นผู้ชายคนเดียวที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของมัน ถึงแม้ว่าความต้องการนี้จะเป็นไปไม่ได้แล้วก็ตาม! เพราะเยลลี่มันแรด!
ผมยังยืนคำเดิมนะว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความรัก
ผมขับรถมาส่งใบหยกที่บ้าน ระหว่างทางผมมีเรื่องมากมายที่ต้องคิด เลยทำให้บรรยากาศในรถเงียบงันไปหมด และมันคงทำให้ใบหยกอึดอัดขึ้นมา
“เสือคิดอะไรอยู่?” ใบหยกผู้น่ารักของผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานใส
“คิดว่าเมื่อไหร่ผมจะเรียนจบ เมื่อไหร่ผมจะได้อยู่กับคุณแบบไม่ต้องแยกจากกันสักที” ผมโกหก... เรื่องนี้น่ะเคยคิดแต่มันเป็นเมื่อสามปีก่อน ก่อนที่ใบหยกจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ
“โกหก” แล้วใบหยกก็รู้ทัน
“ทำไมคิดแบบนั้น?” ผมหันไปถามเธอที่กำลังมองผมอยู่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง ใบหน้าสวยนั้นปราศจากรอยยิ้มใดๆ
“ก็ถ้าเราไม่ได้คบกันมานาน ใบหยกคงไม่รู้หรอกว่าเวลาโกหกมักยิ้มเสมอ ทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนยิ้มยากจะตาย” แฟนของผมเป็นคนฉลาด และมักจะคอยสังเกตอะไรๆ อยู่เสมอ
“รู้ทันตลอดเลย” ผมยื่นมือไปกุมมือเล็กนั้นไว้
“ตกลงเสือคิดอะไรอยู่ ไม่ได้อยากเซ้าซี้หรอกนะ แต่ใบหยกอยากรู้ว่าตัวเองคิดถูกไหม” ในตอนนั้นผมขับรถมาถึงที่หน้าบ้านของใบหยกพอดี ผมเข้าเกียร์แล้วปลดเข็มขัดนิรภัย พลิกตัวไปมองหน้าเธออย่างเต็มที่
“แล้วคุณกำลังคิดอะไร” ผมถามกลับ อยากที่รู้ว่าเธอก็จะบอกออกมาได้ถูกต้อง
“เสือกำลังคิดถึงคนอื่นอยู่ เพียงแต่ใบหยกแค่ไม่แน่ใจว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่เก่งพอจะทำให้เสือคิดถึงได้” แม้กระทั่งตอนงอน ใบหยกก็ยังคงน่ารัก
“ก็คุณไงที่เก่งที่สุด ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ”
“ไม่ต้องมาปากหวานหรอก รีบๆ เคลียร์ตัวเองเลยนะ! ใบหยกกลับมาแล้ว... ต่อไปห้ามเสือไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีกเด็ดขาด!” เธอทำเสียงแข็ง แต่ผมรู้ว่าใบหยกใจดีกับผมเสมอ ไม่งั้นเธอคงทนผมไม่ไหวหรอก
“ไม่อยากให้คุณไปเลย อยากพาไปนอนกอดที่ห้องต่ออีก” ผมทำเสียงออดอ้อน แน่นอนว่าไม่มีใครเคยเห็นมุมนี้มาก่อนนอกจากใบหยก
“ไว้วันหลังนะคะ วันนี้ให้ใบหยกไปกอดพ่อแม่ก่อน”
“ครับ”
ผมตอบรับขณะที่ดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าจากไหล่ของเธอมาที่ใบหน้าเล็กๆ ไล่จมูกสัมผัสพวงแก้มแดงก่ำ จนเรียวปากของเราสัมผัสกัน
“ใบหยกรักเสือนะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ครับ” ผมเพียงตอบรับ
“จนถึงตอนนี้ก็ไม่คิดจะยอมบอกว่ารักกันใช่ไหม?” เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เพราะเข้าใจดีว่าผมไม่มีความสามารถที่จะเอ่ยว่ารักใครได้ ไม่ใช่เพราะผมไม่รัก ผมเพียงแค่ไม่พูดแค่นั้นเอง
“อยากฟังไหม?” ผมเอ่ยถาม
“อยากฟังไหมก็อยาก แต่ไม่ชอบบังคับใคร ถ้าเสือไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ใบหยกรอได้”
“ขอบคุณครับ”
ผมขับรถออกมาจากบ้านของใบหยก ในตอนนั้นสิ่งแรกที่ผมนึกออกคืองานที่ไอ้ดนัยหรือเดชดนัยเคยโทรมาหาผมเมื่อวันก่อน มันคืองานที่ต้องการจ้างผมให้ไปถ่ายกล้องสองใน MV อะไรสักอย่างที่ไอ้ฟินน์เล่นเป็นพระเอก ตอนนั้นผมปฏิเสธไป เพราะขี้เกียจ งานเงินน้อยผมไม่ค่อยรับอ่ะ... มันเสียเวลา และผมก็มีเงินเยอะอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมต้องการทำงานนี้ และผมต้องได้ทำ!
“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปในสายเมื่อไอ้ดนัยมันรับสายของผม
“เออ ว่าไงวะมึง”
“งานกล้องสองคราวที่แล้วอ่ะ ได้คนยัง?”
“ได้แล้ว”
“ยกเลิกไปเลย กูจะทำ”
“เชี่ย! ยกเลิกไม่ได้ กูดีลเขาไปแล้ว จะไปยกเลิกงานเขาได้ไงวะ ไอ้เชี่ยนี่มึงบ้า ป่ะ?”
“เอาค่าตัวกูไปให้มัน แล้วบอกไปนอนอยู่บ้านไป เดี๋ยวกูไปทำเอง”
“ไอ้สัด! ไม่ได้!”
“ต้องได้! คอนเฟิร์มนะ แค่นี้!” แล้วผมก็วางสายทันที เห็นไหมว่าผมบอกแล้ว อะไรที่ผมต้องการ ผมต้องได้ ต่อให้ต้องเสียงเงิน เสียเวลาเท่าไหร่ ผมก็ไม่สน
Suer end.
