บทที่ 6 รักแรก
ฉันกลับมาที่บ้าน เลือกกระเป๋าใบที่รักน้อยที่สุดออกมา ฉันบอกลามันทั้งน้ำตา จูบลามันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะขับรถพามันไปมอบให้เจ้าของคนใหม่ ใช้เวลาไม่นานฉันก็มีเงินสองแสนมาอยู่ในบัญชี ฉันจัดการโอนเงินจ่ายเงินเดือนให้พนักงานและจ่ายค่าเช่าร้าน ฉันอาจต้องเสียกระเป๋าอีกใบในเดือนหน้า ยอมเสียได้ทั้งหมด แต่จะไม่ยอมเสียร้านกาแฟของฉันไปเป็นอันขาด!
ตลอดทั้งวันจนถึงตอนเย็น ร็อกเก็ตโทรหาฉันเพียงครั้งเดียว และพอฉันไม่รับเขาก็ไม่โทรมาอีกเลย ฉันโกรธเขานะ แต่มากกว่านั้นคือฉันเสียใจที่เขาไม่ช่วย... ฉันไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว เหนื่อยเหลือเกินกับการเสียน้ำตา ฉันมีเพียงทางออกเดียวเพื่อให้ลืมความเสียใจในวันนี้ คือเมา
ฉันมีไดอารีอยู่เล่มหนึ่ง เนื้อหาที่เขียนลงไปล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของร็อกเก็ต ฉันนำมันติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอด อย่างตอนนี้ที่ฉันมาเมาในเลาจน์ของโรงแรม ฉันก็เอามันมาด้วย ฉันมักจะเขียนความดีงามและความรักที่ร็อกเก็ตไว้ในครึ่งเล่มหน้า ส่วนครึ่งเล่มหลังมันคือเรื่องแย่ๆ ที่เขาทำ
ร็อกเก็ตไม่เข้าข้างและบอกให้เซ้งร้านกาแฟ... นั่นคือข้อความที่ฉันเขียนลงไปที่ครึ่งเล่มหลัง ก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋า แล้วจะคว้าไวน์ขึ้นมาดื่ม ฉันทอดสายตาออกไปมองภาพเมืองแห่งสีสันด้านล่าง ลมเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะใบหน้าฉันเบาๆ แล้วในตอนนั้นเอง... ฉันได้เห็นสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมาที่ฉัน พลันหัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นมา ฉันจำสายตาคู่นั้นได้ดี...
เขายกยิ้มที่มุมปากเมื่อเราสบตากันอยู่นาน ร่างสูงลุกจากโต๊ะของตัวเองแล้วเดินมาหยุดที่ตรงหน้าฉัน ฉันจำเขาได้ และก็เชื่อว่าเขาเองก็จำฉันได้ดี...
“พี่เคนโซ?” ฉันเอ่ยชื่อรุ่นพี่สมัยไฮสคูลที่... เป็นรักแรกของฉัน
“เชลโล่ใช่ไหม?” เขายังคงยิ้ม รอยยิ้มของเขามันทำให้หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะ
“ชะ... ใช่ค่ะ”
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นเชลโล่ พี่นั่งมองอยู่สักพักแล้ว แต่ไม่กล้าเข้ามาทักกลัวว่าเชลโล่จะจำพี่ไม่ได้”
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ เพียงแต่เชลโล่ไม่รู้เลยว่าพี่กลับมาประเทศไทยแล้ว”
“กลับมาได้หลายปีแล้วล่ะ พี่นั่งได้ไหม? นัดใครไว้หรือเปล่า?”
“นั่งได้ค่ะ เชลโล่มาคนเดียว” แล้วพี่เคนโซก็นั่งลงที่ตรงข้ามฉัน อยู่ๆ ภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมา สิบเอ็ดมาแล้วล่ะมั๊งที่ฉันไม่ได้พี่เขาอีก หลังจากที่พี่เขาเรียนจบจากไฮสคูลแล้วก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ
“สบายดีไหม? โตเป็นสาวแล้วสวยไม่เบาเลยนะน้องสาวพี่” ใช่... ถึงแม้ว่าพี่เคนโซจะเป็นรักแรกของฉัน แต่ฉันกลับได้เป็นแค่น้องสาวของเขาเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าฉันรู้สึกยังไง
“อย่าเรียกว่าโตเป็นสาวเลย เชลโล่จะสามสิบแล้วนะ” ฉันยิ้มเขินใหกับคำชมของเขา
“แต่ก็ยังไม่ตอบพี่ว่าสบายดีหรือเปล่า”
“ก็... เรื่อยๆ ค่ะ ดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วแต่วัน” ฉันเอ่ยตอบขณะที่หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม
“อย่างเช่นวันนี้ ที่เป็นวันไม่ดี ใช่ไหม?” พี่เคนโซจ้องมองฉันด้วยสายตาที่ฉันเองก็มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉันยกสองมือขึ้นมากุมใบหน้าตัวเอง
“ถึงจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เชลโล่ก็มีอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจากตอนเด็กๆ นะ รู้ตัวหรือเปล่า?” บ้าจริง... ใจฉันจะเต้นแรงทุกครั้งที่พี่เคนโซยิ้มไม่ได้นะ!
“อย่าบอกนะคะว่าสมอง ฮะๆ” ฉันหัวเราะแก้เขิน
“สายตาต่างหาก... เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น” โอ้ว มาย กอด... พี่เคนโซ ได้โปรดอย่าอ่อยคนใจบางที่กำลังจะแต่งงานอย่างฉัน
“แล้วตอนนี้พี่เคนโซทำอะไรอยู่คะ?” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่อง
“พี่เหรอ? ก็ลงทุนไปเรื่อย... อะไรน่าสนใจก็เอาเงินไปลง”
“เป็นนักลงทุนเหรอคะ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ แล้วเชลโล่ล่ะ ทำอะไรอยู่? ดูท่าคงไม่ได้ทำงานของที่บ้านหรอกใช่ไหม เพราะพี่จำได้ว่าเชลโล่ไม่ชอบพวกเครื่องจักร” ฉันเองก็จำได้ว่าเคยเล่าอะไรหลายๆ เรื่องให้พี่เขาฟัง สมัยที่เรายังเรียนอยู่ที่เดียวกัน
“ถูกต้อง เชลโล่เปิดร้านกาแฟค่ะ ว่างๆ อยากให้พี่เคนโซลองมาชิมนะ กาแฟที่ร้านอร่อยมาก เชลโล่คอนเฟิร์ม” ฉันยกมือขึ้นเสมผม เมื่อลมพัดผ่านจนผมฉันปลิวว่อนไปหมด
“หืม?” ในตอนนั้นเองพี่เคนโซก็หุบยิ้ม สายตาจับจ้องมาที่แหวนหมั้นของฉัน
“แต่งงานแล้วเหรอ?” เขาเอ่ยถาม
“แค่หมั้นค่ะ แต่มีแพลนจะแต่งในเดือนธันวานี้แหละ” ฉันรีบเก็บมือลงทันที
“ยินดีด้วยนะ เชลโล่โตแล้วจริงๆ” พี่เคนโซเริ่มยิ้มอีกครั้ง
“แต่งงานนี่แปลว่าโตแล้วเหรอคะ?” ฉันเลิกคิ้วถามอย่างนึกอยากรู้จริงๆ ว่าคนส่วนใหญ่เขาคิดกันแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม แต่งงาน = โตเป็นผู้ใหญ่
“ไม่เสมอไปหรอก แต่การมีครอบครัวจะทำให้เราโตขึ้นเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
“แล้วพี่เคนโซล่ะ แต่งงานหรือยัง”
“การแต่งงานคือเรื่องห่างไกลมากสำหรับพี่” แสดงว่าเขายังไม่แต่งงาน
“แฟนล่ะคะ?” ฉันถามต่อด้วยความอยากรู้ แล้วก็ได้คำตอบจากเขาเพียงการส่ายหน้า ก่อนที่ผู้ชายใส่สูทดำคนหนึ่งจะเดินเข้ามาหยุดยืนที่ด้านหลังที่เคนโซ
“นายครับ ได้เวลาแล้วครับ” พี่เคนโซทำเพียงโบกขึ้น ก่อนจะยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยนเหมือนที่เขาชอบทำ
“พี่ต้องไปแล้วล่ะเชลโล่ ดีใจมากนะที่เราได้เจอกันอีก” เขาเอ่ยกับฉันขณะที่ลุกจากโต๊ะ
“เช่นกันค่ะพี่เคนโซ” จบคำพูดฉันพี่เขาก็เดินออกไป และถ้าจะมีอะไรที่ฉันต้องทำในตอนนี้ นั่นก็คือการโทรหายัยป่าน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตั้งแต่ไฮสคูล
“ฮัลโหล... ป่าน!”
[ว่ายังไงจ๊ะ ยัยเพื่อนเก่า ฉันนึกว่าแกลืมกันไปแล้วซะอีก]
“จะลืมได้ยังไง ที่ฉันโทรมาเนี่ย ก็เพื่อจะให้แกทายว่าวันนี้ฉันเพิ่งเจอใครมา”
[แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะ วันๆ เลี้ยงลูกอยู่แต่บ้าน ไม่เคยได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน]
“พี่เคนโซ!”
[พี่เคนโซ? รุ่นพี่ที่แกแอบปลื้มสมัยไฮสคูลน่ะเหรอ?]
“ใช่ๆ ใจฉันเต้นแรงมากแกรู้ไหม สิบเอ็ดปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน พี่เขายังหล่อและดูดีเหมือนเดิมเลย”
[เชลโล่... ฉันจำได้ว่าแกกำลังจะแต่งงานกับแฟนที่คบกันมาสิบปี แล้วนี่แกยังไม่ลืมพี่เขาอีกเหรอ?]
“ลืมก็บ้าแล้ว!มีใครบ้างที่จะลืมรักแรก!”
[ก็จริง... นี่เชลโล่... ถ้าฉันจำไม่ผิด มีเพื่อนๆ รุ่นเดียวกับเราบอกว่าพี่เคนโซเขาเป็นมาเฟียล่ะ]
“บ้า!มาเฟียอะไรของแก พี่เคนโซเขาเป็นนักลงทุน”
[จริงๆ พวกเพื่อนเราบอกว่าพี่เคนโซเขามีอิทธิพลมากเลยนะ แถมยังข้องเกี่ยวกับธุรกิจสีเทาด้วย] ฉันฟังนะ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเชื่ออะไร อีกอย่าง... ถ้าพี่เคนโซเขาจะเป็นมาเฟียจริงๆ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย
[แกๆ ลูกฉันร้องน่ะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ] แล้วยัยป่านก็ตัดสายไปทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้ตอบอะไรสักคำ
Cello end.
At Cello’ s Home
รถยนต์คันหรูวิ่งเข้ามาจอดในโรงรถของบ้านหลังโต ก่อนที่ร่างบางจะลงจากรถมาพร้อมความเมามาย ขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าบ้าน อยู่ๆ ก็มีเงาของร่างสูงปรากฏขึ้น แล้วร่างบางก็ถูกฉุดออกมาจากตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ!” เธอส่งเสียงร้อง เมื่อโดนชายหนุ่มยัดตัวใส่รถไปยังที่นั่งข้างคนขับ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” ร็อกเก็ตกระแทกน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะอ้อมไปนั่งที่เบาะฝั่งคนขับแล้วขับรถออกไปด้วยความเร็วสูง
