1 ปลายจมูกของเราสัมผัสกัน
Namhom’s Part
ทันทีที่รถของจุนมาจอดหน้าบ้าน ฉันก็เปิดประตูรถลงไปโดยปราศจากคำพูดใดๆ ไม่ได้อยากจะงอนเขาหรืออะไรหรอกนะแต่แค่คิดว่าเขานัดใครเอาไว้กันแน่ แค่ไปถ่ายรูปทำไมฉันถึงไปด้วยไม่ได้
“กลับมาแล้วเหรอลูก แล้วพี่จุนล่ะ” พอเดินเข้ามาในบ้านแม่ที่สวมผ้ากันเปื้อนก็เดินเข้ามาถาม
“พี่จุนไปถ่ายรูปกับเพื่อนต่อ” ไร้หางเสียงใดๆ มันเป็นสไตล์ของบ้านเราน่ะ
เวลาที่อยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ฉันต้องเรียกจุนว่าพี่… ใช่ว่าลับหลังฉันจะไม่อยากเรียกเขาแบบนั้นนะ แต่เพราะเขาสั่งห้ามต่างหาก
ย้อนกลับไปสิบปีก่อนตอนที่ฉันเจอเขาครั้งแรก ขอบอกก่อนว่าฉันไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของพ่อกับแม่หรอก ท่านรับอุปการะฉันมาจากสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องดราม่าอะไรนะ เพราะตอนนี้ฉันมีความสุขดี มีพ่อมีแม่และพี่ชายที่รักมากๆ
ลืมเล่าไปเลยว่าทำไมฉันถึงเรียกจุนว่าพี่ไม่ได้ ก็อย่างที่บอกว่าตอนฉันกับเขาได้เจอกันครั้งแรก จุนเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ฉัน ทั้งๆที่พ่อกับแม่บอกว่าเขากำลังจะมีน้องสาวแต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ และแน่นอนว่าเขาบอกกับฉันว่า ‘ห้ามเรียกฉันว่าพี่… เธอไม่ใช่น้องสาวฉัน’
ถึงเขาจะทำเหมือนรำคาญฉันบ้างในบางที อีกทั้งยังโลกส่วนตัวสูงมาก แต่เราก็สนิทกันนะ เขาน่ะเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นชอบทำเป็นไม่รู้จัก ไม่สนใจฉัน แต่พอลับหลังหน่อยไม่ได้ต้องมาง้อทุกที ถึงจะง้อแบบอ้อมๆก็เถอะ
“ไหนว่าจะกลับมากินข้าวด้วยกัน แม่อุตส่าห์ทำไว้ตั้งเยอะ” แม่บ่นด้วยสำเนียงติดไปทางญี่ปุ่น แม่ฉันเป็นคนญี่ปุ่นน่ะ แต่ก็พูดไทยชัดนะ เพราะท่านมาอยู่ที่นี่เกือบจะสามสิบปีแล้ว
“เดี๋ยวหนูกินเองแม่ แล้วพ่อล่ะ” ฉันถามถึงพ่อพร้อมรอยยิ้ม พ่อของฉันเป็นเจ้าของบริษัทออกแบบภายใน จุนเคยบอกว่าพ่อของเราดังมาก ได้รางวัลระดับประเทศมามากมาย นั่นเป็นอีกเหตุผลที่นึงที่ทำให้ฉันพยายามอย่างมากในการเอนทรานซ์เข้ามาเรียนคณะสถาปัตย์ที่มหาลัยที่พ่อเคยเรียน
“พ่อทำงานอยู่บนห้อง… นี่หนูตัดผมหน้าม้าเองอีกแล้วเหรอลูก” แม่ยื่นหน้าเข้ามาจ้องผมหน้าม้าของฉัน
“เปล่านะ” ฉันมุ้ยหน้ายกมือขึ้นปิดผมหน้าม้าของตัวเอง
“อย่ามาโกหกแม่นะ ถ้าไม่ได้ตัดเองมันจะแหว่งแบบนี้ได้ยังไง” แม่รู้ทันอีกจนได้
“หนูจะไม่ทำแล้ว มีอะไรให้กินบ้างแม่หนูหิวมากเลย”
ฉันเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินเข้ามาสำรวจอาหารให้ห้องครัว ส่วนใหญ่แม่จะชอบทำอาหารญี่ปุ่นที่แม่ถนัด และอีกเช่นเคยเพราะอาหารที่ฉันเห็นมันคือข้าวหน้าเนื้อ
หลังจากที่กินข้าวเย็นกับพ่อและแม่เสร็จ ฉันก็ขึ้นมาบนห้องเพื่อมาคุยวิดีโอคอลกับแพรวพราวและไข่หวาน เพื่อนสนิทของฉันเอง
[พรุ่งนี้วันจันทร์อีกแล้ว ฉันไม่อยากไปเรียนเลย] ไข่หวานบ่นออกมาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“ฉันอยากไปเรียนนะ แต่ไม่อยากเข้ารับน้อง เหนื่อยจะตาย” ทั้งๆที่คิดว่าอยู่ปีสองแล้วจะรอดชีวิตจากการรับน้องที่สุดแสนจะน่าเบื่อ แต่เปล่าเลย… ฉันต้องกลายมาเป็นพี่โอ๋ ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้อยากเป็นเลยแม้แต่น้อย ไว้เดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องระบบรับน้องของคณะสถาปัตย์ที่ฉันเรียนให้ฟังนะ
[แกมันโง่น้ำหอม เข้ารับน้องน่ะดีจะตายไป] แพรวพราวพูดไปก็ทาครีมบำรุงหน้าไปด้วย ยัยนี่น่ะเป็นพวกรักสวยรักงามและดูแลตัวเองสุดๆ
“ดียังไง?” ฉันส่ายหน้าเพราะได้เจอมากับตัวจริงๆจึงได้รู้ว่าการรับน้องนั้นหาข้อดีไม่ได้
[ก็เราจะได้เทคแคร์และคอยโอ๋รุ่นน้องปีหนึ่งหน้าตาดีๆ อีกทั้งยังได้ใกล้ชิดพี่ว้ากปีสามไงล่ะ] แพรวพราวยิ้มให้หน้าจอมือถือของตัวเอง
“หึ่ย! พี่ว้ากเห่ยๆน่ะเหรอที่แกอยากเข้าใกล้” ฉันเบะปาก
[พี่จุนของฉันน่ะเหรอเห่ย ออกจากหล่อ เท่ห์ สุขุมดูนุ่มลึกละมุนละไม แถมยังเก่งอีกต่างหาก] ไข่หวานทำหน้าเพ้อฝัน
[พี่จุนของฉันต่างหาก!] แพรวพราวถลึงตาใส่
[ว่าแต่ก็น่าแปลกนะ พี่จุนอยู่ในแก๊งพี่ว๊าก แต่ฉันไม่ยักเห็นเขาว้ากเลยสักครั้ง]
[ก็พี่จุนเขาไม่ชอบน่ะสิ แกจะไปรู้อะไรเป็นได้แค่แฟนคลับปลายแถว ที่พี่จุนเขาต้องมายืนคุมพวกเราน่ะเป็นเพราะพี่ต้นไม้เพื่อนสนิทเขาที่เป็นเฮ๊ดว้ากขอร้องต่างหาก] แพรวพราวตอบอย่างรู้จริง
[ขอร้องทำไม] ไข่หวานสงสัย
[ก็เพราะพี่จุนน่ะเป็นตัวดึงดูดให้สาวๆทั้งหลายมารับน้องน่ะสิ คงไม่ต้องบอกเหตุผลหรอกนะว่าทำไม]
ฉันส่ายหน้าให้กับเพื่อนสองคนที่ชอบจุนอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง... ทั้งที่เรียนหนัก งานก็เยอะแต่ก็ยังจะเสนอชื่อเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องเพราะอยากจะใกล้ชิดกับจุน และคนที่ซวยน่ะคือฉัน!
[เอ้อ! น้ำหอมแกไปแอบถามพี่จุนให้หน่อยสิว่าพรุ่งนี้พี่ว้ากจะลงมาเช็กวินัยหรือเปล่า ฉันจะได้ไม่ใส่เสื้อตัวใหม่ไป] แพรวพราวเอ่ยปาก
ทุกครั้งที่พี่ว้ากหรือที่พวกเรามักจะเรียกกันว่าพี่วินัยลงมาเช็กระเบียบกับปีหนึ่งและปีสอง มันจะต้องเกิดเรื่องทุกครั้ง ไม่ว่าจะสั่งกลิ้งกับโคลน หมอบกับพื้น ลุกนั่งนับร้อย ยาวไปถึงการสาดน้ำ โหดใช่ไหมล่ะ?
แต่ต้องบอกก่อนว่าการรับน้องของคณะฉันทุกคนล้วนต้องสมัครใจนะ ไม่มีใครถูกบังคับทั้งนั้น พวกน้องปีหนึ่งน่ะจะไม่ถูกทำโทษหรอก เพราะจะมีวลีที่ว่า ‘คุณไม่ใช่น้องผม! ผมทำอะไรคุณไม่ได้ แต่จะทำพี่คุณแทน’ อะไรทำนองนั้น
และเพราะแบบนี้แหละพวกปีหนึ่งจึงแห่กันเข้ามารับน้อง คณะของฉันน่ะดังเรื่องนี้มาก มันที่กล่าวขานมาหลายรุ่นแล้วว่าใครที่ได้เข้าการรับน้องของคณะเราถือว่าพวกคุณสุดยอดที่สุด... แต่ตรงไหนล่ะ?
[ว่าไง... ไปถามให้หน่อยสิ] แพราพราวย้ำ
“อืมๆ” ฉันตอบไปแบบส่งๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมหน้าม้าของตัวเองอย่างเคยชิน
[น้ำหอม!] อยู่ๆไข่หวานก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“อะไร”
[นี่แกตัดผมหน้าม้าเองอีกแล้วเหรอ?] เรื่องนี้อีกจนได้สิน่า!
[มันแหว่งนี่!] แพราพราวพูดขึ้น
“ฉันง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ” ฉันตัดบทอย่างรำคาญแล้วกดวางสายวิดีโอคอลทันที
หรือมันจะแหว่งจริงๆ ว่าแล้วฉันก็ลุกออกจากเตียงเดินออกจากห้องนอนเพื่อจะไปห้องน้ำ จุนยังไม่กลับมาฉันรู้ได้จากความมืดตรงช่องประตูของเขาที่อยู่ตรงกันข้ามของห้องฉัน ชิ! ดึกป่านนี้แล้วคงไปดื่มเหล้าอีกแน่ๆ
ฉันเปิดไฟห้องน้ำที่เป็นห้องน้ำสำหรับของฉันและจุน เราใช้ห้องน้ำร่วมกันน่ะ แม่บอกว่ามันจะช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เลย บ้านออกตั้งใหญ่โต ทำไมจะสร้างห้องน้ำในห้องนอนของฉันไม่ได้...
โอ... มันแหว่งจริงๆด้วย ฉันมองผมม้าของตัวเองผ่านกระจกที่อ่างล้างหน้าอย่างเจ็บปวดใจ นี่ฉันต้องแก้โดยการตัดผมให้มันเต่อขึ้นไปกว่าเดิมเหรอเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องที่น่าทำเลยจริงๆ
และระหว่างที่ฉันกำลังพยายามเล็มผมตัวเองอยู่นั้น อยู่จุนก็เดินเข้ามายืนด้านหลังอย่างเงียบๆ มองผ่านกระจกฉันก็รู้ว่าเขากำลังมองหน้าฉันอยู่
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าตัดผมเอง” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“จุน!” เดี๋ยวนี้เขาชอบเข้าห้องน้ำตอนที่ฉันกำลังใช้อยู่บ่อยๆ
“หืม” ยังจะมาทำหน้านิ่งอีก ชิ!
“เค้าใช้ห้องน้ำอยู่ อย่าเพิ่งเข้ามาสิ!”
“ก็เธอไม่ปิดประตู... หันมานี่”
เขาจับไหล่ฉันหมุนตัวให้หันไปหาเขา ก่อนที่มือหนาๆนั่นจะแย่งเอากรรไกรไปจากมือฉัน จุนค่อยๆก้มหน้าแล้วยื่นเข้ามาให้...
ตึกๆ ตึกๆ
โอ... ไม่นะ! หัวใจของฉันเต้นถี่เกินไปแล้ว! ก็ตอนนี้หน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบเอง เขาจะยื่นเข้ามาใกล้ทำไม! กลิ่นเหล้าเคล้าบุหรี่จากลมหายใจของเขามันทำให้แก้มฉันร้อนผ่าวขึ้นมา... จุนนายกำลังจะแกล้งฉันอีกแล้วใช่ไหม
จุนยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก แววตาของเขาที่จ้องมาทำฉันอยากจะละลายย้วยไปในตอนนี้ ปลายจมูกของเราสัมผัสกัน นี่เขาจะทำอะไรของเขากันนะ ฉันเบนหน้าหนีเขาอย่างทำตัวไม่ถูก ริมฝีปากเม้มเยียดตรง
“หลับตา... อยู่นิ่งๆ” เขาพูดขึ้น แววตานั้นเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาเหมือนเช่นเคย... ก่อนจะค่อยๆง้างกรรไกรตัดผมม้าของฉัน อยากจะบอกเขามากว่าฉันนิ่งจะแทบจะหยุดหายใจอยู่แล้ว! เมื่อไหร่เขาจะตัดเสร็จสักที ถ้านานกว่านี้อีกไม่กี่วินาที ฉันต้องตายเพราะหมดลมหายใจแน่ๆ
“เสร็จแล้ว”
“ฮึก!” ฉันสูดเอาลมเข้าปอด
จุนขมวดคิ้วมองฉันก่อนจะจับไหล่ฉันหันกลับไปส่องกระจก... ตอนนี้ผมของฉันไม่แหว่งอีกแล้ว แถมหน้าม้าก็ไม่ได้เต่ออย่างที่คิด
“ยิ้มอะไร” เขาถาม สายตาแข็งๆนั้นจ้องฉันผ่านกระจก
“เปล่า”
“ไปนอนละ พรุ่งนี้ตื่นให้ทันด้วยถ้าไม่อยากไปเรียนเอง เพราะฉันจะไม่รอ” ใจร้ายอีกแล้ว...
“พรุ่งนี้เช็กวินัยไหม”
“ถามทำไม”
“เพื่อนอยากเค้ารู้”
“ไม่บอก” จุนเดินออกจากห้องน้ำไปหยุดที่หน้าห้องนอนของตัวเอง
“จุน” ฉันเรียกเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปหา
“วันๆจะเรียกชื่อฉันสักกี่รอบ” เขาเลิกคิ้วถามอย่างรำคาญ ทำไมเขาชอบทำรำคาญฉันจังนะ!
“วันนี้ไปกับใครมาเหรอ” ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจ ถามออกไปทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ตอบหรอก
“ถามทำไม”
“ก็...”
“ต้นไม้ นาย แล้วก็เพื่อนที่เธอไม่รู้จักอีกสามสี่คน” เขาตอบ... ไม่น่าเชื่อแฮะ
จุนเดินเข้าห้องไปทันที ฉันยิ้มออกมาก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง... ทิ้งตัวลงนอนทั้งๆที่ยังเปิดไฟไว้แบบนั้น... ฉันไม่ชอบความมืดน่ะ... ไม่รู้ว่าทำไม รู้แต่ว่ามันน่ากลัวเหลือเกิน...
?
