คำเตือนครั้งที่ 7 งานวันเกิด (1)
คำเตือนครั้งที่ 7
งานวันเกิด (1)
วันถัดไป
วันศุกร์มีเรียนสองวิชาซึ่งวิชาสุดท้ายล่วงเลยมาจนถึงห้าโมงเย็น ฉันและเพื่อนสนิทสองคนเดินลงมาจากตึกด้วยสภาพไร้วิญญาณ เนื่องจากวิชาในวันนี้เรียกได้ว่าโหดหินเกินกว่าคนอย่างฉันจะรับไหวจริง ๆ
“พวกพี่ ๆ เขาผ่านปีหนึ่งกันมาได้ยังไงวะ หรือมันเป็นที่ตัวฉันเองที่โง่ หัวสมองตื้อไม่รับอะไรแล้วเนี่ย เฮ้อ”
“เออ! ฉันก็รู้สึกเหมือนแกเลยยัยแฟง ขอกดสคิปข้ามไปตอนเรียนจบเลยได้ไหมเนี่ย”
เสียงของฟักแฟงและพัชชาพร่ำบ่นถึงคาบเรียนที่ผ่านพ้นมา เรี่ยวแรงของกล้ามเนื้อขาในการก้าวเดินเชื่องช้าจนสามารถเปรียบเทียบได้กับเต่าเลยก็ว่าได้ ส่วนฉันที่แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แต่ความรู้สึกมันก็ไม่ได้แตกต่างกับเพื่อนอีกสองคนสักเท่าไหร่หรอกนะ
“เหนื่อย ๆ แบบนี้แล้วอยากกินปังเย็นเลยอ่า ตอนนี้มีแค่ของหวานเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาจิตใจของฉันได้” ฉันผ่อนลมหายใจไปพร้อม ๆ กับการนึกถึงของหวานแสนอร่อย เลิกเรียนวิชาโหดหินแบบนี้ สิ่งเดียวที่จะสามารถทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นได้ก็เห็นจะมีแค่ของหวานที่แสนโปรดปรานเท่านั้นแหละ
“แกลืมอะไรไปอย่างหนึ่งเปล่ายัยเทีย ตอนนี้สำหรับแกน่ะไม่ใช่แค่ของหวานแล้วนะที่เป็นของโปรดปรานของแก”
“โอ๊ะ! ใช่ ๆ แกพูดดีมากเลยยัยแฟง”
“อะไรของพวกแก” ฉันขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทที่ตบมือแท็กทีมเข้าขากันจนน่าหมั่นไส้ แต่ถึงยังไงฉันก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่จะสื่อถึงอยู่ดี
“เอ๊า! ก็พี่เมฆไง คนนั้นอะยิ่งกว่าของหวานอีกไม่ใช่เหรอ เยียวยารักษาได้ทุกอย่าง เป็นทุกอย่างให้น้องเทียน่าแล้วจ้า!” พัชชาลากเสียงยาวในคำสุดท้ายของรูปประโยค ซึ่งคำพูดเหล่านั้นทำให้ฉันถึงกับเบิกตากว้างและรีบยกมือขึ้นปิดปากของเพื่อนสนิทในทันที
“ยัยบ้า! แกนี่จริง ๆ เลยนะ ชอบมั่วตลอด”
“ไม่มั่วสักหน่อย แล้วนี่เป็นแฟนกันยังอะ หรือว่าแกคบกันแล้วแต่ไม่ยอมบอกพวกฉัน เอ๊ะ! ไม่ได้นะ แบบนี้ฉันไม่ยอมนะยัยเทีย!”
“จะบ้าเหรอ! คบอะไรล่ะ ไม่ได้คบสักหน่อย ฉันกับพี่เมฆเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ประโยคสุดท้ายมีความสั่นเครือกวัดแกว่งเล็กน้อย พอพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ก็ทำให้ฉันรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ไอ้ที่ว่าเหมือนเดิมน่ะ...มันคืออะไร เหมือนเดิมนี่หมายความว่าไงอะ แกพอจะนิยามความสัมพันธ์ของแกกับพี่เมฆให้พวกฉันฟังได้บ้างไหม”
“…” ทว่าสิ่งที่ฟักแฟงเอ่ยถามกลับทำเอาฉันแน่นิ่งราวกับถูกสาป ปากที่กำลังจะเปล่งเสียงเป็นต้องชะงักงันเพราะไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย
เพราะตัวฉันเองก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนนั้นมันเรียกว่าอะไร…
ฉันชอบพี่เมฆ แล้วพี่เมฆล่ะชอบฉันหรือเปล่า?
อาการของพี่เมฆเองก็ดูเหมือนกับว่าเขาเองก็รู้สึกดี ๆ กับฉันนะ เขาเทคแคร์ ใส่ใจ และเป็นห่วง ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็จะเป็นพี่เมฆนี่แหละที่เข้ามาช่วยเหลือฉันทุกอย่าง อยู่เคียงข้าง เป็นทั้งที่ปรึกษาและทุก ๆ อย่างให้กับฉันเลยก็ว่าได้ สิ่งเหล่านี้ฉันสามารถบอกได้ว่าเขาชอบฉันได้หรือเปล่า มันค่อนข้างชัดเจนมากเลยนะ แต่ฉันก็ไม่กล้าคิดไปเองคนเดียวนี่สิ...
“อ้าว นิ่งไปเลยเพื่อนฉัน เหย...ฉันไม่ได้จะกดดันหรือทำให้แกคิดมากนะ ฉันแค่อยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของแกกับพี่เมฆตอนนี้อะไปถึงไหนแล้ว แกก็ชอบเขา ส่วนเขาก็ชอบแก แล้วทำไมไม่เป็นแฟนกันไปเลยวะ คบกันให้มันจบ ๆ ไปก็สิ้นเรื่อง”
“เออใช่ ๆ ฉันเห็นด้วยกับยัยพัชนะ แกรออะไรอยู่วะ หรือว่าแบบแค่เราสองคนชอบกันก็พอ สถานะไม่สำคัญไรงี้ป้ะ”
ฉันเม้มปากแน่นขณะที่ภายในหัวก็สับสนมึนงงไปหมด จะพูดยังไงดีล่ะ...เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละว่าตอนนี้มันคืออะไรกันแน่
“แกคิดว่าพี่เมฆชอบฉันไหม...คือฉันอะชอบเขา ฉันชอบพี่เมฆ ชอบแบบที่ผู้หญิงชอบผู้ชาย ไม่ใช่แบบพี่น้องหรืออะไรอย่างอื่นอะ แต่กับพี่เมฆนี่ดิ ฉันไม่รู้ว่าเขาชอบฉันไหม”
“โอ๊ย! พี่เมฆน่ะชอบแกที่สุดในโลกแล้วยัยเทีย มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเขาน่ะชอบแก ตาเชื่อมตาหวาน ยิ้มทีโลกทั้งหมดเหมือนกับถูกทาให้เป็นสีชมพู จากหน้านิ่ง ๆ งี้ พอเจอหน้าแกทียิ้มหวานเชียว”
พัชชาพูดตอบกลับมาโดยไม่มีช่องว่างของการสนทนา ซึ่งสิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ฉันช็อกค้าง ตกใจและตื่นตาไม่น้อยเมื่อได้รับคำยืนยันจากเพื่อนสนิทที่เห็นตรงกันอย่างที่คิด
“ฉันเองก็ขอยืนยันอีกเสียง พี่เมฆน่ะเขาชอบแกจ้า! แกคิดดูนะเทีย เขามารับแกไปกินข้าวทุกเย็น เมื่อวานเขาก็พาแกไปเจอพี่สาวเขาด้วยนี่ ที่แกเล่าให้ฟังอะ แถมเขายังบอกว่าเขาเล่าเรื่องแกให้พี่สาวเขาฟังอยู่บ่อย ๆ อีก แบบนี้น่ะชอบชัด ๆ ถ้าเขาไม่ได้ชอบแกนะ ฉันให้แกเอารองเท้ามาปาหน้าฉันได้เลยยัยเทีย!”
“ขนาดนั้นเลย?” ฉันหรี่ตามองเพื่อนอย่างชั่งใจ
ท่าทีมั่นใจของพัชชาและฟักแฟงแต่ทว่าตัวฉันกลับมีความลังเลอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วพวกแกคิดว่าพี่เมฆจะรับได้ไหม เรื่องอาการป่วยของฉัน...”
