คำเตือนครั้งที่ 6 โคตรชอบ (1)
คำเตือนครั้งที่ 6
โคตรชอบ (1)
MARNMEK’ S PART ;
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้ามายังบ้านเช่าสองชั้นของผมใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที แต่ผมเลือกที่จะลดความเร็วของการขับขี่เพื่อยืดเวลาให้ผมได้อยู่กับสถานการณ์ ณ เวลานี้กับเทียน่ามากยิ่งขึ้น
ตอนนี้ผมกำลังขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับไปที่บ้านโดยมีเทียน่านั่งซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง สองมือเล็กกกกอดถุงพลาสติกที่ซื้อพวกของสดและผักเอาไว้ เช่นเดียวกับการจับชายเสื้อของผมไว้บาง ๆ เพื่อป้องกันการร่วงหล่นจากเบาะนั่ง
มันเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะธรรมดามาก แถมเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบเจออีก เทียน่านั่งซ้อนท้ายรถผมมานานเกือบเดือนแล้ว สัมผัสและความเคยชินน่าจะยังคงอยู่ แต่ทว่าสำหรับความรู้สึกของผมมันยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและประหม่าอยู่ทุกครั้ง
แน่นอนว่าไอ้รถคันนี้ย่อมมีหลายต่อหลายคนเคยนั่ง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิง เพื่อนผู้ชาย หรือพี่สาวเพียงคนเดียว แต่พอเป็นเทียน่ากลับมีความรู้สึกที่มันช่างแตกต่างกันลิบลับ
ทั้ง ๆ ที่ผมและเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน...
“โห บ้านหลังนั้นมีน้องหมาด้วยค่ะพี่เมฆ น่ารักจัง พี่เมฆเคยเล่นกับมันไหม” น้ำเสียงสดใสเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน
ผมมองที่กระจกข้าง เห็นมือเล็กชี้นิ้วไปยังบ้านทาวน์เฮ้าส์ที่เพิ่งขับผ่านมาด้วยความตื่นตา เนื่องจากบริเวณพื้นปูนหน้าตัวบ้านจะมีเจ้าหมาตัวใหญ่นอนแบะขาแผ่หลาน่าฟัดที่สุด
“เคยอยู่ครั้งหนึ่งครับ แต่มันเป็นหมาขี้เกียจ ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากของกิน” ผมพูดปนเสียงขำ จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเคยเดินผ่านหน้าบ้านหลังนั้นก็เห็นเจ้าหมาตัวนี้นี่แหละที่นอนไม่สนใจโลกอยู่หน้าบ้าน และแน่นอนว่ามันไม่ชายตามองผมเลย มันนอนนิ่ง ๆ พร้อมกับถอนหายใจราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ แต่พอมันเห็นผมถือถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อมันกลับดีดตัวขึ้นและกระดิกหางยกใหญ่
นี่มันวิถีหมาอ้วนจอมขี้เกียจชัด ๆ!
“พี่เมฆใส่ร้ายน้องหมาอ่า ไปว่าน้องแบบนั้นได้ยังไง”
“พี่พูดจริง ๆ”
“แล้วบ้านพี่เมฆหลังไหนคะเนี่ย ใกล้ถึงหรือยางงง” เทียน่ายู่หน้าใส่ผมก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาสนใจกับบ้านของผมแทน ซึ่งมันก็เป็นจังหวะที่ตัวรถมอเตอร์ไซค์ขับมาจอดที่หน้าบ้านทานเฮ้าส์สองชั้นพอดิบพอดี
“ถึงพอดี นี่ครับ...บ้านพี่”
ผมจอดรถและหันไปช่วยเทียน่าถือข้าวของที่ซื้อมาเป็นจำนวนมาก ผมมองเห็นสายตาเบิกกว้างของเธอก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอกำลังตกตะลึง ตกใจ หรือรู้สึกอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอขยายม่านตาขนาดนั้น
“บ้านน่าอยู่มากเลยค่ะพี่เมฆ มีต้นไม้ด้วย พี่เมฆปลูกเองเหรอคะ” มือเล็กชี้ไปยังกระถางต้นไม้ที่วางเรียงรายอยู่ตรงพื้นที่จอดรถ มันเป็นต้นไม้ธรรมดาที่ไม่ได้อยู่ในกระแส แต่ผมและพี่สาวก็ช่วยกันปลูกช่วยกันดูแลตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านเช่าหลังนี้นี่แหละ
“ยัยมุกชอบต้นไม้ พี่เลยช่วยปลูกน่ะ”
“แล้วพี่สาวพี่เมฆอยู่ในบ้านเหรอคะ ว่าแต่ทำไมบ้านเงียบจังเลยอ่า หรือว่าอยู่ข้างในคะ”
ผมเดินนำไปยังประตูไม้ซึ่งตอนนี้ปิดสนิท โดยปกติแล้วพี่สาวของผมจะไม่ค่อยเปิดประตูสักเท่าไหร่ เวลาอยู่บ้านก็จะปิดบ้านเงียบ ส่วนเจ้าตัวก็นอนขลุกอยู่แต่ในห้องเพราะเหนื่อยล้าจากการทำงานพิเศษ นั่นจึงทำให้ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้พี่สาวของผมออกไปข้างนอกหรือว่าจริง ๆ แล้วกำลังนอนอยู่ในห้องกันแน่
“มุก...มุก อยู่ข้างบนหรือเปล่า” ทันทีที่ประตูเปิดออก ผมก็ตะโกนเรียกคนเป็นพี่สาวที่คิดว่าน่าจะอยู่ด้านบน แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
“แหะ พี่มุกไม่น่าจะอยู่บ้านนะคะ”
“อืม...น่าจะออกไปข้างนอกน่ะ แต่อีกเดี๋ยวก็คงกลับมา” ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจและเดินไปวางของที่ครัว เพื่อตระเตรียมทำความสะอาดสำหรับทำมื้อเย็นที่ตั้งใจไว้สักที
นี่เป็นครั้งแรกที่เทียน่ามาที่บ้านของผม เป็นครั้งแรกที่ผมพาผู้หญิงมาที่บ้านเพราะอยากให้ยัยมุกพี่สาวของผมเห็นหน้า จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ...เปิดตัวเหรอ ก็ไม่น่าใช่ เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ ผมไม่ได้เป็นแฟน ไม่ได้เป็นคนรัก แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากพาเธอมารู้จักกับพี่สาว และอีกต่อไปผมก็อยากจะพาเธอไปรู้จักกับเพื่อน ๆ ของผม
ถ้าถามถึงความรู้สึกผมเองก็คงบอกได้ตรง ๆ ว่าผมชอบเธอนั่นแหละ ผมชอบเทียน่า...ชอบมาตั้งแต่ตอนที่ผมเป็นติวเตอร์ให้กับเธอแล้ว แต่ผมเลือกที่จะเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ โดยเก็บกลั้นภายใต้สถานะของคำว่าผู้สอนและผู้เรียน จนกระทั่งเราสองคนได้มาเจอกันอีกครั้ง
และเราก็ได้สนิทสนมและใกล้ชิดกันอีกครั้ง...
“เดี๋ยวเทียช่วยนะคะ พี่เมฆสั่งเทียมาได้เลยค่ะ เทียจะเป็นผู้ช่วยเชฟพี่เมฆเอง!” ร่างเล็กวิ่งเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าผมกำลังหยิบผักมาเตรียมล้างทำความสะอาด
“หั่นผักเป็นไหมครับ เดี๋ยวพี่ขอล้างผักก่อนแล้วเทียค่อยหั่นนะ”
“ทำเป็นค่ะ เทียทำเป็นทุกอย่างยกเว้นปรุงอาหาร เทียทำไม่อร่อย แหะ...ถ้าเรื่องล้างเรื่องหั่นเทียถนัดมากเลย เมื่อก่อนชอบเข้าไปยุ่งกับป้าแม่บ้านอยู่บ่อย ๆ ครั้งแรกที่เทียเข้าครัวเทียเกือบทำไฟไหม้บ้านแหนะ”
“นี่คืออวดพี่อยู่ใช่ไหมเนี่ย” ผมหัวเราะและหันไปมองคนตัวเล็กที่กำลังเล่าวีรกรรมของตัวเองด้วยแววตาเปล่งประกาย ทำไมท่าทางของเธอถึงได้ดูภาคภูมิกับวีรกรรมแก่นเซี้ยวของตัวเองไม่รู้แฮะ
“พี่เมฆอ่า เทียเล่าให้ฟังเฉย ๆ ค่ะ ไม่ได้อวดสักหน่อย ทำบ้านเกือบไหม้ไม่เห็นน่าอวดตรงไหนเลย แต่พี่เมฆไม่ต้องกลัวน้า เทียสัญญาว่าจะไม่ทำบ้านพี่เมฆไฟไหม้แน่นอนค่ะ เทียจะไม่แตะเตาแก๊สเลย หรืออะไรที่เกิดประกายไฟเทียจะอยู่ให้ห่างหนึ่งเมตรด้วย” ไม่ว่าเปล่า เทียน่ายกมือขึ้นและชูนิ้วก้อยขึ้นมาเหมือนกับท่าเกี่ยวก้อยทำสัญญาอะไรทำนองนั้น ซึ่งการกระทำนั้นของเธอยิ่งทำให้ผมเอ็นดูเข้าไปใหญ่ ผมไม่ได้เกี่ยวก้อยตอบรับ แต่เลือกที่จะวางมือลงบนเรือนผมนุ่มของเธอแทน
“พี่อยู่ทั้งคน ไม่เกิดเรื่องแบบนั้นหรอก”
“มันก็ไม่แน่น้า เทียเป็นตัวยุ่งจะตาย คุณแม่ชอบบอกว่าเทียทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่เหมือนลูกบ้านอื่นที่...”
“อย่าพูดแบบนั้น” ผมยกมือขึ้นและใช้นิ้วโป้งแตะที่ริมฝีปากของเธอแผ่วเบา ฝ่ามือประคองใบหน้าหวาน ผมใช้สายตากดมองและถ่ายทอดความรู้สึกเพื่อให้เธอเลิกพูดเปรียบเทียบตัวเอง
ความเป็นจริงผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทางบ้านของเธอเทียน่ามากนัก ผมรู้เพียงว่าเธอมีปัญหากับที่บ้าน เลยทำให้เธอย้ายออกมาอยู่คนเดียวที่คอนโดฯ ส่วนต้นสายปลายเป็นเหตุผมคิดว่ามันคือเรื่องส่วนตัวของเธอ ถึงแม้ว่าผมจะอยากรับรู้มากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่คิดถามเพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัว
ที่ผมอยากรู้เพราะทุกครั้งที่เวลาเทียน่าพูดถึงที่บ้าน สีหน้า ท่าทาง และอาการต่าง ๆ จะเกิดขึ้นให้เห็นเด่นชัด ความเศร้าหมองจะปรากฏพานทำให้ใบหน้าหวาน ๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ทนที่ผมไม่สามารถหาคำตอบได้เลย
ผมไม่อยากให้เธอเป็นแบบนั้น...
ผมอยากให้เธอมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ...
“ตอนนี้มีแค่พี่กับเทีย มีแค่เรา...เราสองคนเท่านั้น ไม่มีคนอื่น”
