คำเตือนครั้งที่ 5 อิทธิพลต่อหัวใจ (2)
คำเตือนครั้งที่ 5
อิทธิพลต่อหัวใจ (2)
หลายชั่วโมงผ่านไป
หนังจบแล้วแต่สถานการณ์ของฉันกับพี่เมฆยังไม่จบ เพราะตอนนี้เราสองคนกำลังหยุดยืนอยู่ที่ลานจอดรถโซนมอเตอร์ไซค์ของห้างสรรพสินค้าได้ราว ๆ ยี่สิบนาทีแล้ว
ตอนนี้ฝนกำลังตกอย่างหนัก บรรยากาศข้างนอกเรียกได้ว่าโหมกระหน่ำด้วยเม็ดฝนและลมพายุที่กระโชกอย่างรุนแรงจนไม่สามารถฝ่าออกไปได้ นั่นจึงทำให้ฉันและพี่เมฆจำต้องหยุดอยู่ที่ตัวรถมอเตอร์ไซค์เพื่อรอเวลาฝนซายังไงล่ะ
“เทียเริ่มเข้าใจแล้วล่ะค่ะว่าทำไมพี่เมฆถึงไม่ชอบฤดูฝน” ฉันเอ่ยบอกพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมาหนัก ๆ
สายตาจดจ้องมองไปยังพื้นที่ด้านนอกอาคารที่ตอนนี้มีสายฝนโปรยปราย โดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะบรรเทาแต่อย่างใด
“หืม ทำไมล่ะ พี่จำได้ว่าเทียเคยบอกว่าชอบฤดูนี้มากนี่”
“ก็ตอนนั้นเทียไม่ต้องเดินทางเองนี่นา หลังเลิกเรียนก็จะมีคนขับรถมารับที่หน้าประตู ไม่ต้องเดินเท้าเปียก ๆ หลังฝนตกหนัก ตอนพอได้ลองมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองก็ทำให้เทียรู้ซึ้งแล้วล่ะค่ะ ฤดูฝนไม่ใช่ฤดูโรแมนติกเหมือนในหนังเลยสักนิด”
ฉันจำได้ว่าฉันเคยบอกกับพี่เมฆว่าฉันชอบฤดูฝนมาก ฉันชอบกลิ่นอายของสายฝน ชอบบรรยากาศตอนฝนตก ชอบฟังเสียงหยาดฝนที่เทกระหน่ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเครื่องเยียวยาทำให้หัวใจของฉันมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก
แต่คำพูดของพี่เมฆที่เคยบอกเมื่อตอนนั้นฉันเองก็จดจำได้เป็นอย่างดี พี่เมฆไม่ชอบฤดูฝน เหตุผลเพราะเขาไม่ชอบความเปียกแฉะจากผลกระทบที่ตามมา ในขณะที่ตอนนั้นฉันเองกลับไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูดเลยสักนิด
“อาจจะเป็นเพราะตอนที่ฝนตกมันทำให้คนที่ต้องยืนรอรถเมล์อย่างพี่เปียกไปทั้งตัว อาจจะเป็นเพราะทางเข้าบ้านของพี่น้ำท่วมขังแล้วพี่ก็ต้องเดินเท้าเข้าไป อืม...หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเวลาที่ฝนตกแล้วชอบทำให้พี่ป่วยบ่อย ๆ แหละมั้ง”
ฉันไม่เคยต้องยืนรอรถเมล์นาน ๆ
ฉันไม่เคยเดินฝ่าน้ำขังเข้าบ้าน
ฉันไม่เคยตากฝนจนร่างกายป่วย
ตลอดชีวิตที่ฉันอยู่ที่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ฉันไม่เคยได้พบเจอกับเรื่องแบบนี้เลยสักครั้ง
ฉันคิดมาตลอดว่าสายฝนสามารถสร้างความสุขได้ง่าย ๆ
แต่มันไม่ใช่กับทุกคนนี่สิ...
“อืม...ความจริงมันก็ทั้งใช่และไม่ใช่นะ พี่ไม่ชอบฤดูฝนเวลาที่พี่อยู่ข้างนอกบ้านน่ะ แต่ถ้าเวลาที่พี่อยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปที่ไหน พี่ก็ชอบนอนฟังเสียงฝนเหมือนกัน พี่ชอบบรรยากาศตอนฝนตก มันเย็นสบาย แล้วก็ผ่อนคลายดี”
“เทียก็ชอบฟังเสียงฝนตกค่ะพี่เมฆ มันผ่อนคลายมาก ๆ เลย เทียเคยนั่งฟังเสียงฝนตกเป็นชั่วโมงเลยนะคะ จนคุณแม่บอกว่าเทียเป็นบ้า เคยให้คุณหมอมาตรวจ...อุ้ย แหะ ไม่มีอะไรค่ะ” ฉันชะงักคำพูดเอาไว้ที่ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ทันแล้วก็ตาม
ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดถึงอาการป่วยของตัวเอง แต่มันก็เผลอหลุดปากออกไปทุกครั้งที่ฉันพลั้งพลาด
ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้ฉันเองก็ไม่ได้ต้องการจะปิดบังอะไรนักหรอก แต่ฉันก็ไม่อยากจะป่าวประกาศให้ใครรู้นี่นาว่าฉันเป็นอะไร
โดยเฉพาะกับพี่เมฆ...
“โอ๊ะ...จริงสิคะพี่เมฆ วันนี้วันพุธใช่ไหมอ่า เทียลืมบอกพี่เมฆไปเลย”
“อะไรเหรอครับ”
“ร้านแจ่วฮ้อนเขาปิดทุกวันพุธน่ะค่ะ เทียเพิ่งนึกออกตอนอยู่ในโรงหนัง ตั้งใจว่าจะบอกหลังดูจบแต่ก็ลืมเลยอ่า ฮื่อวันนี้อดกินเลย อุตส่าห์หิ้วท้องรอมาตั้งแต่เมื่อวานแหนะ” ฉันนึกถึงเรื่องที่อยากพูดขึ้นได้ ตั้งใจว่าจะบอกกับพี่เมฆแต่ก็ดันลืมนี่สิ
“วันพรุ่งนี้พี่พาไปกินก็ได้ หิ้วท้องรอไปอีกวันนะ”
“ฮืออากาศแบบนี้มันต้องแจ่วฮ้อนเท่านั้นนะพี่เมฆ เซ็งเลยอ่า แต่พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ เทียจะอดทน” ไม่ว่าเปล่า ฉันยังทำท่าเหมือนคนจะร้องไห้ที่พยายามอดทนอดกลั้นความอยากอาหารอย่างถึงที่สุด จนพี่เมฆถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เฉกเช่นเดียวกับตัวฉันที่เผลอยิ้มตามอย่างหักห้ามไม่ได้
“ถ้างั้นทำกินกันเองดีไหม ที่บ้านพี่ไม่มีหม้อดินแต่ถ้าใช้หม้อไฟฟ้าก็น่าจะแก้ขัดได้อยู่นะ”
“ทำได้เหรอคะ!” ฉันเบิกตากว้าง ทั้งตกใจและดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
ฉันเองก็ไม่ได้คิดถึงการทำกินเองเลยสักนิด เพราะปกติแล้วข้าวของเครื่องครัวในห้องฉันไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่น่ะ ส่วนมากฉันก็จะออกไปกินที่ร้านหรือไม่ก็สั่งผ่านแอปฯ ถ้าหากจะให้เข้าครัวจับตะหลิวเองมีหวังคงไม่รอดแหง ๆ
“ได้สิ พี่สาวพี่ก็อยู่บ้าน ถือโอกาสไปเจอกันเลยแล้วกันเนอะ เทียสะดวกหรือเปล่าครับ”
“ทำไมจะไม่สะดวกล่ะคะ เทียอยากไป”
“ก็...พี่ชวนไปที่บ้านพี่ไง พี่ก็กลัวว่าเทียจะไม่สบายใจ” พี่เมฆเว้นคำไปชั่วครู่แต่ไม่นานเขาก็เอ่ยความคิดของตัวเองออกมา
“สบายใจมาก ๆ ค่ะ เทียอยากไป อยากไปเจอพี่มุกด้วย งั้นเราเข้าไปซื้อของในห้างกันเถอะค่ะ ตื่นเต้นจัง...เทียอยากเข้าครัวซดน้ำซุปร้อน ๆ แล้วอ่าพี่เมฆ”
“งั้นก็ไปซื้อของกัน”
ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำพี่เมฆเพื่อตรงไปยังประตูเข้าห้าง ในขณะที่หัวสมองก็นึกถึงของที่จะต้องซื้อสำหรับการทำแจ่วฮ้อนร้อน ๆ ในเย็นนี้
“ค่ะ ไปกัน เทียคิดของที่จะซื้อไว้ในหัวแล้วว่า...”
“เทียระวังรถ!”
หมับ!
ข้อมือของฉันถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยฝีมือของพี่เมฆ ส่งผลให้ร่างกายแนบชิดกับแผงอกแกร่ง ก่อนที่ฉันจะรู้สึกถึงตัวรถยนต์ที่กำลังขับแล่นผ่านตัวของฉันไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น
เมื่อกี้นี้ฉันมัวแต่คิดถึงของที่จะซื้อเลยไม่ทันสังเกตมองรถที่ขับผ่านไปมา ตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ลานจอดรถใต้อาคาร เลยทำให้มีรถมากมายทั้งรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์สัญจรผ่านไปมาทั้งนั้น
“อึก ทะ...เทียขอโทษค่ะพี่เมฆ เทียไม่ทันมองทาง” ฉันผละตัวออกจากการเกาะกุม เหตุเพราะตอนนี้ร่างกายของเราใกล้ชิดกันเกินไป
เสียงหัวใจกำลังเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ แถมใบหน้าของฉันก็รับรู้ได้ว่ามันคงออกสีแดงซ่านไปหมดจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
“จับมือพี่ไว้ดีกว่า มาครับ” พี่เมฆจับประสานที่มือของฉันเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ก้าวเดินพาฉันข้ามไปยังฝั่งที่เป็นประตูเข้าห้าง โดยที่ฉันทำได้เพียงมองตามลำแขนแกร่งแข็งแรงนั้นด้วยความสั่นเทา
ดวงตาสองข้างสั่นไหว ภายในใจก็ตะโกนร้องก้องว่าฉันหวั่นไหวกับการกระทำของเขาเหลือเกิน
พี่เมฆแสนดีกับฉันมาก เพราะแบบนี้นี่ไงฉันถึงได้ยกให้พี่เมฆเป็นคนที่มีผลต่อหัวใจของฉันมากที่สุด
ที่สุดและที่สุดของหัวใจฉันเลยล่ะ!
