คำเตือนครั้งที่ 4 อยากหายไป (2)
คำเตือนครั้งที่ 4
อยากหายไป (2)
“พี่เมฆ...ฮึก พี่เมฆ!” ฉันปลดปล่อยทุกอย่างภายในใจออกมา ร่างกายโถมเข้าหาและกอดรั้งร่างกายของพี่เมฆเอาไว้ราวกับเป็นที่พักพิงหนึ่งเดียวในตอนนี้
“ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไรนะเทีย” น้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมทั้งมือใหญ่ที่ลูบประโลมเรือนผม สิ่งเหล่านั้นยิ่งทำให้ฉันพรั่งพรูความเสียใจออกมา ฉันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น กดย้ำและซบฝังไปที่อกแกร่งหวังให้ความอบอุ่นของเขาเยียวยาความรู้สึกแย่ ๆ ให้บรรเทาลง
“ฮึก...เทียมันไม่ดีเลยสักอย่าง เทียอยากหายไปฮึก...เทียเป็นคนที่ทำให้คุณแม่อับอาย เทียเป็นลูกที่แย่มาก ๆ เทียอยากหายไปไกล ๆ”
“พี่อยู่ตรงนี้...พี่อยู่ตรงนี้ข้าง ๆ เทียนะ”
มันเป็นเพียงคำพูดธรรมดาแต่กลับมีความหมายสำหรับคนฟังอย่างฉันเหลือเกิน
อาจจะเป็นเพราะพี่เมฆยังคงอยู่ตรงนี้เคียงข้างฉันอยู่จริง ๆ อ้อมกอดอบอุ่นที่ประจักษ์ชัดยังคงแผ่ซ่านเป็นที่พักพิงคอยโอบประคองให้กับร่างกายไร้เรี่ยวแรงของฉัน
“เข้าไปข้างในกันเถอะนะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยบอกพร้อมกับการกอดปลอบพาให้ฉันเดินเข้ามาด้านในห้อง
ฉันทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาว เฉกเช่นเดียวกับพี่เมฆที่นั่งอยู่เคียงข้างกัน แม้ว่าอ้อมแขนจะคลายออกแต่ความรู้สึกอบอุ่นยังคงปรากฏชัดไม่จางหาย ฉันรู้ซึ้งถึงความอาทรและความห่วงใยที่ส่งผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสายตาและการกระทำหลากหลายอย่าง ที่ฉันสามารถรับรู้ได้ว่าพี่เมฆเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้ฉันสบายใจมากที่สุดที่ได้อยู่กับเขา
“เมื่อกี้เทียคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ค่ะ ฮึก...”
“ทะเลาะกันเหรอครับ”
ฉันเชยใบหน้าขึ้นมองไปพร้อม ๆ กับการส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะการสนทนาเมื่อครู่นี้มันไม่ใช่การทะเลาะ แต่มันคือความบาดหมางที่กลายเป็นบาดแผลฝังลึกมานานนับปีแล้วต่างหาก
“เทียกับคุณแม่เราไม่เหมือนเดิมมานานแล้ว...”
ที่บอกว่าไม่เหมือนเดิมก็คือความสัมพันธ์ในความเป็นแม่ลูกระหว่างตัวฉันและคุณแม่
แรงกดดันที่พบเจอมาตลอดหลายปีสั่งสมจนกลายเป็นการบีบอัดเหมือนระเบิด เมื่อถึงจุดสิ้นสุดความรู้สึกมันก็ปริแตกออกมา และหลังจากนั้นก็เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ของสสารที่เรียกว่า ‘หมดความอดทน’
“ไม่ได้เรื่อง! แค่สอบเก็บคะแนนยังได้แค่แปดเต็มสิบ อีกสองคะแนนจะเก็บไว้กับอาจารย์ทำซากอะไร!”
พรึ่บ!
กระดาษคำตอบถูกปาใส่หน้าฉันอย่างแรงหลังสิ้นเสียงตะคอกกร้าวจากคนเป็นแม่
ร่างกายของฉันชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แรงกระทบจากกระดาษแผ่นบาง ๆ แต่มันกลับทำให้ฉันเจ็บแปลบแผ่ซ่านไปทุกอณูของร่างกาย
“แต่เทียได้ท็อปของห้องเลยนะคะคุณแม่ คะแนนที่เยอะที่สุดในห้องก็คือแปดเต็มสิบ...”
“แต่แม่ต้องการคะแนนเต็ม ไม่ใช่เหลืออีกแค่สองคะแนนแบบนี้!”
“...”
“คราวนี้แม่จะปล่อยผ่านไปก่อนแล้วกัน แต่การสอบครั้งหน้าห้ามพลาดแบบนี้อีก ถึงจะแค่สอบเก็บคะแนนแต่มันก็มีค่า เทียต้องทำคะแนนให้ดีนะลูก ไม่อย่างนั้นลูกจะสอบเข้ามหา’ลัยดัง ๆ ได้ยังไง อย่าลืมสิจ๊ะว่าเทียเป็นลูกคนเดียวของแม่ เป็นลูกของคุณพ่อที่เป็นถึงอัยการ เทียจะทำให้แม่ผิดหวังไม่ได้นะลูก”
“...”
“เข้าใจไหมเทีย ที่แม่ทำเพราะแม่หวังดีนะ ลูกของแม่จะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ลูกของแม่จะต้องไม่น้อยหน้าใคร เข้าใจที่แม่พูดไหม เข้าใจแม่ไหมเทียน่า”
“ค่ะ คุณแม่...”
ภาพวันวานย้อนหวนกลับมา แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายปีตั้งแต่ที่ฉันเป็นนักเรียนชั้นมอห้า วันนั้นนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของบาดแผลระหว่างฉันกับคุณแม่
วันนั้นคือวันที่ฉันรับรู้ถึงจุดยืนของตัวเองแล้วว่าฉันเป็นเพียงหุ่นเชิดของครอบครัวเท่านั้น เป็นเพียงตัวแทนที่จะทำให้ความฝันของคุณแม่ถึงจุดสูงสุดตามที่ท่านต้องการ โดยที่สิ่งเหล่านั้นจะต้องแลกมาด้วยความรักและจิตวิญญาณของฉันไปตลอดชีวิต
“เทีย...น้องเทีย”
“คะ...พี่เมฆเรียกเทียเหรอคะ” ฉันหลุดออกจากห้วงความคิดเมื่อเสียงนุ่มหูเอ่ยเรียกแนบชิด
“พี่เห็นเทียเงียบไปน่ะ”
ฉันดึงสติตัวเองให้กลับมา นอกจากฉันจะหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์แล้ว หยาดน้ำตาก็ไหลหลั่งออกมาจนเปียกชื้นไปทั่วทั้งใบหน้า รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่เมฆเอ่ยเรียกเมื่อครู่นี้นี่แหละ
“ที่เทียย้ายออกมาอยู่คอนโดฯ ที่เทียได้เรียนคณะที่ตัวเองชอบ ที่เทียได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ ทุก ๆ อย่างเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเทียทั้งหมด” ฉันปาดเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ สูดลมหายใจเข้าหนัก ๆ ก่อนจะเปล่งคำพูดที่ค้างคาภายในใจออกมา
มันคือการตัดสินใจที่ฉันคิดว่ามันเด็ดขาดที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันเลือกเดินออกมาจากกรอบที่คุณแม่ขีดไว้ ฉันเลือกที่จะทำในสิ่งที่คุณแม่ผิดหวังทั้งหมด ซึ่งเหตุผลในสิ่งที่ฉันทำมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือฉันต้องการมีชีวิตของตัวเอง
“แม่ของเทียอยากให้เรียนกฎหมายเหมือนคุณพ่อค่ะ คุณพ่อของเทียเป็นอัยการ แต่เทียไม่มีความรู้ ไม่มีความถนัดเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย”
“เพราะแบบนี้แม่ของเทียเลยให้พี่มาสอนใช่ไหม”
คำตอบของฉันคือรอยยิ้มที่ส่งผ่านไป เฉกเช่นเดียวกับดวงตาที่อ่อนกำลังลงแต่กลับสะท้อนชัดถึงความเจ็บปวด
“ตอนที่พี่เมฆเข้ามาสอน ตอนนั้นแผลในใจของเทียเริ่มเหวอะแล้วล่ะค่ะ เพราะจุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้วค่ะพี่เมฆ”
หลังจากที่ฉันเรียนจบชั้นมอสาม คุณแม่ก็ให้ฉันเลือกแผนการเรียนวิทย์คณิต ตอนนั้นฉันยังไม่รู้อะไรมาก คิดเพียงว่าคุณแม่น่าจะเห็นว่าสายการเรียนนี้สามารถเลือกเรียนในระดับถัดไปได้กว้างไกลกว่า จนกระทั่งฉันขึ้นมอปลาย ชีวิตของฉันในตอนนั้นก็จมอยู่กับคำว่าเรียน เรียน แล้วก็เรียน…
แต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดบาดแผลก็คือเหตุการณ์ตอนมอห้าที่คุณแม่ปาแผ่นกระดาษผลการสอบเก็บคะแนนในวันนั้น จวบจนความอดทนขาดสะบั้นในวันที่ฉันอยู่ชั้นมอหก
วันที่คุณแม่ไล่พี่เมฆออกจากการเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับฉันนั่นแหละ...
“คุณแม่กดดันเทียทุกอย่าง อยากให้เทียเป็นไปตามแบบที่คุณแม่วางไว้ เทียทนไม่ไหวเทียเลยเลือกที่จะเดินออกมาจากจุดนั้น มันเลยกลายเป็นความบาดหมางที่ความสัมพันธ์ของเทียกับคุณแม่ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย”
“เทียเข้มแข็งมากเลยนะ การที่ต้องออกมาใช้ชีวิตคนเดียวมันไม่ง่ายเลย”
ใช่...มันไม่ง่ายเลยสำหรับคนที่ไม่เคยตัดสินใจด้วยตัวเองมาก่อนแบบฉัน ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเลือกเดินทางไหน ตอนนี้ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันทั้งหมด
เมื่อก่อนคุณแม่เป็นคนกะเกณฑ์และจัดระเบียบชีวิตของไว้เอาไว้ทุกอย่าง เวลานอน เวลาตื่น เวลากินข้าว เวลาเรียนพิเศษ คุณแม่เป็นเหมือนเจ้าของชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวฉันก็เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ทำตามคำสั่ง ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่สามารถทำอย่างที่ต้องการ
“เทียย้ายออกมาจากบ้าน เงินก็ไม่ได้ขอจากคุณแม่เหมือนเมื่อก่อน แต่เงินที่เทียใช้จ่ายทุกวันนี้มาจากเงินปันผลที่คุณยายยกหุ้นจากบริษัทให้กับเทียก่อนที่ท่านจะเสีย”
คุณยายยกหุ้นให้ฉันก่อนที่ท่านจะเสีย ฉันเลยมีเงินเข้าบัญชีใช้จ่ายแม้ว่าจะย้ายออกมาจากบ้านแล้วก็ตาม ความจริงแล้วคติปลุกใจจากลูกคนรวยที่ได้ยินมาหลายต่อหลายคนว่าไม่ได้แบมือขอเงินพ่อแม่ หาเงินด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านั้นก็คล้ายคลึงกับตัวฉันนี่แหละ
ความจริงมันไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้นหรอก คนเหล่านั้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มีเงินจากการปันผลของบริษัทของทางบ้านทั้งนั้น
เช่นเดียวกับฉัน...
“เพราะแบบนี้ไงคะเทียถึงเลือกที่จะออกมา แต่คุณแม่ก็ยังพูดย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ว่าเทียทำให้เขาผิดหวัง เทียเป็นลูกที่ไม่ดี จนเทียอยากหายไป...”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ พี่คงเป็นบ้าตายแน่ ๆ เลยเทีย” มือหนาบีบกระชับราวกับการปลอบประโลม แต่ทว่าคำพูดของพี่เมฆกลับทำให้ฉันแน่นิ่งไปทันที
ยิ่งตอนที่ฉันอ่อนแอฉันก็ยิ่งหวั่นไหว พี่เมฆมีอิทธิพลต่อหัวใจของฉันจริง ๆ นั่นแหละ
พี่เมฆคือคนที่ทำให้ฉันหวั่นไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนฉันเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่ามันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน
