บท
ตั้งค่า

คำเตือนครั้งที่ 4 อยากหายไป (1)

คำเตือนครั้งที่ 4

อยากหายไป (1)

“เอางี้ไหมคะ พี่เมฆขึ้นไปรอที่ห้องเทียก่อนก็ได้ ดูจากฟ้าแล้วน่าจะอีกนานเลยล่ะค่ะกว่าฝนจะหยุดน่ะ” ฉันเสนอออกไปพร้อมทั้งดวงตาใสที่จดจ้องมอง

แต่ทว่าสีหน้าพี่เมฆกลับชะงักแถมยังดูตกใจกับคำเชิญชวนของฉันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการกระทำเหล่านั้นทำให้ฉันได้สติขึ้นมาทันที

เมื่อกี้นี้ฉันชวนพี่เมฆขึ้นห้องสินะ...

ให้ตายเถอะ! ฉันไม่ได้คิดเรื่องไม่ดีอะไรเลยนะ แต่ปากมันพลั้งออกไปนี่นา ตั้งใจจะให้พี่เมฆไปนั่งรอระหว่างที่ฝนตกเท่านั้น

พี่เมฆจะคิดว่าฉันอ่อยเขาหรือเปล่าล่ะเนี่ย!

“เอ่อ...เทียขอโทษค่ะ พี่เมฆถือหรือเปล่าคะที่ต้องเข้าห้องผู้หญิง...”

“เทียเอ๊ย คำนี้พี่ต้องพูดหรือเปล่าหืมตัวแสบ” เสียงหัวเราะหลุดออกมาเช่นเดียวกับมือของพี่เมฆที่ยีเรือนผมของฉันจนมันยุ่งฟูไปหมด

“อะไรอ่าพี่เมฆ โอ๊ยผมเทียยุ่งหมดแล้ว”

“อย่าไปชวนใครขึ้นห้องแบบนี้นะ เข้าใจไหมเทีย” พี่เมฆปรับน้ำเสียงจากเดิมที่กำลังหัวเราะก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมจนฉันถึงกับลอบกลืนน้ำลาย

“เทียไม่ชวนใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกค่ะ พี่เมฆคนแรกแหละจะบอกให้ ไม่สิ...คนที่สามต่างหาก เพราะสองคนแรกคือยัยพัชกับยัยแฟง”

“เทียขึ้นไปเถอะ พี่จะอยู่รอตรงนี้นี่แหละ เดี๋ยวฝนก็ซาแล้วล่ะ”

“ได้ไงอ่าพี่เมฆ...ถ้าพี่เมฆไม่ขึ้นงั้นเทียจะรออยู่เป็นเพื่อนเองค่ะ เทียรอได้” เมื่อเห็นว่าพี่เมฆปฏิเสธฉันเลยตัดสินใจรอกับพี่เมฆแทนที่จะขึ้นไปบนห้อง ซ้ำยังหย่อนกายนั่งลงบนเบาะรถของพี่เมฆตามเดิมอีกต่างหาก

“ไม่เป็นไรเทีย พี่อยู่ได้ครับ”

“เทียอยากอยู่เป็นเพื่อนค่ะ ขึ้นห้องไปก็อยู่คนเดียว เทียเหงาอ่า อยู่คุยกับพี่เมฆระหว่างรอฝน…ฮัดชิ้ว!”

“นั่นไง เป็นเพราะโดนละอองฝนแน่เลย”

“แหะ...น่าจะใช่ค่ะ” นอกจากหาข้อแก้ต่างไม่ได้แล้วฉันยังยอมรับแต่โดยดี

“งั้นขึ้นไปข้างบนก็ได้ครับ อยู่แบบนี้จนฝนหยุดไม่ได้แน่ ๆ” ก่อนที่พี่เมฆจะเอ่ยฉันได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาจากเขาเบา ๆ ถ้าหากให้เดาฉันเองก็คงคิดว่าพี่เมฆคงเกรงใจที่จะขึ้นไปบนห้องของฉันนั่นแหละ

แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ แถมฉันยังต้องตากละอองฝนที่ซัดสาดกระเด็นเข้ามาอีก มันเลยทำให้พี่เมฆยอมตอบตกลงแหละมั้ง

“ฮื่อ เทียรอได้จริง ๆ น้าพี่เมฆ เทียอยากอยู่รอด้วยอ่า”

“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวเป็นหวัด ว่าแต่เทียไม่ถือใช่ไหม ที่พี่จะขึ้นไปบนห้องเทียน่ะ”

“ไม่ค่ะ ๆ ไม่ถือ ๆ” ฉันรีบส่ายหน้าจนเรือนผมสยาย เพื่อเป็นการย้ำชัดว่าฉันไม่ได้คิดมากกับการที่จะมีผู้ชายโดยเฉพาะคนอย่างพี่เมฆขึ้นไปบนห้องจริง ๆ

ก็ฉันเป็นคนออกปากชวนเขาเองนี่นา กลัวก็แต่พี่เมฆจะไม่สบายใจมากกว่า ส่วนตัวฉันน่ะไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

“ถ้างั้น...พี่ขอรบกวนด้วยนะเทีย”

“หูยไม่รบกวนเลยค่ะ ตามเทียมาเลยค่ะพี่เมฆ”

ฉันเปิดประตูและเดินนำเข้ามาในห้อง จัดการเปิดไฟและเปิดหน้าต่างเพื่อให้ลมพัดผ่าน รวมไปถึงกลิ่นอายของหยาดฝนที่ฉันโปรดปรานเป็นที่สุด

“ตามสบายเลยนะคะพี่เมฆ เดี๋ยวเทียไปเอาน้ำมาให้นะ”

“ไม่เป็นไรเทีย พี่ไม่...”

“พี่เมฆนั่งรอก่อนน้า แป๊บเดียวค่ะ จะเปิดดูทีวีก็ได้นะคะ ตามสบายเลย” ฉันบอกด้วยรอยยิ้ม

ครืด...ครืด...

โทรศัพท์ที่ฉันถือติดมือมาด้วยสั่นครืดคราด จังหวะที่ฉันเหลือบเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้ฉันรีบหันไปมองพี่เมฆ ก่อนจะเดินออกไปยังนอกระเบียงเพื่อกดรับสาย

ชื่อบนหน้าจอโชว์เบอร์ว่าเป็น ‘คุณแม่’ ที่โทรเข้ามา แต่เพียงแรกเห็นมันกลับทำให้ความรู้สึกที่บรรเทาไปหลายเดือนกลับตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง

ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หลับตาลงไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจกดรับสายพร้อม ๆ กับกรอกเสียงเอ่ยออกไป

“ค่ะคุณแม่”

(เทียทำไมไม่รับสายแม่เลย แม่โทรไปหาตั้งแต่วันเปิดเทอมแล้วนะ ไม่คิดจะติดต่อกลับหาแม่บ้างเลยหรือไง!)

น้ำเสียงกระแทกจากปลายสายทำให้ฉันจำจ้องยกมือถือให้ออกห่าง เหตุเพราะไม่ต้องการที่จะได้ยินคำพูด เหล่านั้นมาทำให้จิตใจของฉันที่ได้รับการรักษาแย่ลงมากกว่าเดิม

ตั้งแต่วันเปิดเทอมฉันก็ไม่ได้ติดต่อหาคุณแม่อีกเลย แม้ว่าจะมีสายโทรเข้ามานับร้อย ข้อความบนแอปพลิเคชันอีกนับพัน แต่ฉันกลับเลือกที่จะเพิกเฉยและมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปเหมือนเป็นเพียงธาตุอากาศ

“คุณแม่มีอะไรคะ” ฉันข่มความเสียใจเอาไว้ส่วนลึกก่อนจะเอ่ยถามกลับไป เพื่อให้คุณแม่เข้าประเด็นที่โทรมาสักที

(แม่จะไปหาลูกที่คอนโดฯ แม่เลยจะโทรมาถามว่าลูกอยากกินอะไรไหมแม่จะได้...)

“เทียไม่สะดวกค่ะ คุณแม่ไม่ต้องมาหรอกนะคะ เทียไม่สะดวกจริง ๆ” คำพูดเด็ดขาดแทรกขึ้นโดยที่คุณแม่ยังเอ่ยไม่จบประโยค มันเป็นการกระทำที่เสียมารยาทและแย่พอสมควร แต่ฉันกลับเลือกที่จะทำไปแบบนั้นเพราะไม่อยากพบเจอเขาจริง ๆ

ไม่อยากเจอ ไม่อยากคุย ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรอีก...

(มันจะอะไรนักหนายัยเทีย! แกชักจะเอาใหญ่แล้วนะ คิดว่าจะอ้างไอ้โรคบ้า ๆ นั่นขึ้นมาอีกหรือไง ที่ฉันยอมให้แกออกมาอยู่คอนโดฯ ยอมให้แกเลือกเรียนคณะบ้า ๆ นั่นมันก็มมากพอแล้ว นี่ฉันยอมแกมากพอแล้วนะ แกจะมาเรื่องมากอะไรอีกฮะ!!!)

“…” ฉันเม้มปากแน่นเพื่อกลัดกลั้นเสียงสะอื้น เพียงแค่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ทำให้หยาดน้ำตาไหลหลั่งอาบข้างแก้ม แต่ฉันเลือกที่จะเก็บกลั้นมันเอาไว้ ปาดเช็ดมันออกไปและกดย้ำความรู้สึกให้เป็นปกติมากที่สุด

(รู้บ้างไหมว่าฉันอับอายแค่ไหนที่แกเลือกเรียนคณะบ้า ๆ นั่น! พ่อแกเป็นถึงอัยการ ส่วนฉันก็มีธุรกิจมากมายที่ต้องดูแล แล้วดูแกซิ...ดูแกซิยัยเทีย แล้วก็ไม่ต้องมาอ้างว่าแกเป็นโรคจิตอะไรนั่นเลยนะ ที่ฉันยอมก็เพราะพ่อแกขอเอาไว้ ไม่อย่างนั้น...)

“เทียมันไม่ดีขนาดนั้นเหรอคะ...ฮึก เทียแค่อยากเรียนคณะที่เทียชอบ เทียอยากทำอาชีพที่เทียรัก ฮึก...เทียผิดมากเหรอที่เทียเลือกทำในสิ่งที่เทียอยากทำ!” แรงสะอื้นตีจุกขึ้นลำคอจนฉันไม่สามารถกลัดกลั้นได้อีกต่อไป หยาดน้ำตาที่ไหลก็พรั่งพรูออกมาเต็มใบหน้า ราวกับว่ามันคือสิ่งเดียวที่จะสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของฉันได้ในตอนนี้

(แกไม่ต้องมาบีบน้ำตาเลยนะ! ฉันก็ยอมแกแล้วนี่ไง ก็เพราะว่าแกเอาเรื่องการรักษามาอ้าง ฉันยอมแกขนาดนี้แล้วแกจะเอาอะไรอีกฮะ!)

“ฮึก...เทียมันไม่ดีเลยสักอย่าง ถ้าเทียตายไปมันคงจะทำให้แม่พอใจใช่ไหมคะ! คุณแม่จะได้ไม่ต้องอับอายที่มีลูกอย่างเทีย!”

(เทียน่า! มันจะมากไปแล้วนะ!)

“พอเถอะค่ะคุณแม่ เทียเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้กับคุณแม่แล้ว แค่นี้นะคะ”

เสียงตะคอกจากคนปลายสายทำให้ฉันได้สติ เมื่อครู่นี้ฉันพลั้งเผลอพูดคำที่ไม่ควรออกไป หากแต่จิตใต้สำนึกล้วนแต่มีสิ่งเหล่านั้นฝังลึกอยู่ในใจของฉันทั้งนั้น

ถ้าหากฉันตายไปคุณแม่ก็คงไม่อับอายแบบนี้...มันคือความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันมาโดยตลอด แต่ฉันกลับไม่กล้าตัดสินใจทำอย่างที่คิดไว้สักที

“เทีย...” เสียงเข้มเอ่ยจากด้านหลังทำให้ฉันรีบหันไปมอง

เป็นพี่เมฆที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาคมทอดมองฉันด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ฉายชัดอยู่นัยน์ตาคู่นั้น มันทั้งอบอุ่น ใจดี และมีความอาทรอยู่ในนั้นทั้งหมด

แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาแต่ฉันกลับรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้สบประสานกับดวงตาของเขา

“พี่เมฆ...ฮึก พี่เมฆ!” ฉันปลดปล่อยทุกอย่างภายในใจออกมา ร่างกายโถมเข้าหาและกอดรั้งร่างกายของพี่เมฆเอาไว้ราวกับเป็นที่พักพิงหนึ่งเดียวในตอนนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel