บท
ตั้งค่า

คำเตือนครั้งที่ 3 น้องรหัส (2)

คำเตือนครั้งที่ 3

น้องรหัส (2)

ฉันและฟักแฟงเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมด้วยแก้วน้ำและเค้กที่สั่ง จังหวะที่กำลังจะนั่งก็เหลือบมองไปยังโต๊ะที่พี่เมฆนั่งอยู่ ก่อนจะรีบหันขวับกลับมาและข่มความรู้สึกภายในใจตอนนี้ให้เป็นปกติมากที่สุด

“โอ๊ะ...นั่นพี่เมฆ...”

“ชู่วส์! นั่งลงยัยแฟง” ฉันรีบดึงรั้งแขนของฟักแฟงให้นั่งลงข้าง ๆ กาย กลัวว่าเพื่อนคนนี้จะพูดทักทายจนทำให้พี่เมฆได้ยินเข้า

“ทำไมอะ นั่นพี่เมฆของแกนี่เทีย แล้วนั่นเขามากับใครวะ”

“สุมหัวมานี่จ้ะสาว ๆ ระหว่างที่พวกแกไม่อยู่ฉันแอบฟังมาเรียบร้อยแล้ว” พัชชากอดอกพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างยียวน ซึ่งแน่นอนว่าสิ้นประโยคนั้นทั้งฉันและฟักแฟงก็รีบจุ่มหัวเข้าไปใกล้แทบจะทันที “แหมคุณหนูเทียน่า ไม่กลัวเสียมารยาทแล้วเหรอจ๊ะ”

“ยัยพัช! ก็ฉันอยากรู้อ่า”

“ฮ่า ๆ ฉันก็ล้อเล่นน่า คืองี้...” พัชชารับบทเป็นสายสืบคอยเงี่ยหูฟังการสนทนาของพี่เมฆและผู้หญิงคนนั้นจนจับใจความสำคัญได้ และแน่นอนว่าสารที่เพิ่งได้รับก็ถูกส่งต่อมายังฉันและฟักแฟงทันที

“อ๋อ...ผู้หญิงคนนั้นคือลูกศิษย์ของพี่เมฆงี้ป้ะ ฟีลเหมือนยัยเทียเมื่อก่อนอะ และที่วันนี้เขาอยู่ด้วยกันก็เพราะเขาขอเลี้ยงน้ำพี่เมฆ เพื่อแทนคำขอบคุณที่พี่เมฆเป็นติวเตอร์จนนางสอบติดนิติ” ฟักแฟงร้องอ๋อคนแรกหลังจากที่พัชชาเล่าจบ ส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ส่วนลึกก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกไม่เหมือนกัน

“แต่เรื่องจับมงจับมืออะไรน่ะเขาจับจริง ๆ อย่างที่เห็นแหละ แต่พี่เมฆของแกก็ไม่ได้อะไรนะ เขานั่งเฉย ๆ แถมยังดึงมือออกอีก ฟีลแบบไม่ได้สนใจอะไรอะ”

“ฉันเดินไปช่วยยัยแฟงถือแก้วไม่ถึงสองนาทีแกรู้เรื่องขนาดนี้ได้ยังไงกันพัช ฉันล่ะทึ่งกับแกจริง ๆ!” ฉันบ่นอุบอิบแต่ริมฝีปากกลับหยัดโค้งที่แสดงออกชัดว่าฉันกำลังอารมณ์ดีมากแค่ไหน

“สวัสดีครับ น้องเทีย น้องแฟง น้องพัช”

ทว่า...เสียงเข้มคุ้นหูเอ่ยขึ้นทำให้ฉันและเพื่อนอีกสองคนรีบดีดเด้งตัวขึ้นมาพัลวัน จากเดิมที่กำลังนั่งสุมหัวซุบซิบ แต่เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงนั้นกลับทำให้พวกฉันเปลี่ยนอิริยาบถได้เพียงเสี้ยววินาที

“พะ...พี่เมฆ” ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ไม่ต้องหันหน้าไปมองก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร ฉันส่งยิ้มบาง ๆ แต่นัยน์ตากลับแข็งนิ่ง ไม่ได้ยินดีเฉกเช่นกับริมฝีปากที่กำลังโค้งเลยสักนิด

ไม่รู้ว่าพี่เมฆจะได้ยินตอนที่พวกเราคุยกันหรือเปล่า แถมพี่เมฆเองก็เป็นตัวเอกของหัวข้อสนทนาเมื่อครู่นี้ด้วย!

“เอ่อ...เป็นอะไรไปเหรอครับ” พี่เมฆมองฉันสลับกับเพื่อนอีกสองคนด้วยความแปลกใจ

“ปะ...เปล่าค่ะพี่เมฆ อะ...เอ่อ แล้วนี่พี่เมฆมาได้ยังไงคะเนี่ย มากินกาแฟเหรอคะ เอ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่น้าทำไมพัชไม่เห็นเลยอ่า”

ยัยพัชการละคร...ฉันบ่นคำคำนี้คนเดียวในใจขณะที่สายตาก็หรี่มองเพื่อนสนิทที่หาข้อตัวแก้ตัวได้น่าหมั่นไส้ที่สุด

“พี่มาสักพักแล้วล่ะครับ พอดีนัดเจอกับน้องรหัส”

“น้องรหัส...” เป็นเสียงของฉันเองที่พึมพำออกมา สารใหม่ที่รับทราบก็คือผู้หญิงคนนั้นนอกจากจะเป็นลูกศิษย์ของพี่เมฆเหมือนฉันแล้วเขายังเป็นน้องรหัสอีกด้วย

“อ้อ...อย่างนั้นเองเหรอคะ พี่เมฆนั่งก่อนสิคะ นั่งก่อนค่ะ นั่งข้างยัยเทียเลยค่ะ” ฟักแฟงผุดตัวลุกขึ้นและรีบย้ายที่ไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ พัชชาอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณครับ”

“เอ่อ...พี่เมฆมีเรียนหรือเปล่าคะ” ไม่รู้ว่าจะต้องเปิดประโยคด้วยคำไหน ฉันเลยตัดสินใจที่จะถามถึงเรื่องเรียนออกไป

“ไม่มีครับ พี่เพิ่งเลิกเรียนนี่แหละ แล้วก็ตรงมาที่นี่เลย เทียเพิ่งเลิกเรียนเหมือนกันใช่ไหมเนี่ย”

“แหะ...ใช่ค่ะ หลังเลิกเรียนก็ตั้งใจว่าจะมาหาน้ำหวาน ๆ กินแล้วก็มาถ่ายรูปนี่แหละค่ะ”

“พัช ไปถ่ายรูปกัน มุมนั้นสวยอะ...แกนั่งอยู่กับพี่เมฆไปแล้วกันนะเทีย แล้วฉันไปถ่ายรูปก่อน แสงกำลังดือ อินฟลูต้องรีบเก็บเกี่ยว” ฟักแฟงรีบดึงมือของพัชชาให้เดินออกตามหลังจากพูดจบ ไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยคำใดออกไปทั้งนั้น เพื่อนสนิทสองคนก็เร่งฝีเท้าวิ่งออกไปเสียแล้ว

นี่แหละเพื่อนสนิท...ฉันรู้ว่าสองคนนั้นตั้งใจจะให้ฉันนั่งคุยอยู่กับพี่เมฆ แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้จะขุดหาประโยคไหนมาชวนคุยนี่สิ นอกจากจะเกร็งแล้วยังประหม่าอีกต่างหาก!

“เมื่อกี้คือน้องรหัสพี่เองครับ น้องเขาชื่อฝ้าย อยู่ปีหนึ่งเหมือนเทียเลย”

“คะ?” ฉันหันมองพี่เมฆด้วยความแปลกใจ ไม่ใช่ว่าได้ยินไม่ชัดอะไรหรอกนะ แต่กำลังสงสัยมากกว่าว่าทำไมพี่เมฆถึงได้บอกฉันน่ะ

“พี่เคยเป็นติวเตอร์ให้กับฝ้ายตอนที่เขาอยู่มอหกน่ะ แล้วฝ้ายเขาก็สอบติดนิติอย่างที่ตั้งใจ แถมยังจับได้พี่เป็นพี่รหัสอีก วันนี้เขาก็เลยนัดพี่ออกมาเจอกันแล้วก็ขอบคุณที่พี่เคยติวหนังสือให้เขาน่ะครับ”

“อ้อ...อย่างนี้เอง” ฉันเม้มปากแน่นขณะที่ศีรษะก็พยักรับบางเบา ถึงจะยังแปลกใจที่อยู่ ๆ พี่เมฆอธิบายมาก็เถอะ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันรู้สึกดีมาก ๆ ที่รับรู้เรื่องทั้งหมดจากปากของเขา

แอบหงุดหงิดตัวเองเหมือนกันนะที่ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่เมฆ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เผลอหลุดกิริยาไม่ดีออกไปหรือเปล่า พี่เมฆถึงได้เล่าให้ฉันฟังทั้งหมดน่ะ

ไม่ชอบตัวเองตอนที่เป็นแบบนี้เลย...

“เทียอาจจะงง ๆ ว่าทำไมพี่ถึงพูด ความจริงพี่อยากบอกกับเทียเฉย ๆ น่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แค่อยากบอกให้เทียรับรู้เรื่องของพี่”

“พะ...พี่เมฆ”

ตึกตัก ตึกตัก

เสียงหัวใจเต้นระส่ำไม่ตรงจังหวะ ดวงตาหวานเบิกกว้างจดจ้องมองคนตรงหน้า รวมไปถึงร่างกายที่เกร็งชาราวกับว่าไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เกิดขึ้นกับตัวฉันในตอนนี้

คำพูดและท่าทางที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ไม่รู้ทำไมฉันกลับคิดเข้าข้างตัวเองทุกครั้งว่าเขากำลังแคร์ความรู้สึกของฉันเอามาก ๆ

“ถ่ายรูปไหม เดี๋ยวพี่ถ่ายให้ครับ”

“…”

“เทีย...น้องเทีย”

“…”

“น้องเทียครับ ได้ยินพี่ไหม”

“คะ? พะ...พี่เมฆพูดว่าอะไรนะคะ?” ฉันสะดุ้งตกใจเมื่อนิ้วเรียวยาวแตะสัมผัสเบา ๆ ที่ต้นแขน เหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์และกู่กลับมาอีกครั้งด้วยเสียงเรียกและแรงสัมผัสของพี่เมฆเมื่อครู่นี้นี่แหละ

“พี่ถามว่าเทียอยากถ่ายรูปไหมครับ พี่เห็นเพื่อนเทียไปถ่ายรูปกันน่ะ ให้พี่ถ่ายให้ก็ได้นะ”

“ไม่ดีกว่าค่ะพี่เมฆ ขอบคุณนะคะ คือเทียไม่ค่อยชอบถ่ายรูปน่ะค่ะ” ฉันบอกพร้อมกับยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่ม คำตอบที่บอกออกไปนั้นล้วนแต่เป็นความจริงทุกอย่าง

ฉันไม่ค่อยชอบถ่ายรูปตัวเองเท่าไหร่ ส่วนมากก็เน้นถ่ายวิว ถ่ายบรรยากาศ แต่อาจจะมีบางครั้งที่ถ่ายตัวเองก็จะเป็นมุมไกล ๆ ที่เห็นเต็มตัวเท่านั้น ระยะใกล้ ๆ นี่คงไม่น่าได้มีโอกาสเห็นแน่ ๆ

“พี่นึกว่าเทียจะบอกว่ากลัวพี่ถ่ายรูปออกมาไม่สวยซะอีก”

“โหยพี่เมฆอ่า เทียไม่พูดแบบนั้นหรอก เทียไม่ชอบถ่ายรูปจริง ๆ ค่ะ แต่วันไหนถ้าเทียอยากถ่าย เทียจะให้พี่เมฆช่วยถ่ายรูปให้นะคะ”

ฉันถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ไม่ได้คิดไปถึงขั้นฝีมือการถ่ายรูปของพี่เมฆเลยสักนิด เพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้เป็นคนชอบถ่ายรูปเท่าไหร่ ถ้าให้พี่เมฆช่วยถ่ายแต่ฉันก็เก็บภาพไว้ดูเล่น ๆ ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

พี่เมฆเขาเสนอทั้งทีนี่นา เผื่อจะได้เนียน ๆ ส่งยิ้มให้คนหลังกล้องบ้าง >w<

พี่เมฆมาส่งฉันที่หน้าคอนโดฯ เนื่องจากพัชชาต้องขับรถไปส่งฟักแฟงที่หอพักซึ่งอยู่แถว ๆ หลังมอ นั่นเลยทำให้สองคนนั้นรีบดันตัวฉันให้ไปกับพี่เมฆยกใหญ่ ซึ่งเจตนาที่แท้จริงฉันรู้ดีว่าเพื่อนตัวดีต้องการให้ฉันอยู่กับพี่เมฆซะมากกว่า

นี่แหละ เพื่อนสนิทจริง ๆ!

“ขอบคุณพี่เมฆมากนะคะที่มาส่ง เย็นนี้พี่เมฆไม่ได้มีสอนใช่ไหมอ่า” เมื่อรถมอเตอร์ไซค์จอดสนิท ฉันก็ลงจากรถและเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายของพี่เมฆและส่งยื่นหมวกกันน็อกคืนให้เขาทันที

“ไม่มีสอนครับ เดี๋ยวพี่มารับหกโมงเหมือนเดิมนะ อยากกินอะไรก็คิดรอไว้เลย”

“รับทราบค่ะ” รอยยิ้มกว้างส่งผ่านไปพร้อมกับคำตอบรับ การนัดแนะเมื่อครู่นี้คือกิจวัตรที่พี่เมฆจะมารับฉันไปกินข้าวน่ะ เกือบทุกเย็นฉันและพี่เมฆจะออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันเสมอ แต่จะมีบ้างบางวันที่พี่เมฆติดสอน ฉันเลยไปกับเพื่อนอย่างพัชชาและฟักแฟงแทน

“เดี๋ยวพี่โทรไปนะครับ”

“โอ๊ะ...ฝนตก พี่เมฆเข้ามาจอดใต้คอนโดฯ ก่อนค่ะ” จังหวะที่พี่เมฆกำลังจะออกไป สายฝนเม็ดใหญ่ก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้ฉันต้องรีบบอกให้เขาขับเข้ามาจอดที่ใต้ตึกของคอนโดฯ แทนการที่เขาจะขับขี่ออกไป “อะไรเนี่ย...ครึ้มมาเป็นชั่วโมงแต่เพิ่งมาตกตอนนี้เนี่ยนะ”

ความจริงแล้วท้องฟ้ามืดครึ้มมาตั้งแต่เลิกเรียนตอนบ่ายสองแล้วล่ะ ซึ่งมันก็ไม่มีท่าทีว่าจะตกแต่อย่างใด จวบจนมาถึงจังหวะที่พี่เมฆกำลังจะกลับนี่แหละ ฝนก็โปรยปรายลงมาไม่หวาดไม่ไหว

“ตกหนักเหมือนกันแฮะ...ไม่เป็นไรหรอกเทียใต้เบาะพี่มีเสื้อกันฝนอยู่ ขับไปแป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้วล่ะ”

“ไม่ได้นะคะพี่เมฆ ฝนตกหนักขนาดนี้ต่อให้ใส่เสื้อกันฝนก็เอาไม่อยู่หรอกค่ะ แล้วยิ่งขับฝ่าออกไปก็ยิ่งอันตรายนะคะ” นอกจากจะไม่เห็นด้วยแล้วฉันยังจับรั้งแขนของพี่เมฆที่กำลังทำท่าจะเปิดเบาะรถอีกต่างหาก

ถ้าเป็นฝนเม็ดเล็ก ๆ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย ขืนพี่เมฆขับฝ่าออกไปมีหวังเปียกโชกไปทั้งตัวแถมยังเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย

“แต่พี่ว่า...”

“เอางี้ไหมคะ พี่เมฆขึ้นไปรอที่ห้องเทียก่อนก็ได้ ดูแล้วน่าจะอีกนานเลยล่ะค่ะกว่าฝนจะหยุดตกน่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel