คำเตือนครั้งที่ 2 พี่เมฆคนเดิม (1)
คำเตือนครั้งที่ 2
พี่เมฆคนเดิม (1)
พยากรณ์รายงานว่าฟ้ามืดครึ้มมาตั้งแต่ช่วงบ่าย และมีเกณฑ์ว่าฝนจะเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องจวบจนสิ้นสัปดาห์ วันเปิดเทอมวันแรกของนักศึกษาใหม่อย่างฉันก็คงเรียกได้ว่าสายฝนที่โปรดปรานได้สาดเทต้อนรับกันอย่างชื่นมื่นเลยทีเดียว
ฉันเดินลงมาจากตึกเรียนและเลือกที่จะออกมายืนตรงบันไดที่มีหลังคากันฝนอยู่ด้านบนเหนือหัว สายตาก็กวาดมองรอบ ๆ เพื่อมองหาคนที่นัดแนะกันไว้ก่อนเข้าเรียน กลัวก็แต่ว่าจะเจอพี่เมฆในสภาพเปียกโชกหรือไม่ก็กำลังถือร่มฝ่าสายฝนมานี่แหละ เพราะถ้าหากเป็นแบบนี้จริง ๆ ฉันคงรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้า
“น้องเทีย มองหาพี่อยู่หรือเปล่า” เสียงเข้มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ฉันรีบหันขวับไปมอง
การคาดเดาเมื่อครู่เป็นจริงราวกับเสกเวทมนตร์ เพราะภาพที่เห็นตอนนี้ก็คือพี่เมฆที่อยู่ในสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว ชุดนักศึกษาสีขาวชุ่มไปด้วยหยาดฝน เรือนผมสั้นก็มีหยดน้ำไหลตามลงมายังกรอบหน้า มันเป็นเครื่องย้ำชัดว่าสิ่งที่ไม่อยากเกิดขึ้นล้วนแต่ปรากฏชัดให้เห็น
“พี่เมฆ! ทำไมตัวเปียกแบบนี้ล่ะคะ” ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ รู้ว่าที่เขาตัวเปียกแบบนี้ก็เป็นเพราะสายฝน แต่ที่อยากหาคำตอบก็คือสาเหตุที่เขาเป็นแบบนี้ต่างหาก เพราะฉันเองก็เลิกเรียนก่อนตารางกำหนดมากกว่าครึ่งชั่วโมง ระหว่างที่เดินลงบันไดมาก็มั่นใจว่าจะนั่งรอเขาใต้ตึกเช่นเดียวกับการรอฝนหยุดหรือซาลง
แต่ใครจะไปคิดว่าพี่เมฆมาอยู่ที่ใต้ตึกคณะของฉันก่อนเวลานัดหมายตั้งครึ่งชั่วโมง แถมยังเปียกไปทั้งตัวแบบนี้อีก
“พี่เองก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ” เสียงทุ้มเอ่ยปนขำ เขาก้มมองสภาพของตัวเองก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะปรากฏในลำดับถัดมา
“ตากฝนเพื่อมารับเทียเลยเหรอคะ แบบนี้เทียก็รู้สึกผิดแย่เลย”
“พี่กะเวลาผิดน่ะ ไม่ใช่เพราะเทียหรอกครับ”
“งั้นเราไปนั่งที่โต๊ะนั้นกันก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเทียเอาผ้าเช็ดหน้าให้นะคะ ผืนนี้เทียยังไม่ได้ใช้เลย นี่ค่ะ” ฉันตัดสินใจเสร็จสรรพพร้อมกับเดินนำไปยังโต๊ะไม้ใต้ตึกคณะที่ว่างอยู่
พลันเมื่อนั่งฝั่งตรงข้ามของคนตัวโต ฉันก็หยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาและรีบส่งยื่นให้พี่เมฆในทันที
“ขอบคุณครับ”
“แล้วพี่เมฆมาถึงนานหรือยังคะ ฝนมันตกตั้งแต่ตอนบ่ายสองนี่นา อย่าบอกนะว่าพี่เมฆ...”
“ไม่ใช่ครับ” พี่เมฆแทรกขึ้นเมื่อฉันกำลังจินตนาการไปไกล “พี่เพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง พี่เห็นว่าฝนมันเริ่มซาแล้วน่ะเลยตัดสินใจขับมอไซค์ออกมา แต่ระหว่างทางฝนมันดันตกหนักขึ้นซะงั้น สภาพพี่เลยเป็นอย่างที่เทียเห็นนี่แหละครับ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แหะ...เทียยังไม่ได้ส่งข้อความไปบอกเลย ทำไมพี่เมฆรีบมาจังเลยล่ะคะ รอให้ฝนหยุดก่อนก็ได้นี่นา เทียเกรงใจอ่า”
“พี่ไม่อยากให้เทียรอครับ”
“เทียรอได้นะ พี่เมฆล่ะก็...เทียโตแล้วน่า แค่นั่งรอเอง เทียน่ะรอเก่ง...”
“เทียเคยบอกพี่ว่าเทียไม่ชอบอยู่คนเดียว เทียไม่ชอบการนั่งรอคนเดียว เพราะมันทำให้เทียรู้สึกเหงา ทำให้เทียรู้สึกโดดเดี่ยว”
ทว่าคำพูดนั้นทำให้ฉันแน่นิ่งไปทันที แววตาสั่นไหวเพียงแค่นึกถึงวันวาน ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นย้อนหวนกลับมาจนมันปรากฏชัดในความทรงจำว่าฉันเคยพูดกับพี่เมฆแบบนี้ เคยบอกกับพี่เมฆแบบนี้ และฉันเองก็รู้สึกแบบนี้จริง ๆ
“พี่เมฆอยู่เป็นเพื่อนเทียก่อนได้ไหมคะ คุณแม่ออกไปข้างนอกยังไม่กลับมาเลย เทียไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวค่ะ เทียเหงา”
“ได้ครับ งั้นระหว่างที่รอคุณแม่กลับมาเรามาทำโจทย์อีกข้อหนึ่งดีไหม”
“โห่พี่เมฆอ่า ไม่เอาค่ะ ตอนนี้เทียสลัดคราบนักเรียนออกแล้ว พี่เมฆก็เหมือนกัน ตอนนี้พี่เมฆไม่ใช่ติวเตอร์ของเทียแล้วนะ เลิกงานได้แล้วค่ะ เลิก ๆ”
“ครับ ไม่ก็ไม่”
“เทียขอรบกวนเวลาพี่เมฆแป๊บหนึ่งน้า เทียไม่อยากอยู่คนเดียวจริง ๆ เวลาอยู่คนเดียวเทียชอบคิดมาก ฟุ้งซ่านน่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ แล้วปกติพ่อของเทียก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเหรอ”
“คุณพ่อไปทำงานค่ะ กลับดึกเกือบทุกวันเลย เทียเลยไม่ชอบอยู่คนเดียว มันเหงา ๆ มันว้าเหว่ มันโดดเดี่ยวยังไงก็ไม่รู้”
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณแม่ของเทียจะกลับมาเอง”
บทสนทนาเหล่านั้นฉันยังจดจำมันได้เป็นอย่างดี มันเป็นเพียงเหตุการณ์ไม่กี่นาที เป็นเพียงการพูดคุยไม่กี่ประโยค แต่พี่เมฆกลับจดจำความรู้สึกของฉันได้แม้ว่ามันจะผ่านไปนานเป็นปีแล้วก็ตาม
“พี่เมฆจำได้ด้วยเหรอคะ...” กว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอก็หลายนาที ภายในใจมีทั้งความดีใจและแปลกใจปะปนอยู่พร้อม ๆ กัน
แม้ว่าจะเป็นเวลาปีกว่าแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน แต่ฉันก็ยังกล้ายืนยันว่าเขายังคงเป็นพี่เมฆคนเดิมที่ฉันรู้จัก
“จำได้ครับ...ฝนหยุดแล้ว เราไปกันเลยไหม”
ฉันสะดุ้งหลุดจากความคิดที่กำลังเผลอไผล พอพี่เมฆละสายตาหันออกไปมองท้องฟ้าฉันถึงดึงสติกลับมาได้ว่าตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว และผู้คนที่จากเดิมยังคงอยู่รอใต้ตึกก็เริ่มทยอยเดินออกไปด้านนอกกันจนเหลือเพียงไม่กี่คนให้เห็น
“ค่ะ ไปกันเลยก็ได้” ฉันลุกขึ้นยืนและหยิบกระเป๋าผ้าสีหวานขึ้นมาสะพาย ตั้งใจจะเดินตามพี่เมฆไปแต่เจ้าตัวกลับหยุดชะงักและหันกลับมาซะก่อน
“พี่ลืมบอกไป...พี่ขี่มอไซค์มา เทียซ้อนได้หรือเปล่าครับ” สีหน้าและท่าทางของพี่เมฆแสดงออกว่าเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด แต่ผิดกันกับฉันที่หลุดเสียงหัวเราะออกมาแทบจะทันที
“ได้สิคะ โธ่...พี่เมฆล่ะก็ อยู่มหา’ลัยใคร ๆ เขาก็ขี่มอไซค์กันทั้งนั้นแหละค่ะ ถนนรอบมอก็แคบจะตาย แล้วอีกอย่างตอนเช้าพี่เมฆเองก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าเทียนั่งพี่วินมาเรียนน่ะ วันแรกก็โดนโก่งราคาเลยเป็นไง”
ฉันพอจะเดาความคิดของพี่เมฆออก เมื่อก่อนตอนที่พี่เมฆยังคงเป็นติวเตอร์ให้กับฉัน เขาคงจะติดภาพที่ฉันเป็นเด็กและยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้แหละมั้ง หลังเลิกเรียนคนรถที่บ้านก็จะมารับ เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องขออนุญาตคุณแม่ตลอด แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้วนะ ฉันไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นแล้วล่ะ
ฉันเองก็ไม่ได้ถือโทษหรือคิดมากอะไรหรอก ยอมรับเหมือนกันว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตตามแบบฉบับที่ตัวเองเลือกอย่างแท้จริง และรวมถึงการทำตามความรู้สึกของตัวเองที่มีอยู่ตอนนี้ด้วยเช่นกัน
“ครับ...พี่เองก็แค่อยากถามให้แน่ใจน่ะ”
“สบายมากค่ะพี่เมฆ แล้วพี่เมฆจะพาเทียไปไหนคะ อืม...ไม่สิ ไม่ใช่พี่เมฆ แต่ต้องเป็นคุณพี่ไกด์ต่างหาก คุณพี่ไกด์จะพาเทียไปไหนเหรอคะ” ฉันรีบเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียก ตอนนี้อาการของฉันแสดงออกว่ากำลังตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่ที่พี่เมฆจะพาไปอย่างถึงที่สุด
“หิวหรือยังครับ”
“หิวสุด ๆ เลยล่ะค่ะ ตอนนั่งเรียนท้องร้องจนเทียยังเกรงใจอาจารย์แหนะ ร้องดังแข่งกับเสียงฟ้าเลย” ไม่ว่าเปล่า ฉันยังลูบท้องตัวเอง ไปพร้อม ๆ กับการทำหน้าง้ำงอที่บ่งบอกว่าตัวเองกำลังหิวสุด ๆ
“ถ้างั้นก็ไปกัน”
“คุณพี่ไกด์จะพาไปกินร้านไหนเหรอคะ” ฉันสาวเท้าเดินตามพี่เมฆ สายตาเบิกโพลงด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้า ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ยิ่งทำให้ฉันตาโตและเสียงร้องประท้วงในท้องดังโครกครากยกใหญ่
“ร้านแจ่วฮ้อนหลังมอครับ”
