คำเตือนครั้งที่ 1 เจอกันอีกครั้ง (2)
คำเตือนครั้งที่ 1
เจอกันอีกครั้ง (2)
“เทียสบายดีนะ”
คำถามแรกของพี่เมฆทำให้รอยยิ้มผลิบานอย่างไม่ทราบสาเหตุ ฉันส่งยิ้มกว้าง นัยน์ตาเปล่งประกายฉายชัดถึงความดีใจที่ได้พบเจอกับเขา หลังจากที่เราสองคนไม่ได้เจอหน้ากันตั้งแต่วันนั้น
วันที่คุณแม่ไล่พี่เมฆออกจากการเป็นติวเตอร์...
“เทียสบายดีค่ะ เทียดีใจมาก ๆ เลยนะคะที่ได้เจอกับพี่เมฆอีก เทียเองก็ลืมไปเลยว่าพี่เมฆเรียนอยู่มอนี้ โชคดีจังที่เราได้เจอกันอีกครั้ง”
ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงปีนิด ๆ ที่ฉันไม่ได้พบเจอกับพี่เมฆ แต่ในความรู้สึกของฉันกลับยาวนานพานลืมเลือนหลายสิ่งหลายอย่าง
ช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่เพียรผ่าน ในตอนนั้นฉันเป็นนักเรียนชั้นมอหก ส่วนพี่เมฆเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ชั้นปีที่สอง ที่มีประวัติการศึกษาและผลการเรียนดีเยี่ยม สถานะของฉันและพี่เมฆต่างก็เป็นผู้เรียนและผู้สอน วันเวลาผ่านไปมากกว่าหนึ่งปี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอยู่ในหัวสมองกลับเลือนราง ราวกับว่ามันช่างเนิ่นนานจนฉันเองก็รู้สึกใจหาย
หลังจากวันนั้นวันที่คุณแม่ของฉันยกเลิกสัญญาว่าจ้างกับพี่เมฆ ท่านก็หาติวเตอร์คนใหม่มาสอนแทนทันที ช่วงชีวิตของเด็กนักเรียนชั้นมอหกที่กำลังจะเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเริ่มต้นด้วยการเรียนและการอ่านหนังสือ สิ่งเหล่านั้นที่กำลังบีบบังคับล้วนแต่ทำให้ฉันลืมเลือนและไม่ได้นึกถึงพี่เมฆคนนี้ไปโดยปริยาย
จนกระทั่งในวันนี้ ฉันได้เจอกับพี่เมฆอีกครั้ง...
“เทียเรียนนิเทศเหรอครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าของพี่เมฆเชยขึ้นมองตึกคณะสูงใหญ่ตรงหน้า ป้ายชื่อเด่นหราติดฉายชัดว่าตึกแห่งนี้คือตึกคณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคที
แต่ฉันรู้ซึ้งดีว่าตอนนี้พี่เมฆกำลังคิดถึงอะไรอยู่...
“ใช่ค่ะ เทียเรียนนิเทศ เอกแมสคอมค่ะพี่เมฆ”
“เหรอ...ดีจังเลยนะ”
“พี่เมฆสงสัยใช่ไหมคะว่าทำไมเทียถึงเรียนนิเทศฯ แทนที่จะเป็นนิติหรือไม่ก็พวกบริหาร” ฉันเอ่ยเสียงใส ล่วงรู้ว่าพี่เมฆกำลังแปลกใจถึงคณะที่ฉันเลือกเรียน
ความจริงแล้วทางบ้านของฉันอยากให้เรียนกฎหมายเพราะคุณพ่อของฉันเป็นอัยการ หรือไม่ก็เบนสายไปฝั่งบริหารธุรกิจเนื่องจากที่บ้านเองก็มีธุรกิจหลายอย่างที่ต้องการคนดูแลต่อ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฉันต้องเรียนพิเศษมากกว่าเป็นไหน ๆ เพราะตัวฉันเองล้วนแต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พ่อและแม่อยากให้เป็นเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นทางกฎหมายที่เรียกได้ว่าสมองฉันโง่สุด ๆ ส่วนเรื่องบริหารทำธุรกิจก็ไม่เคยอยู่ในหัวแม้แต่ตารางเมตรเดียว
เพราะสิ่งที่ฉันชอบ สิ่งที่ฉันรัก สิ่งที่ฉันใฝ่ฝันก็คือการได้เลือกเดินตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือการเรียนคณะนิเทศศาสตร์
“พี่แปลกใจนิดหน่อยน่ะ”
“กว่าจะได้เรียนคณะที่ตัวเองชอบเทียก็เสียอะไรไปหลายอย่างเหมือนกันค่ะพี่เมฆ มันไม่ง่ายเลยที่เทียจะได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ” ฉันพยายามกดข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด แต่เพียงแค่หวนนึกถึงเส้นทางที่ฉันเลือกเดินล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาทั้งนั้น
“เก่งขึ้นมากเลยนะ”
“หืม อะไรกันคะ อยู่ ๆ มาชมเทียทำไมกัน” ความเศร้าหมองที่กำลังถาโถมถูกเปลี่ยนแทนที่เป็นความแปลกใจในทันที
ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าคำชมของพี่เมฆที่พูดเมื่อครู่นี้หมายถึงเรื่องอะไร แต่ก็ไม่รู้ทำไมฉันกลับรู้สึกดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากชมว่าเทียเก่งมาก”
“พี่เมฆยังเหมือนเดิมเลย พูดน้อยเหมือนเดิมด้วย”
พี่เมฆในวันนั้นกับวันนี้แทบไม่ต่างกันเลย บุคลิก ท่าทาง การพูด และรอยยิ้ม เขายังคงเป็นพี่เมฆคนเดิมที่ฉันรู้จักเมื่อหนึ่งปีก่อน
“พี่ดีใจที่ได้เจอเทียอีกนะ ดีใจจริง ๆ ที่ได้พบกันอีกครั้ง”
ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาเป็นคำพูดที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นระส่ำกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ พี่เมฆเอ่ยอย่างราบเรียบ ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ อย่างที่เขาชอบทำ หากแต่สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่ทำให้ความรู้สึกของฉันหวั่นไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อะ...เอ่อ เทียต้องไปเข้าเรียนแล้วล่ะค่ะ น่าเสียดายจังได้คุยกันแป๊บเดียวเอง” ความประหม่าทำให้ฉันจำต้องหลบเลี่ยงความรู้สึกหวั่นไหวเหล่านั้น พลันเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาที่ข้อมือก็พบว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีสำหรับการเข้าเรียน
“หลังเลิกเรียนให้พี่มารับไหม”
“แล้วพี่เมฆไม่มีเรียนเหรอคะ”
“พี่เพิ่งเลิกเรียนนี่เอง วันนี้ก็ว่างทั้งวัน” พี่เมฆเอ่ยบอกเบา ๆ ขณะที่มือไม้ก็ลูบเกาไปตามใบหน้าและแขนแกร่งราวกับว่ากำลังเก้อเขินอะไรแบบนั้น
ฉันเองก็คงไม่ต่างกัน เรียกได้ว่าตอนนี้ฉันกำลังเสียอาการ หน้าแดงก่ำ ร่างกายอยู่ไม่สุข และอีกหลายต่อหลายอย่างที่ฉันเองก็หาคำตอบไม่ได้เลยว่ามันเป็นเพราะอะไร
“เทียเองก็เพิ่งมา แถมยังเพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดฯ ด้วย ถ้าไม่เป็นการรบกวน...หลังเลิกเรียนเทียอยากให้พี่เมฆพาทัวร์รอบ ๆ มอหน่อยได้ไหมคะ” ระหว่างที่พูดปากก็สั่นสะท้านจนเกือบเปล่งคำออกมาไม่ได้ศัพท์
“ไม่รบกวนครับ พี่เต็มใจมาก ๆ”
“ถะ...ถ้าอย่างนั้น เย็นนี้เจอกันนะคะพี่เมฆ” ฉันเม้มปากแน่นและหลบสายตาลงต่ำสู่พื้นดิน พยายามประคองสติและท่าทางของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด แต่ในใจก็ได้แต่ถามกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่าตอนนี้ฉันกำลังเป็นอะไรอยู่กันแน่
ความรู้สึกในวันวานย้อนหวนกลับมาอีกครั้งหรือเปล่านะ...
“พี่ขอช่องทางติดต่อของเทียไว้ได้ไหมครับ”
ฉันเงยหน้าขึ้นสบประสานสายตากับพี่เมฆ มือที่สั่นเทาก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาจากกระเป๋าโดยที่ไม่ยอมปริปากเอ่ยคำใดออกมาสักคำ เพราะกลัวว่าจะเผลอหลุดท่าทางน่าอับอายออกไป
“นี่เบอร์พี่นะครับ”
“ค่ะ...ถ้าเทียเลิกเรียนแล้วเดี๋ยวเทียลงมารอหน้าตึกนะคะพี่เมฆ” ฉันกดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของพี่เมฆไว้เสร็จสรรพ หลังจากนั้นภายในตัวเครื่องก็ทำการเชื่อมกับตัวแอปข้อความสื่อสารให้อัตโนมัติ ซึ่งเสียงแจ้งเตือนแรกที่ดังขึ้นมาก็มาจากการกดส่งข้อความจากพี่เมฆ
“อันนั้นข้อความของพี่นะครับ เทียจะโทรหรือส่งข้อความมาก็ได้”
“ได้ค่ะพี่เมฆ งั้นเทียขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ” ฉันใช้ท่าทางโดยการพยักหน้าตอบรับแทนการเอ่ยเอื้อนที่มากกว่าการขอตัวแยกออกไป เพราะถ้าจะให้ฉันพูดเยอะกว่านี้มีหวังปากสั่นตัวสั่นให้พี่เมฆเห็นแน่
ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นจากอะไร
คงเป็นเพราะการได้พบเจอกับพี่เมฆอีกครั้งแหละมั้ง ก็พี่เมฆคือคนที่ฉันชอบมาตั้งแต่แรกพบเลยนี่นา
ใช่ พี่เมฆคนนี้นี่แหละ...
