บท
ตั้งค่า

คำเตือนครั้งที่ 1 เจอกันอีกครั้ง (1)

คำเตือนครั้งที่ 1

เจอกันอีกครั้ง (1)

มหาวิทยาลัย KT

บรรยากาศของมหาวิทยาลัยในการเปิดเทอมวันแรกเรียกได้ว่าครึกครื้นจนละลาน ผู้คนนับร้อยนับพันเดินสวนเดินผ่าน หลากหลายคณะ หลากหลายชั้นปี ที่ทำให้ฉันตาลายมึนงงไปได้เหมือนกัน

วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ฉันอยู่ในฐานะนักศึกษาของคณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชนชั้นปีที่หนึ่ง หรือที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่าเฟรชชี่นั่นแหละ นอกจากฉันจะก้าวเข้าสู่อีกหนึ่งขั้นของการเติบโตแล้ว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตตามแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องรับฟังคำสั่งของใคร ไม่ต้องสนใจคำพูดของใคร และไม่มีใครที่จะกะเกณฑ์ชีวิตของฉันได้ทั้งนั้น

“น้อง ๆ ค่าวินแปดสิบบาท น้องยังไม่ได้จ่ายพี่เลยนะ”

ฉันชะงักฝีเท้ากึกเมื่อเสียงตะโกนเรียกจากทางด้านหลังดังแทรกพลันทำให้ทุกความคิดในหัวหยุดและดับสูญ เฉกเช่นเดียวกับสายตาของผู้คนโดยรอบที่มองฉันเป็นตาเดียว เพราะระดับน้ำเสียงที่เอ่ยเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้เบาบางเลยแม้แต่น้อย

“แหะ...ขอโทษค่ะหนูลืม แต่เมื่อกี้พี่พูดผิดหรือเปล่าคะ ค่าวินอะไรตั้งแปดสิบบาท หนูขึ้นจากหน้ามอเองนะคะ” ฉันยิ้มแห้ง ๆ ส่งไปให้พร้อมกับรีบสาวเท้าหมุนตัวกลับไปหาพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่กำลังจอดรอฉันอยู่ด้านหน้าตึก แต่อาการเก้อเขินจากการลืมจ่ายเงินเป็นเพียงความรู้สึกเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะจำนวนตัวเลขที่ฉันต้องจ่าย ณ เวลานี้กลับทำให้ฉันเบิกตาหูผึ่งจนต้องรีบถามพัลวัน

“เอ๊า มันก็ราคาปกติ น้องเพิ่งย้ายมาอยู่จะไปรู้อะไร! รีบจ่ายมาเร็ว ๆ นี่พี่เสียเวลารับลูกค้ามานานมากแล้วนะ!”

นอกจากพี่วินจะไม่ได้บอกราคาผิดแล้ว เขายังกระแทกน้ำเสียงและเร่งระดับให้ดังขึ้น จนทำให้จากเดิมที่คนต่างก็หันมองฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งให้ความสนใจกันเข้าไปใหญ่

ฉันเม้มปากแน่น ร่างกายก็แข็งชาเพราะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง

จริงอยู่ที่ฉันเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ยังไม่รู้ราคาค่าโดยสารที่ต้องจ่าย แต่ฉันก็มั่นใจว่าระยะทางสามกิโลเมตรจากคอนโดฯ ของฉันมายังตึกในมหาวิทยาลัย ราคาไม่มีทางเกินห้าสิบบาทอย่างแน่นอน

“ตะ...แต่ หนูคิดว่าระยะทางแค่นี้ไม่น่า...”

“เอ๊ะ! นี่น้องจะเบี้ยวค่าโดยสารใช่ป้ะ! ตั้งใจจะไม่จ่ายเงินพี่ใช่ไหม อะไรวะ! เห็นท่าทางเรียบร้อย ไม่น่าทำตัวเป็นมิจฉาชีพเลยนะ จ่ายมาเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่จ่ายก็ไปโรงพักด้วยกัน!”

จากเสียงที่ดังอยู่แล้วก็ยิ่งระเบ็งเซ็งแซ่ทวีคูณหลายเท่า ฉันที่กำลังจะอ้าปากอธิบายเป็นต้องหยุดการกระทำไปโดยปริยายราวกับถูกต้องมนตร์บางอย่าง

จิตใต้สำนึกส่วนลึกร้องตะโกนบอกให้ฉันหยุด ความประหม่าและความสั่นกลัวถาโถมส่งผลให้ความกล้าของฉันลดลง จนทำให้ฉันเลือกที่จะหยุดการตอบโต้และก้มไปหยิบจำนวนเงินออกมาแทน

เพียงแค่เห็นสายตาของคนรอบข้างก็ยิ่งทำให้ฉันกลัดเกร็ง หยาดน้ำตาเอ่อคลอ ร่างกายสั่นสะท้าน และอาการที่ดีขึ้นจากโรคที่เผชิญก็ตีตื้นกลับมาทำให้จิตใจของฉันกวัดแกว่ง

“จ่ายมาเร็ว ๆ สิวะน้อง! ทุกคนดูเอาไว้ ไอ้น้องคนนี้มันจะเบี้ยวค่าโดยสาร มันหัวหมอตั้งใจจะไม่จ่ายเงินให้กับฉัน ดูเอาเถอะ...คนทำมาหากิน หาเช้ากินค่ำยังทำกันได้ลงคอ หน้าตาก็ดีไม่น่าทำตัวแบบนี้เลยนะน้อง!”

“อึก! นะ...หนูเปล่า หนูเปล่านะคะ” ฉันรีบส่ายหน้าหวือปฏิเสธ รับรู้ดีว่าการที่คนตรงหน้าเร่งระดับน้ำเสียงและพยายามทำให้คนโดยรอบสนใจ ก็เป็นเพราะต้องการจะบีบบังคับให้ฉันรีบจ่ายเงิน

ฉันรับรู้ทุกอย่าง แต่เสียงกรีดร้องภายในใจกลับตะโกนบอกให้ฉันยอมแพ้และรีบเดินออกจากสถานการณ์นี้โดยเร็ว

“ถ้าเปล่าก็จ่ายมา! จ่ายมาเร็ว ๆ ดิน้อง!”

ฉันสะดุ้งโหยงกับคำตะคอกที่สะท้อนตอกหน้า มือไม้ที่สั่นเทาก็รีบควานหยิบธนบัตรออกมา และส่งให้กับคนตรงหน้าโดยไม่ทันได้สังเกตว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่

แต่ทว่า...

หมับ!

“เรียกเก็บค่าโดยสารแพงกว่าที่กฎหมายกำหนดมีโทษปรับนะครับ”

ร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาแทรกที่กึ่งกลางระหว่างตัวฉันและพี่วิน ก่อนที่เสียงเข้ม ๆ เรียบนิ่งแต่แฝงซ่อนไปด้วยความดุดันจะเอ่ยขึ้นตามมา

ฉันค้างไปชั่วขณะ สายตาเห็นเป็นแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนหนึ่งที่ส่วนสูงแตกต่างจากฉันมากพอสมควร เขาคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเสื้อให้อยู่ในระดับข้อศอก กางเกงขายาวสีดำเรียบกริบ ช่วงบ่าแกร่งก็มีกระเป๋าผ้าสีขาวสะพายอยู่ แขนสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดนูนที่สามารถมองเห็นชัดเนื่องจากสีผิวที่ขับสว่าง

สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ฉันแน่นิ่งไปจนแทบจับใจความอะไรไม่ได้เลย รับรู้เพียงว่ามือใหญ่ของเขากำลังคว้าหมับที่ข้อมือของพี่วิน ในจังหวะที่กำลังจะหยิบเงินไปจากการส่งยื่นของฉัน

“เฮ้ยน้อง! มายุ่งอะไรวะ พี่ทำมาหากินอย่างสุจริต ก็น้องคนนี้เขาไม่จ่ายเงิน พี่ก็ต้องทวงดิ ถอยไป!”

เสียงตะโกนโวยวายทำให้ฉันได้สติและรีบละสายตาออกจากร่างสูงตรงหน้า ฉันขยับตัวไปข้าง ๆ เพื่อให้มองเห็นสีหน้าของพี่วินได้อย่างชัดเจน

“เรียกเก็บค่าโดยสารเกินกว่ากฎหมายกำหนดแล้วยังใช้รถผิดประเภท ทะเบียนป้ายขาวอีก แบบนี้ไม่น่าเรียกว่าทำมาหากินอย่างสุจริตนะครับ”

“เฮ้ยน้อง...!”

“แค่โก่งราคาก็มีโทษปรับไม่เกินห้าพันบาทแล้วครับ นี่พี่ยังมีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์อีก มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท”

จำคุก...

ปรับเงิน...

ฉันได้แต่มองตาปริบ ๆ ไปยังคนข้างกาย ภายในใจก็สับสนมึนงงไปหมด ทั้งตกใจที่อยู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาช่วย ทั้งแปลกใจที่คนคนนี้รู้เรื่องกฎหมายและสามารถพูดตอกหน้าซะจนพี่วินอ้าปากค้าง และสิ่งที่ทำให้ฉันเอาแต่จับจ้องและสนใจเขาคนนี้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นความคุ้นเคยที่เหมือนกับว่าเขาคือคนที่ฉันนึกถึงอยู่ตลอด

คนที่อยู่ในความคิดของฉันตลอดหนึ่งปี

ใช่หรือเปล่านะ...

“อย่ามาลีลาได้ไหมวะ ทำหัวหมอเล่นข้อกฎหมาย แบบนี้แม่งรังแกคนทำมาหากินชัด ๆ!”

“มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่น โดยนำซึ่งให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...เมื่อกี้ผมได้ยินว่าพี่กล่าวหาว่าน้องเขาเป็นมิจฉาชีพ แถมยังกล่าวหาต่อหน้าผู้คนโดยรอบอีก แบบนี้ผมว่า...”

“โธ่เว้ย! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เอาข้อกฎหมายมาขู่กู ตัดช่องทางทำมาหากินของกู!”

“สรุปค่าโดยสารที่แท้จริงเท่าไหร่ครับ ถ้าพี่ไม่บอกราคาตามจริงก็คงต้องให้ตำรวจมาเคลียร์แล้วล่ะ นี่มันในมหา’ลัยนะครับ น้องเขาก็เป็นนักศึกษา พี่ไม่อายบ้างเหรอครับที่หากินกับนักศึกษาด้วยวิธีสกปรกแบบนี้”

“อะ...ไอ้! นี่มึง...!”

“ว่าไงครับ จะบอกราคาจริง ๆ หรือจะให้ตำรวจมาเคลียร์”

ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความยากลำบาก ตอนนี้กำลังลุ้นกับคำตอบของพี่วินมากว่าจะตัดสินใจแบบไหน เพราะจากคำพูดของคนคนนี้ที่เอ่ยออกมาก็ล้วนแต่หนักสาหัสทั้งนั้น

พี่วินกล่าวหาว่าฉันเป็นมิจฉาชีพ โก่งราคาค่าโดยสารเกินควร แถมยังใช้รถผิดประเภทในการขับขี่รับจ้างอีกต่างหาก คร่าว ๆ แค่นี้ฉันเองก็คิดว่ามันก็หนักพอตัวเลยนะ

“แม่ง...ยี่สิบบาท! จ่ายมาดิวะน้อง เร็ว!”

“อึก...ค่ะ ๆ นี่ค่ะพี่” ฉันลนลานควักหาธนบัตรออกมาอีกครั้งก่อนจะรีบส่งยื่นให้กับพี่วินไป

แรงกระชากของพี่วินส่งผลให้ฉันเสียหลักเล็กน้อย หลังจากนั้นรถมอเตอร์ไซค์ก็รีบขับแล่นออกไปด้วยความเร็วสูง ชนิดที่ว่าเพียงเสี้ยววินาทีก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเลยก็ว่าได้

ทุกสายตาของคนรอบข้างหันมองไปตามรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับออกไปเป็นตาเดียว กระทั่งเสียงซุบซิบพูดคุยดังขึ้น ฉันถึงได้สติและรีบหันกลับมายังคนใจดีที่เข้ามาช่วยฉันได้ทันเวลา

“คราวหน้าก็อย่าไปยอม ถ้าคิดว่ากำลังถูกเอาเปรียบให้ท้วงออกไปเลย” คำพูดแรกที่สนทนากันคือคำตักเตือน

จังหวะที่ฉันหันไปประจันหน้าทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาคนนั้นได้อย่างชัดเจน และมันก็ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาคือคนที่ฉันนึกถึงอยู่ตลอดจริง ๆ

“...”

“ได้ยินไหมครับ เมื่อกี้ผม...”

“พี่เมฆ...พี่ใช่พี่เมฆหรือเปล่า ใช่พี่เมฆหรือเปล่าคะ” ฉันถามเสียงสั่นหากแต่ในใจกลับกล้ายืนยันว่าคนตรงหน้าคือพี่เมฆจริง ๆ

‘ม่านเมฆ’ นักศึกษาเรียนดีประจำคณะนิติศาสตร์ เขาคือคนเดียวกันกับ ‘พี่เมฆ’ ที่เป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับฉันเมื่อหนึ่งปีก่อน

ใช่...ใช่เขาจริง ๆ ฉันมั่นใจ

เขาคือพี่เมฆ ติวเตอร์พี่เมฆของฉัน...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel