บทนำ
บทนำ
วันที่ฝนตกโปรยปราย นับว่าเป็นวันที่ฉันสุขใจเสมอ...
วันที่สายฝนเทสาด เรียกได้ว่าหัวใจของฉันชุ่มฉ่ำไปด้วยความสุข...
หากแต่วันเหล่านั้นกลับไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่สุขสมของอีกหลายต่อหลายคน มันล้วนแต่เป็นความโชคร้าย หงุดหงิด และสถานการณ์ที่ไม่อยากให้เกิด โดยเฉพาะกับ ‘พี่เมฆ’
“ทำไมพี่เมฆไม่ชอบหน้าฝนเหรอคะ เทียว่ามันสดชื่นจะตาย ยิ่งกลิ่นตอนฝนตกนี่เทียยิ่งชอบเลย” ฉันยกมือขึ้นเท้าคาง ในขณะที่สายตาก็จดจ้องมองคนข้างกายที่ตอนนี้กำลังสนอกสนใจกับตำราหนังสือเล่มหนา
“ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ เขาละสายตาจากสิ่งตรงหน้า เคลื่อนผ่านมามองฉันและหันไปยังหน้าต่างบานที่ปิดสนิท แต่ก็สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกที่ตอนนี้กำลังมีฝนตกโปรยปราย
“ไม่รู้ได้ไงอ่า พี่เมฆต้องรู้สิ นี่มันตัวพี่เมฆ ความรู้สึกของพี่เมฆนะคะ บอกเทียหน่อยสิว่าทำไมถึงไม่ชอบหน้าฝนเหรอ”
คนข้าง ๆ เงียบไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็หันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ฉันมองว่ารอยยิ้มนั้นอบอุ่นที่สุดตั้งแต่พบเจอ
“อะแฮ่ม...สวัสดีค่ะ ดิฉัน นางสาวทิพนารี โชติภิรมย์สวัสดิ์ วันนี้พิเศษมาก ๆ เลยที่จะได้สัมภาษณ์กับติวเตอร์ม่านเมฆผู้ที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในกระแสตอนนี้นะคะ หลาย ๆ คนถามเข้ามาเยอะมากเลยค่ะว่าทำไมคุณม่านเมฆถึงไม่ชอบฤดูฝนเหรอคะ” ฉันกระแอมเบา ๆ ก่อนจะดัดเสียงและยกกำปั้นขึ้นจินตนาการว่าเป็นไมโครโฟน เมื่อในตอนนี้กำลังสวมบทบาทเป็นนักข่าวสาวที่สัมภาษณ์บุคคลชื่อดัง
“สวิตช์ไวมาก จากนักเรียนมาเป็นผู้ประกาศ” พี่เมฆส่ายหน้าและหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นว่าฉันดูสนอกสนใจกับเหตุผลของเขาเหลือเกิน
“นักข่าวต่างหากค่ะ ตอนนี้เทียรับบทเป็นนักข่าวอยู่ ส่วนผู้ประกาศน่ะไว้เบรกหน้านะคะ”
“ครับ คุณนักข่าวทิพนารี”
“ตอบสิคะ ทำไมคุณม่านเมฆถึงไม่ชอบฤดูฝน ตอนนี้ผู้ชมทางบ้านกำลังรอฟังอยู่ ขอบคุณผู้ชมสามล้านคนที่เข้ามาดูนะคะ วันนี้เราจะได้รู้กันสักทีค่ะว่าทำไมคุณม่านเมฆถึงไม่ชอบฤดูฝน ว่าไงคะ ช่วยบอกเหตุผลได้ไหมคะคุณม่านเมฆ”
นอกจากการมโนว่าตัวเองกำลังสวมบทบาทตามอาชีพที่ใฝ่ฝันแล้ว ฉันยังจินตนาการไปต่าง ๆ นานาราวกับว่าตอนนี้กำลังรับหน้าที่นั้นอยู่จริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสัมภาษณ์หรือแม้กระทั่งเพ้อมโนว่าตอนนี้กำลังจัดไลฟ์ และมีผู้คนมากกว่าสามล้านคนที่กำลังติดตาม ซึ่งการกระทำแบบนี้มันอาจจะดูขายฝันและน่าขำเอามาก ๆ แต่สำหรับพี่เมฆแล้วฉันคิดว่าพี่เมฆเองก็น่าจะชินชาไปบางส่วนแล้วเหมือนกัน
เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันมักจะสวมบทบาทให้เขาเห็น
“ก็...อาจจะเป็นเพราะตอนที่ฝนตกมันทำให้คนที่ต้องยืนรอรถเมล์อย่างพี่เปียกไปทั้งตัว อาจจะเป็นเพราะทางเข้าบ้านของพี่น้ำท่วมขังแล้วพี่ก็ต้องเดินเท้าเข้าไป อืม...หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเวลาที่ฝนตกแล้วชอบทำให้พี่ป่วยบ่อย ๆ แหละมั้ง”
“...” ฉันไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา ทำได้เพียงสบประสานสายตาคมของเขานิ่ง ๆ ในหัวก็คิดวนเวียนถึงเหตุผลที่พี่เมฆบอกเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมา
ไม่รู้ทำไม...คำตอบที่เขาเอ่ยออกมากลับทำให้ฉันรู้สึกชาวาบไปทั้งร่างกาย
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ทำโจทย์เสร็จหรือยังหืม ที่ถามพี่เพราะตั้งใจจะอู้หรือเปล่าเรา” พี่เมฆหัวเราะเบา ๆ เขาหันกลับมาสนใจกับสิ่งตรงหน้าต่อดังเดิม
“รู้แล้วค่าติวเตอร์พี่เมฆ เทียก็แค่อยากถามเฉย ๆ หรอกน่า”
“ถามน่ะถามได้ แต่ก็ต้องทำโจทย์ให้เสร็จด้วย เข้าใจไหมครับคุณนักข่าว”
ฉันถึงกับมุ่ยหน้าใส่ เหนื่อยใจกับติวเตอร์จอมเคร่งอย่างพี่เมฆเหลือเกิน แต่ก็ต่อต้านอะไรมากไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ของฉันล้วน ๆ
ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของฉันเอง สถานะของฉันตอนนี้คือลูกศิษย์ ส่วนพี่เมฆคือติวเตอร์ส่วนตัวที่แม่ของฉันเป็นคนจัดหาให้มาสอนพิเศษหลังเลิกเรียน
เป็นเวลาสามเดือนได้แล้วที่พี่เมฆมาสอนฉันที่บ้านแบบนี้ วิชาที่พี่เมฆสอนจะเป็นวิชาสังคมศึกษาและ GAT[1] ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับการเตรียมสอบเพื่อทำคะแนนในการยื่นมหาวิทยาลัย
ลืมบอกไปว่าตอนนี้ฉันอยู่ชั้นมอหก ส่วนพี่เมฆเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สองแล้ว ด้วยโปรไฟล์จากคนที่ส่งใบสมัครเข้ามาก็จะมีพี่เมฆนี่แหละที่คุณแม่ของฉันเห็นว่าเข้าตามากที่สุด
“พี่เมฆอย่าพูดเสียงดังสิคะ ถ้าคุณแม่ได้ยิน คุณแม่คงไม่ชอบแน่เลยอ่า พี่เมฆก็รู้ว่าอาชีพของเทียขึ้นอยู่กับคำสั่งของคุณแม่เท่านั้น” พอนึกถึงสิ่งที่พี่เมฆเรียกเอ่ยก็ทำให้ฉันได้สติขึ้นมา
ในโลกแห่งจินตนาการฉันสามารถเป็นอะไรก็ได้อย่างใจคิด หากแต่ในความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นด้วยการตัดสินใจของคุณแม่ฉันทั้งนั้น
“เทียเลือกเองได้นะ ถ้าเทียอยาก...”
“โอ๊ะ...หมดเวลาพอดีเลยค่ะ เลิกเรียนแล้ว เทียไม่ทำแล้ว” ฉันแทรกขึ้นเนื่องจากรับรู้ว่าพี่เมฆกำลังจะพูดถึงสิ่งใด เช่นเดียวกับสายตาที่มันเหลือบไปมองนาฬิกาพอดิบพอดี เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าหมดเวลาการเป็นลูกศิษย์ของติวเตอร์พี่เมฆแล้วยังไงล่ะ
“ตลอดเลยนะเรา จะรีบไปกินขนมล่ะสิ”
“แหะ...เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วค่ะ คุณแม่หาติวเตอร์สอนวิชาภาษาอังกฤษมาให้เทียได้แล้วน่ะค่ะ หลังเรียนจากพี่เมฆเสร็จแล้วเทียก็ต้องเรียนอิ๊งต่อเลย” รูปประโยคนี้ทำให้ฉันเปลี่ยนสีหน้าแทบจะเป็นคนละคน จากยิ้ม ๆ ก็กลับกลายเป็นความหมองเศร้าที่ปรากฏ
ในชั้นมอหกของช่วงชีวิตก็คือการเรียน เรียน แล้วก็เรียน...
คุณพ่อและคุณแม่ตั้งความหวังกับฉันไว้มากในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ และแน่นอนว่าคณะที่พวกท่านอยากได้ไม่ใช่คณะที่ฉันใฝ่ฝัน ฉันไม่มีความชอบ ไม่มีความถนัด ฉันถึงต้องหมั่นเรียนและจมอยู่กับตำราหนังสือแบบนี้ยังไงล่ะ
แต่ละวันหลังเลิกเรียนที่โรงเรียน ฉันก็ต้องมาเรียนพิเศษจนเวลาล่วงเลยไปถึงสี่ทุ่ม มันเป็นแบบนี้ทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตร ทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งจะขึ้นชั้นมอหกได้เพียงสามเดือนเท่านั้น
“สอนเสร็จแล้วใช่ไหม”
ทว่า...เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาทำให้ฉันและพี่เมฆหันไปมอง
เป็นคุณแม่ของฉันที่เอ่ยขึ้นพร้อม ๆ กับการสาวเท้าก้าวเข้ามาประชิดที่ตัวของฉัน รอยยิ้มฉีกกว้าง แต่ดวงตากลับแข็งกร้าวดุดันไม่มีความยินดีเฉกเช่นมุมปากที่หยัดโค้ง
“สอนเสร็จแล้วครับ” เป็นพี่เมฆที่เอ่ยตอบ เขายืนขึ้นประสานมือไว้ที่หน้าขา ค้อมศีรษะลงน้อย ๆ ให้กับคุณแม่ของฉัน ท่าทางและอารมณ์มันช่างแตกต่างจากความรู้สึกเมื่อครู่ไปโดยสิ้นเชิง
“ลูกไปเตรียมตัวเรียนกับครูพีชเถอะ แม่มีเรื่องจะคุยกับพี่เมฆหน่อยน่ะจ้ะ”
สองมือแตะลงเบา ๆ ที่ไหล่ของฉัน อิริยาบถนั้นทำให้ฉันต้องปฏิบัติตามคำเอ่ยบอกของคนเป็นแม่ราวกับถูกตั้งโปรแกรมคำสั่งเอาไว้
มันเป็นคำเรียบ ๆ ที่มีรอยยิ้มประดับไม่จางหาย หากแต่ฉันรู้ดีว่าทุกสิ่งอย่างที่เอ่ยเอื้อนล้วนแต่เป็นการบีบบังคับฉันทั้งหมด
“ค่ะคุณแม่” ฉันตอบรับก่อนจะเดินออกไปช้า ๆ จังหวะที่กำลังจะเดินผ่านพ้นฉันกลับหันไปมองพี่เมฆเล็กน้อย พลันเมื่อถึงกรอบประตูฉันจึงตัดสินใจที่จะหยุดฝีเท้าและแอบฟังบทสนทนาระหว่างคุณแม่และพี่เมฆด้วยความอยากรู้
สายตาเด็ดขาดดุดันส่งผ่านมาแม้ไม่มีคำใดเอ่ย ฉันรับรู้ถึงกระแสบางอย่างที่ออกมาจากคุณแม่ของฉัน ท่านต้องการจะพูดบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด แต่ฉันมั่นใจว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับตัวเองแน่นอน
“ไม่ต้องมาสอนยัยเทียแล้วนะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะจ้างเธอ”
อึก...ฉันลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ มือที่สั่นระริกก็ยกขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงดังเล็ดลอดออกไป
แปลว่าพี่เมฆจะไม่ได้มาสอนพิเศษฉันอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
คุณแม่ไล่พี่เมฆออกใช่หรือเปล่า?
“ยัยเทียดูสนิทสนมกับเธอมาก ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะกับคนอย่างเธอ เธอคงเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ใช่ไหม”
“คุณน่าจะเข้าใจผิดนะครับ ผมและเทียเราเป็นแค่คนสอนกับนักเรียนเท่านั้น ผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลย...”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดยังไง แต่ฉันต้องป้องกันไว้ก่อน รับเงินนี่ไปซะ แล้วก็ไม่ต้องมาสอนอีก ฉันเพิ่มเงินให้เป็นสามเท่า หวังว่ามันคงจะชดเชยกับการยกเลิกสัญญาจ้างได้นะ”
ซองสีขาวปาใส่หน้าของพี่เมฆอย่างแรง กระทั่งมันตกกระทบลงสู่พื้นจนเกิดเสียงดัง ‘ตุ้บ’ สิ่งเหล่านั้นที่ปรากฏทำให้หยาดน้ำตาของฉันไหลหลั่งออกมา ความเสียใจถาโถมแต่ก็ไม่อาจหาญที่จะแสดงตัวออกไป
การกระทำหยาบคายเหล่านั้นคือสิ่งที่คุณแม่ของฉันแสดงออกมาจริง ๆ หรือ?
“ครับ ผมจะไม่มาสอนเทียอีก แต่เรื่องเงินผมขอไม่รับ เพราะ...”
“ไม่ต้องปฏิเสธหรอก ฉันรู้ว่าเธอลำบาก ต้องการใช้เงิน รับเงินนี่แล้วก็รีบออกไปจากบ้านของฉันซะ เศษเงินแค่นี้มันไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงหรอก และห้ามติดต่อหายัยเทียด้วย ฉันจะบอกกับลูกว่าเธอขอลาออกเอง!”
“...”
ฉันกะพริบตาไล่หยาดน้ำสีใสออกโดยเร็วเมื่อเห็นว่าคุณแม่กำลังจะเดินมาทางนี้ ความหวาดกลัวสะท้อนชัดส่งผลให้ฉันต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด
ความจริงแล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก...
แม่ของฉันมักจะมีท่าทีแบบนี้เสมอเวลาที่ฉันพูดคุยกันกับผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะติวเตอร์ที่เลือกมาก็ล้วนลาออกเพราะทนความเจ้ากี้เจ้าการไม่ได้ทั้งนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเสียใจก็คงจะเป็นเพราะการกระทำแย่ ๆ ในเชิงดูถูกเรื่องฐานะของพี่เมฆแหละมั้ง...ฉันไม่คิดเลยว่าแม่ของฉันจะทำได้มากถึงขนาดนี้
ช่วงเวลาที่ฝนตกวันนี้กลับเป็นวันที่ฉันรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดที่สุด
ฉันเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่เมฆแล้วล่ะ
วันที่ฝนโปรยปรายมันไม่ได้เป็นช่วงเวลาสุขใจสำหรับทุกคน...
_______________
[1] GAT (General Aptitude Test) คือ วิชาความถนัดทั่วไป เป็นการทดสอบและวัดความสามารถในการอ่าน การเขียน และการคิดเชิงวิเคราะห์ในการแก้โจทย์ปัญหา รวมไปถึงการทดสอบความรู้ในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษ ทั้งการพูด การฟัง การสนทนา คำศัพท์ และการอ่านเนื้อเรื่อง
