Episode 05: อย่าแหย่เจ้าอรุณ[3/3]
“เป็นอะไรหรือเปล่าอรุณ”
ไม่ได้เป็นห่วงเจ้าอรุณเท่าไหร่นักหรอก นั่นเรื่องรอง ห่วงว่าเจ้าอรุณจะทำงานล่มมากกว่า
ก็นี่มันเป็นการนำเสนองานครั้งสำคัญที่มีผลต่องบองค์กรเลยนะ จะไม่ให้เขาเป็นห่วงได้อย่างไร ถึงมันจะฉุกละหุกแล้วก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมานำเสนอสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรทำเสียงาน
โดนโจเซทักอย่างนั้น เจ้าอรุณก็รีบเก็บสีหน้า ส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ไม่เป็นอะไรครับ ผมต้องขอโทษด้วย พอดีพักผ่อนน้อยไปหน่อยเลยมึนๆ ขอเริ่มการนำเสนอใหม่อีกครั้งนะครับ”
ทุกคนร้องอ๋อ พอจะเข้าใจอยู่ว่าเจ้าอรุณโดนเร่งงานมามากเพียงใด โจเซผายมือเป็นเชิงให้พูดต่อได้ เจ้าอรุณสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตั้งใจว่าไม่ว่าจะถูกหยอกล้ออย่างไรก็ต้องอดทนและผ่านมันไปให้ได้ หลังจากนั้นค่อยตามไปคิดบัญชีไอ้เถาวัลย์นรกนั่นทีหลังก่อนจะเริ่มเอ่ยขึ้น
“จากการศึกษาพบว่าเถาวัลย์ที่เราเพิ่งได้พบเป็นเถาวัลย์ที่ไม่สามารถระบุประเภทได้เนื่องจากมีการรวมประเภทของเถาวัลย์หลายวงศ์เข้าไว้ด้วยกัน ผมขออนุญาตชี้แจงตามการจำแนกคร่าวๆ ของผมตามนี้นะครับ”
รอบนี้ผ่านมาได้อย่างราบรื่น เดวีไม่ทำอะไร เอาแต่นั่งกอดอกมองกระนั้นเถาวัลย์ที่อยู่ทางด้านหลังเขาก็ยังไม่เคลื่อนที่ไปไหน เจ้าอรุณหันมามองแวบหนึ่งก่อนทำเป็นไม่สนใจ มองเลยไปยังจอโปรเจ็กเตอร์แทน และเริ่มการนำเสนออย่างคล่องแคล่ว
“เท่าที่ผมสำรวจมาพบว่าเถาวัลย์ประหลาดมีเถาวัลย์สองชนิดใหญ่ๆ ด้วยกัน แบบแรกได้แก่เถาวัลย์เนื้ออ่อน...มะ...มีสี...ขะ...เขียว...”
จู่ๆ ความคล่องแคล่วก็หายไป กลายเป็นน้ำเสียงตะกุกตะกักอีกครั้งทำเอาคนฟังมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าเจ้าอรุณเป็นอะไร ขณะที่เจ้าอรุณอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ
จะไม่ให้อดกลั้นได้ไง ก็ไอ้เถาวัลย์นั่นมันกำลังลวนลามเขาอยู่น่ะ!
ตอนแรกเห็นอยู่นิ่งๆ ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร เผลอแป๊บเดียวก็เลื้อยเข้ามาใต้ขากางเกง ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ ตามน่องขาและตอนนี้ก็ไปหยุดอยู่ที่เป้ากางเกง ซอกซอนชอนไชผ่านเนื้อผ้าของปราการชิ้นสุดท้ายไปสำรวจทั้งทางด้านหน้าและด้านหลังอย่างเมามันส์ ความวาบหวามชวนสยิวกิ้วที่พุ่งพล่านขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้เจ้าอรุณแทบจะสติหลุด ส่งสายตาค้อนประหลับประเหลือกให้เดวีทันควัน
ไอ้เถาวัลย์! มาไชใต้กางเกงในตอนนี้ทำไม!
เดวีก็ยังเหมือนเดิม นั่งกอดอกสบายใจ ตอนนี้ทำเป็นแคะขี้เล็บอย่างไม่รู้สึกรู้สาด้วย
หน็อย... ร้ายนักนะ!
ใบหน้าขาวนวลของนักพฤกษศาสตร์หนุ่มถึงกับแดงเรื่อ นี่มันต่อหน้าคนอื่นๆ อีกสิบกว่าชีวิต ซ้ำยังเป็นตอนที่เขากำลังวางมาดนักวิชาการอยู่อีก มันจะมากไปแล้ว!
ดีนะที่มีโต๊ะตัวใหญ่บังอยู่ คนอื่นๆ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ตอนนี้น่ะ โอ้โห ขมิบก้นมุบมิบสู้กับเถาวัลย์ที่พยายามแทรกเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย
กล้ามก้นขึ้นแน่ๆ เลย...
“ไหวไหมอรุณ”
โจเซคิดไปแล้วว่าเจ้าอรุณคงจะป่วยถึงได้มีอาการแปลกๆ แบบนี้ เจ้าอรุณพยักหน้ารับ เขาไม่ยอมแพ้หรอก
อยากชอนไชก็ทำไป แค่นี้ไม่ทำให้สะทกสะท้าน!
ยอมหักไม่ยอมงอของจริง ตั้งสติได้ก็เกร็งกล้ามเนื้อบั้นท้ายแน่นก่อนพูดต่อ
“เนื้อของเถาวัลย์ชนิดนี้ค่อนข้างจะบอบบาง...”
อภิปรายไปก็ระแวงไป ส่วนเถาวัลย์ ในเมื่อเข้าทางด้านหลังไม่ได้ก็ไม่หวั่น เลื้อยไปทางด้านหน้า แทรกเข้าไปในขอบกางเกงในและเลื่อนไปสัมผัสส่วนอ่อนไหว ลากไล้ลูบวนจนแกนกลางของเจ้าอรุณแข็งตัวขึ้นมาเล็กน้อย
อะ...ไอ้เถาวัลย์! เล่นมากไปแล้ว!
จะหยุดพูดก็ไม่ได้ เริ่มมาแล้วและคนอื่นๆ ก็รอฟังอยู่ เจ้าอรุณจึงต้องรวมสมาธิอย่างสุดแรงกล้า เปิดปากพูดไปเรื่อยๆ ขณะที่เถาวัลย์ก็หยอกล้อกับเขาไม่หยุด
“ละ...และนี่คือเถาวัลย์เนื้อแข็ง มีเปลือกไม้หุ้ม คะ...ค่อนข้างออกไปทางสีนะ...น้ำตาล...อื้อ...มะ...มี...อา...”
ฉิบหาย!
เจ้าอรุณหุบปากทันควัน ขืนพูดอะไรออกไปมากกว่านี้มันคงจะไม่มาแค่อื้อๆ อ้าๆ แน่ คงจะมาอีกระลอกใหญ่ แถมจังหวะที่ร้อง ‘อา’ เถาวัลย์บ้านั่นดันไปลูบวนบนส่วนปลายพอดี รู้สึกได้ถึงของเหลวบางอย่างไหลซึมออกมาเล็กน้อยเลยทีเดียว ตื่นตัวมากกว่าเดิมอีกต่างหาก
ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ต่อหน้าคนเป็นสิบด้วย!
สองมือจับขอบโต๊ะแน่น ไอ้ที่วางท่าทางมั่นใจเมื่อครู่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรจากคนป่วยเลยแม้แต่น้อย เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่ในห้องประชุมเปิดแอร์เย็นเยียบ ใบหน้าแดงเรื่อลามไปยังใบหูและลำคอประหนึ่งเป็นไข้ ซ้ำยังซีดเผือด ทำเอาโจเซชักเป็นห่วงเขามากกว่าการนำเสนองานเสียแล้ว
“อรุณ ถ้าไม่ไหวก็พักก่อนเถอะนะ นายดูเหมือนไม่สบาย”
“ผะ...ผม...สะ...สบายดีครับ...อื้อ...”
หลุดออกไปอีกแล้ว...
โจเซย่นคิ้วฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ขณะที่เดวีเม้มปากแน่น กลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง ส่วนเจ้าอรุณก็ส่งสายตากินเลือดกินเนื้อไปให้คนขี้แกล้งไม่หยุด
จะมาพันเกี่ยวเถาวัลย์บนตัวเราทำไมวะ!
พันอย่างเดียวไม่ว่า เกี่ยวกระหวัด ขยับไหวไปมาจนเจ้าอรุณรู้สึกวาบไปทั่วร่างกาย เขารู้ตัวเลยว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่ออีกสักนาทีสองนาที เขาคงอดกลั้นความอึดอัดที่คั่งค้างอยู่ข้างในไม่ได้แน่ๆ
โจเซทำหน้าไม่ถูกเลยที่เห็นลูกน้องตัวเองเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แค่โจเซด้วย ศาสตราจารย์ซึ่งเป็นคนต้นเรื่องก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดี บางทีการที่เขาเร่งรัดมากเกินไปอาจจะทำให้เจ้าอรุณป่วยแต่ก็ยังจะฝืนนำเสนองานเขา ถ้าเป็นนักวิจัยคนอื่นเขาจะไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้ แต่เจ้าอรุณเป็นหัวกะทิของวงการพฤกษศาสตร์ ถ้าเป็นอะไรไปคงแย่
และเพราะคิดอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะออกปาก
“ผมว่าให้อรุณได้พักสักครู่เถอะ ไว้พร้อมเมื่อไหร่ เราค่อยมาฟังการนำเสนออีกครั้ง ระหว่างรออรุณพร้อม ด็อกเตอร์ก็พาผมไปชมองค์กรของคุณหน่อยก็แล้วกัน”
ประโยคหลังหันไปพูดกับโจเซ ทำให้โจเซรีบพยักหน้าตอบหงึกหงัก
“ได้ครับ งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”
เห็นว่าเป็นทางออกที่ดีสำหรับสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนแบบนี้แล้ว โจเซก็ไม่รอช้าที่จะตอบรับ ผายมือเชิญแขกทุกคนออกไปด้านนอก มอบหมายหน้าที่ให้นักพฤกษศาสตร์คนอื่นมาช่วยดูแล พอจัดการเสร็จก็รีบปรี่เข้ามาในห้องประชุมอีกครั้ง ชะโงกหน้าถามเจ้าอรุณ
“อรุณ ไหวไหม”
เจ้าอรุณที่ยังต่อสู้กับความรู้สึกนั้นเหลือบมองแล้วก็รีบยกมือห้ามโจเซไม่ให้เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“ผะ...ผมไหวครับ ดะ...ด็อกเตอร์ไปเถอะ อือ...” พยายามจะไม่ให้เสียงครางหลุดไปแล้วแต่ก็ไม่รอด
“แน่ใจนะ แต่นายดูไม่ค่อยดีเลย”
โจเซไม่ยอมออกไป ตั้งท่าจะเข้ามาอีก และถ้าเข้ามาใกล้กว่านี้ เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าเพราะอะไร เจ้าอรุณถึงได้มีอาการแปลกๆ แบบนี้ เจ้าอรุณก็อยากจะห้ามแหละ แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะต่อกรอีกแล้ว แค่ควบคุมจังหวะลมหายใจไม่ให้หนักหน่วงยังทำได้ยากเลย
ไอ้เถาวัลย์! ทำอะไรสักอย่างสิวะ!
เสมือนส่งกระแสจิตหาได้ เดวีที่นั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่นานถึงได้เอ่ยปาก
“เดี๋ยวผมดูแลให้เองครับ ด็อกเตอร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไปดูแลแขกเถอะ แขกคนสำคัญนี่”
พูดอย่างนั้นโจเซก็คิดขึ้นมาได้ ชะงักขาทันที ทว่าก็อดเป็นห่วงเจ้าอรุณที่นอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม่ได้โดยไม่รู้เลยว่าที่อีกฝ่ายฟุบหน้านั้นเป็นเพราะตั้งใจจะหลบซ่อนสีหน้าลามกของตัวเอง
“แต่อรุณ...”
“ไปเถอะครับ บอกว่าจะดูแลให้ก็ดูแลให้น่า”
ถูกเดวีพูดมาอย่างนั้น โจเซก็ไม่ตอแย แขกของเขาสำคัญกว่าการมาดูแลเจ้าอรุณจริงๆ
“งั้นฝากด้วยแล้วกัน”
เดวีโบกมือลา ร่างของด็อกเตอร์จึงออกไปจากห้อง ทันทีที่ประตูห้องประชุมปิดลง ความอัดอั้นของเจ้าอรุณก็สิ้นสุดลง ทำนบกักกั้นน้ำพังทลายราวกับเขื่อนแตก ความวาบหวิวพร่างพรายไปทั่วร่างกายก่อนที่ความเปียกชื้นภายใต้กางเกงจะถูกดูดกลืนไปโดยฝีมือของเถาวัลย์ดังเดิม
“รสชาติดีขึ้น แต่ยังไวเหมือนเดิม”
จัดการเรียบร้อย เดวีก็ล้อเลียน เจ้าอรุณได้สติเอาในตอนนี้ เงยใบหน้าแดงๆ ขึ้นมามองคนขี้แกล้งอย่างเอาเรื่องขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ พอเห็นเจ้าอรุณลุกขึ้นยืนก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“เป้ากางเกงเปียกแน่ะ จะไปเปลี่ยน...”
เพียะ!
พูดยังไม่ทันจบ เสียงของฝ่ามือกระทบซีกหน้าก็ดังแทรกเข้ามา เดวีนิ่งค้างไปนิด ตอนแรกยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอความเจ็บแปลบแทรกซึมเข้ามาบนผิวหนังถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองถูกเจ้าอรุณตบหน้าเข้าอย่างจัง พลันหันไปแหวใส่คนมือหนักอย่างรวดเร็ว
“ตบทำไมเนี่ย ก็แค่แกล้งเล่นเฉยๆ แกล้งนิดเดียวทำไมต้องลงไม้ลงมือด้วย”
“มันไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับฉันเลยสักนิด บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามาแหย่ฉัน ทำไมพูดไม่ฟัง!”
เจ้าอรุณเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนอีกนิดเดียวก็รู้สึกว่าตัวเองจะคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วด้วย ส่วนเดวีก็ยังไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง เถียงกลับคอเป็นเอ็น
“ก็นายมันน่าแกล้งนี่ แล้วฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงสักหน่อย ทำไมต้องโกรธอะไรขนาดนั้น”
“ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงบ้าอะไร มาทำฉันเสร็จต่อหน้าคนอื่นอย่างนี้ ยังจะมาบอกว่าไม่ร้ายแรงอีกเหรอ!”
เจ้าอรุณก็เถียงกลับไม่แพ้กัน ซ้ำยังพูดออกมาโต้งๆ อย่างไม่อายอีกด้วยว่าถูกเดวีทำอะไร
จะไปมีอะไรให้อายล่ะ อยู่กันแค่สองคน แถมตอนนี้เขาโกรธจนควันออกหูแล้วด้วย ไม่มีอะไรต้องอายแล้ว!
“ต่อหน้าคนอื่นที่ไหน นายเพิ่งจะ...เมื่อกี้”
กลายเป็นเดวีแทนที่อายแทน ไม่กล้าพูดคำเดียวกับที่เจ้าอรุณโพล่งออกไปเมื่อครู่
จะว่าอายอย่างเดียวก็ไม่ถูก เขารู้สึกไม่ค่อยดีด้วยแหละที่เห็นแววตากราดเกรี้ยวของคนตัวเล็กกว่า ปกติเวลาแกล้งเจ้าอรุณ เขาจะได้แค่สายตาหงุดหงิดกลับมาเท่านั้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่... เจ้าอรุณไม่ได้หงุดหงิด ทว่าโกรธจริงๆ
“อรุณ ฉันขอ...”
รู้ตัวว่าผิดก็รีบขอโทษ หากแต่โดนเจ้าอรุณสวนกลับมาเสียแล้ว
“ไสหัวไป”
ไม่ได้เป็นการโวยวาย เป็นการพูดนิ่งๆ แต่กลับทำให้เดวีรู้สึกเหมือนกำลังถูกเมิน
“ไม่เอาน่าอรุณ มันก็แค่การแกล้งเล่นเฉยๆ อย่าโกรธเลยนะ ฉันขอ...”
“ถ้านายคิดว่าเป็นการแกล้งเล่นธรรมดาก็เชิญไปเล่นกับคนอื่น ไม่ใช่ฉัน ไสหัวออกไปจากชีวิตฉันได้แล้ว!”
ยังไม่ทันจะได้ขอโทษรอบที่สองสำเร็จก็ถูกเจ้าอรุณแหวมาอีกแล้ว
เดวีนิ่งงัน เขาโดนเจ้าอรุณไล่มาหลายครั้งแล้ว แต่พอถูกไล่ครั้งนี้ มันกลับทำให้เขาคิดถึงตอนนั้น...
...ตอนที่เขาเองก็ถูกไล่อย่างไม่ไยดีอย่างนี้เหมือนกัน
“อรุณ...” พยายามเรียกเจ้าอรุณที่เก็บข้าวของหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากแต่เจ้าอรุณไม่ตอบรับ ทำให้เขาเรียกซ้ำไปอีก “นี่อรุณ...”
คราวนี้อีกฝ่ายยอมหันมา แต่ไม่ใช่การหันมาฟังสิ่งที่เดวีพูด หันมาเอานิ้วเรียวๆ จิ้มแผงอกแกร่งแล้วว่าฉอดๆ
“ตั้งแต่มีนายเข้ามาในชีวิตฉันโดยไม่เต็มใจ ฉันก็เจอแต่เรื่องวุ่นวายเพราะนายตลอด ไหนจะต้องศึกษานาย ไหนจะต้องถูกนายรัด ถูกพัน ถูกดูดน้ำบ้าบออะไรนั่น แล้วยังจะต้องให้ที่พักอีก ตอนนี้ฉันพอแล้ว บอกเลยว่าพอกันที ใครจะรับช่วงศึกษาค้นคว้านายต่อก็เอาไป ฉันไม่ต้องการ! ไม่ต้องการทั้งศึกษาเถาวัลย์ของนายแล้วก็ไม่ต้องการนายด้วย!”
คล้ายกับว่าความอดทนตลอดหลายวันที่ผ่านมาของเจ้าอรุณสิ้นสุดลง โพล่งทุกคำพูดที่มีอยู่ในใจ เดวีปวดหนึบในใจขึ้นมา
ตอนนั้น...เขาไม่ได้ถูกไล่เพียงอย่างเดียว มีคนบอกกับเขาเหมือนกันว่าเขาไม่เป็นที่ต้องการ
เพราะเหตุผลนี้ เขาถึงมาอยู่ที่นี่...
ก็ไม่ได้ตั้งใจมาอยู่หรอก เป็นเหตุบังเอิญที่จู่ๆ เขาก็ถูกพาตัวมาที่นี่ แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่มีคนต้องการเขาอีกครั้ง
ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้ ครั้งที่เจ้าอรุณหันหลังให้เขาแล้วไม่หันกลับมามองอีกเลย
เหมือนกับที่คนคนนั้นทำไม่มีผิด...
ภาพอดีตย้อนคืนมาทำให้เดวีอดไม่ได้ที่จะรีบคว้าแขนนักพฤกษศาสตร์หนุ่มเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป
“อรุณ... ขอร้องล่ะ ฟังก่อน ฉันขอ...” ตั้งใจจะขอโทษอีกครั้ง อย่างน้อยทำให้เจ้าอรุณคลายโกรธลงมาบ้างก็ยังดี
หากแต่ไม่ เจ้าอรุณหันมามองตาเขม็ง ขยับริมฝีปากพูดช้าๆ
“ไส-หัว-ไป-ไกล-ไกล-ฉัน!”
จากนั้นก็สะบัดแขนออกจากการเกาะกุม เดินอาดๆ ออกนอกห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย ปล่อยให้เดวียืนนิ่ง สำนึกผิดในการกระทำของตัวเองเพียงลำพัง
ไม่น่าไปแหย่เลย รู้งี้เชื่อฟังตั้งแต่แรกก็ดีพับผ่าเถอะ!
