บท
ตั้งค่า

Episode 04: วางตัวให้สมกับเป็นนักสำรวจหน่อย![2/1]

กว่าจะเอาตัวรอดจากการถูกเถาวัลย์รัดมาได้ รอบนี้เล่นเอาเสียเวลาไปหลายชั่วโมง เจ้าอรุณลุกขึ้นยืนพลางหอบฮั่ก สภาพเหมือนฟัดกับหมาบ้ามาก็ไม่ปาน ก่อนจะตวัดดวงตาไปมองยังคนตัวดีที่นอนคว่ำหน้ากรนคร่อกอยู่บนเตียงอย่างขุ่นเคือง พอเดินไปใกล้ก็เห็นว่านอกจากจะนอนอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้ว ยังจะมีหน้ามาทำน้ำลายไหลเปื้อนหมอใบโปรดของเขาอีก ซ้ำยังมีเถาวัลย์หลายเถางอกออกมาพันรัดหมอนข้างราวกับกำลังกอด สร้างความหงุดหงิดใจให้กับเจ้าอรุณเป็นอย่างมาก

นอนสบายเลยนะไอ้เถา!

ตอนนี้เลิกกังวลเรื่องตัวเองจะกลายเป็นคนหยาบคายแล้ว ก่นด่า สบถคำหยาบในใจเป็นพัลวัน ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว หยิบเอาทอร์ชพ่นไฟมาถือในมือมั่นและย้อนกลับไปยังเตียงนอนอีกที

มาถึงที่ได้ก็ไม่รอช้า กดหัวฉีดพ่นไฟออกมาทันควัน พลันเอื้อมมือไปคว้าเถาวัลย์เล็กๆ เถาหนึ่งขึ้นมาและเผาอย่างไม่ไยดี

กลิ่นเหม็นไหม้จางๆ ปลุกให้เดวีรู้สึกตัว ทำจมูกฟุดฟิดเล็กน้อยก่อนจะลืมตา พอหันไปเห็นต้นตอของกลิ่นก็หายงัวเงียและร้องเสียงดังทันควัน

“เฮ้ย! เถาวัลย์ฉัน!”

ไม่ใช่แค่ร้อง กระโดดลงจากเตียง รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องครัว เอาเถาวัลย์ลงไปในอ่างล้างจานและเปิดก๊อกน้ำดับไฟอย่างรวดเร็ว ไม่นานเถาวัลย์สีดำหงิกงอก็ปรากฏให้เห็น เดวีมองแล้วก็พ่นลมหายใจอย่างโล่งอก ดีนะที่ไหม้แค่ส่วนปลาย ถ้าไหม้มาถึงโคนที่เชื่อมต่อกับนิ้วเขาล่ะก็ มีหวังคงจะใช้งานไม่ได้อีกเลยแน่

“ยืมเตียงนอนแค่นี้ถึงกับต้องเผากันเลยเหรอ!”

ดับไฟได้ก็ออกไปโวยวายคนวางเพลิง เจ้าอรุณถือทอร์ชพ่นไฟยื่นออกไปตรงหน้า ว่าเสียงต่ำ

“ฉันจะเผานายให้เรียบเลยถ้าหากนายยังไม่ไสหัวออกไปจากห้องฉัน”

ตอนแรกว่าจะใช้ประโยชน์จากผู้ชายตรงหน้าในการหาข้อมูลของเถาวัลย์ แต่ตอนที่ถูกมัด เจ้าอรุณก็ตัดสินใจแล้วว่าไม่จำเป็น ถ้าจะต้องใช้เวลาอยู่กับเดวี เป็นหลักให้เดวีใช้เถาวัลย์พันรัดเพื่อดูดซึมน้ำล่ะก็ เขาสู้ศึกษาหาข้อมูลเองดีกว่า ถึงจะลำบากและใช้เวลานาน มันก็ดีกว่าการที่จะต้องมาประสาทเสียเกือบทุกชั่วโมงอย่างนี้

“แต่ก็ไม่เห็นจะต้องเผา นายเป็นนักพฤกษศาสตร์นะ ต้องดูแล...”

เดวีร้องท้วง ยังไม่ทันจะได้พูดจบเลยด้วยซ้ำ เจ้าอรุณก็ถือทอร์ชพ่นไฟเดินมาใกล้ ที่หัวฉีดมีไฟสีส้มสว่างวาบออกมาทำให้เดวีหุบปากนิ่ง เป็นเจ้าอรุณที่พูดขึ้นมาแทน

“พืชอย่างนายไม่จำเป็นต้องดูแล อย่าต้องให้ฉันพูดซ้ำหลายๆ ครั้ง ไสหัวออกไปซะ”

รู้เลยว่าเจ้าอรุณไม่ได้พูดเล่นแน่

“ใจเย็นๆ ก่อนน่า ไหนนายบอกว่าต้องการข้อมูลจากฉันไง ทำใจให้สบายแล้วมาคุยกัน”

“ไสหัวออกไป”

เพียงแค่กดเสียงต่ำไล่อีกครั้งก็ทำให้เดวีหุบปากได้สนิท สำหรับเจ้าอรุณในตอนนี้ ข้อมูลอะไรไม่จำเป็นอีกแล้ว ขอแค่ให้ไอ้บ้าตรงหน้าหายหัวไป เขาก็ทำงานที่เหลือเองได้อย่างราบรื่น

เดวีทำปากยื่น ยักไหล่ราวกับว่าเรื่องที่เขาเผชิญอยู่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อถูกไล่ซ้ำหลายรอบอย่างนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องอยู่

“ก็แล้วแต่นะ อย่ามาเสียใจตามตื๊อฉันทีหลังก็แล้วกัน”

“ออกไปได้แล้ว”

คำพูดนั้นไม่เข้าหูเจ้าอรุณเลยสักนิด เขาเดินไปเปิดประตู ขับไล่ไสส่งเดวีออกจากห้องโดยไม่ยอมให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว ไอ้ที่โกนหนวดโกนเครา หาเสื้อผ้า สละเตียงให้นอนชั่วคราวก็ถือว่าเป็นการเสียค่าโง่แล้วกัน

เดวีเดินมายังประตู ก่อนจะก้าวออกไปก็หยุดเดิน หันไปมองหน้าเจ้าของห้องเล็กน้อย

“อย่ามาง้อฉันทีหลังก็แล้วกัน” แล้วก็ขยิบตาวิ้งๆ

เจ้าอรุณเห็นแล้วก็อยากจะตบให้ตาแตกสักที ทว่าก็ได้แต่พูดสั้นๆ

“ออกไป”

พ่นไฟมาอีกแล้ว เดวีกระเด๋งดึ๋งออกจากห้องทันที เท่านั้นเจ้าอรุณก็ไม่รอช้า ปิดประตูใส่ดังปัง ปล่อยให้คนข้างนอกเหยียดยิ้มพึมพำตามลำพัง

“นายจะต้องเรียกหาฉันแทบขาดใจแน่ที่รัก”

เจ้าอรุณไม่ได้ย้อนกลับไปที่ทำงานอีกเลยหลังจากไล่เจ้าคนตัวดีออกจากห้องได้ โจเซก็โทรมาตามลูกน้องที่จู่ๆ ก็หายตัวไปตามประสาหากแต่ไม่ได้ต่อว่าอะไรเพราะเจ้าอรุณอ้างว่าเขากลับมาค้นข้อมูลที่ห้องด้วยต้องใช้เอกสารอ้างอิงบางอย่าง โจเซที่ไม่เคยล่วงล้ำการทำงานของลูกน้องคนนี้อยู่แล้วจึงไม่ถามอะไรต่อ ปล่อยให้เจ้าอรุณทำตามใจ เขาขออย่างเดียวให้มีงานมาให้เขาก็พอ

เจ้าอรุณไม่ได้ทำงานตามที่บอกโจเซไปหรอก เขาเอาแต่ทำความสะอาดห้องครั้งใหญ่ ดึงผ้าปูเตียง เก็บปลอกหมอนผ้าห่มไปซัก ขจัดกลิ่นกายของเดวีให้หมดสิ้น

คนบ้าอะไร น่าขยะแขยงสิ้นดี!

ความจริงไม่ได้ขยะแขยงอะไรขนาดนั้น แค่หงุดหงิดกับสิ่งที่เดวีทำจนพาลไปโทษอย่างอื่นมั่วซั่วไปหมดก็แค่นั้น

กว่าจะจัดการซักผ้า ทำความสะอาดห้องเสร็จสิ้นก็เกือบจะหมดวัน เขาไม่มีอารมณ์จะทำอะไรต่อทั้งนั้น ทิ้งตัวลงนอนและผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนกระทั่งเข้าสู่วันใหม่

หากแต่วันนี้เขาไม่ได้ตื่นด้วยตัวเองอย่างเคย กลับสะดุ้งตื่นเพราะสายเรียกเข้าจากโจเซที่โทรมาตั้งแต่เช้ามืดพร้อมกับส่งเสียงโวยวายมาตามสาย

[อรุณ! อยู่ไหน! รีบมาที่เรือนกระจกด่วนเลย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!]

เดาในใจว่าเรื่องใหญ่ที่โจเซว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเถาวัลย์ ทว่าเขาไม่คิดจะถามอะไรมากนอกจากรีบลุกขึ้นจากเตียง คว้าเสื้อผ้ามาสวมใส่

ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง... เจ้าอรุณคิดแบบนั้นพร้อมคะเนไปด้วยว่าใช้เวลากี่นาทีในการไปถึงที่หมาย

ทว่าพอสวมเสื้อผ้าเสร็จและพุ่งไปยังประตูห้อง การคำนวณเวลาในหัวเขาก็หยุดลงทันทีเมื่อเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วดันเปิดไม่ออก

ติดอะไรเนี่ย...

ดึงอยู่สองสามครั้งก็ไม่ออก กระชากแล้วก็ยังไม่ออกจนเจ้าอรุณชักจะหัวเสีย

เป็นอะไรของมันวะ!

คนอย่างเขาไม่นิยมใช้กำลังเท่าไหร่นัก ในเมื่อเปิดไม่ออกก็ยืนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ว่าที่ประตูเปิดไม่ออกเกิดจากอะไร ตอนแรกก็คิดเอาเองว่าอาจจะเป็นเพราะกลไกลูกบิดประตูขัดข้อง ก่อนที่ภาพใบหน้าหล่อคมคายของเดวีผุดพรายขึ้นมาในสมอง

ไอ้เถา! ฝีมือมันแน่!ๆ

สังหรณ์ใจไปเองทั้งที่ไม่มีวี่แววเลยว่าจะเป็นฝีมือของผู้ชายคนนั้น แต่ก็ทำให้เจ้าอรุณถลาเข้าไปเอาหน้าแนบกับประตูเพื่อส่องตาแมว ก่อนจะหงุดหงิดทันควันเมื่อเห็นว่าภายนอกนั้นมีเถาวัลย์ขึ้นปิดทึบไปหมด

จะว่าหมดก็ไม่เชิง พอจะมีช่องระหว่างเถาวัลย์เล็กน้อยให้เขามองเห็นข้างนอก

...แน่นอนว่าเห็นคนข้างนอกที่ยืนหยอกล้อกับต้นกระบองเพชรในกระถางของห้องข้างๆ อยู่ด้วย

ที่เปิดประตูไม่ได้เป็นเพราะติดกำแพงเถาวัลย์นี่เองล่ะสินะ!

“เอาเถาวัลย์นายออกไปให้พ้นประตูห้องฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้บ้า!”

หงุดหงิดอย่างเดียวไม่พอ แผดเสียงออกไปด้วย แต่ไม่ได้เสียงดังนักด้วยเกรงว่าจะทำห้องข้างๆ ตื่น

ไม่ใช่อะไรหรอก เขาไม่ได้มีความเกรงใจอะไรเท่าไหร่ แค่กลัวว่าห้องข้างๆ จะคิดว่าเขาเพี้ยนก็เท่านั้น

เถาวัลย์บ้าอะไรจะมาอยู่ตรงประตูกันล่ะ!

เดวีที่กำลังพูดคุยกับกระบองเพชรหันมามองตามต้นเสียงทันที เขายังไม่เห็นเจ้าอรุณแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นแล้วเลยเสนอหน้าเข้าไปใกล้ประตู ใช้นิ้วแหวกบรรดาเถาวัลย์นิดหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นหน้าตัวเองเต็มๆ

“ตื่นแล้วเหรอที่รัก”

ที่รักบ้านนาย! ถ้ายังไม่ตื่นจะมายืนแหกปากอยู่ตรงนี้ไหมวะ!

เกลียดที่ตัวเองกลายเป็นคนหยาบคายโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เกลียดเดวีที่ทำให้เขาหัวเสียทุกวินาทีที่หายใจมากกว่า ก่อนจะตอบเสียงขุ่น

“อย่ามาล้อเล่นกับฉัน เอาเถาวัลย์ของนายออกไป”

“จุ๊ๆ จะง้อกัน ใช้น้ำเสียงดีๆ หน่อยซี่”

เดวียังไม่รู้ถึงความผิดตัวเอง หยอกเล่นอยู่นั่นกระทั่งเจ้าอรุณหงุดหงิดหนักกว่าเดิม

“ไม่ได้ง้อนายแต่สั่งให้นายเอาเถาวัลย์ออกไปจากประตูห้องฉัน...เดี๋ยวนี้!”

ปลายประโยคเป็นการตะคอกจริงจัง อันนี้ลืมตัวแต่ช่างหัวมัน เจ้าอรุณไม่สนอีกแล้ว ขณะที่เดวีทำท่าทางตกใจ ย้อนกลับมาอย่างเล่นลิ้น

“อุ๊ย รุนแรง รู้สึกได้ถึงความซาดิสม์”

คนฟังถึงกับกัดฟันกรอด

ไม่สนุกเลย... เขาไม่สนุกกับการหยอกล้อของเดวีเลยสักนิด ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวในการระงับอารมณ์

“เดวี... ฉันบอกให้เอาเถาวัลย์ของนายออกไป”

รอบนี้บอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ในความรู้สึกของคนฟัง ฟังดูก็รู้ว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายแทบจะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวาได้อยู่แล้ว

“ได้ แต่มีข้อแม้นะ”

กระนั้นก็ยังเล่น เขาก็ต้องการให้ลงเอยแบบนี้แหละเพราะต้องการข้อต่อรอง

คำพูดของเดวีทำเอาเจ้าอรุณทุบประตูตามมาดังปึง

“ไม่ฟังก็แล้วแต่ ฉันก็ไม่เอาเถาวัลย์ออกก็แค่นั้น”

เดวียักไหล่ ทำท่าไม่ยี่หระ กอดอกเดินหนีทันควัน เจ้าอรุณจึงได้พูดขึ้น

“รีบพูดมา”

ถึงน้ำเสียงจะบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากฟังนัก ทว่ากลับทำให้เดวีดี๊ด๊าได้ ไอ้ที่ทำเป็นกอดอกไม่สนใจเมื่อกี้ก็รีบแด๊ะแด๋เข้ามาหา

“ก็ไม่มีอะไรมากแค่นายต้องเป็นที่พึ่งพิงให้ฉันเท่านั้นเอง”

หมายถึงการเป็นเสาหลักให้มันพันแล้วดูดซึมน้ำสินะ...

“ได้”

ตอบรับโดยไม่คิดมาก เจ้าอรุณกะว่าทำเป็นตกลงไปงั้นแหละ เอาเข้าจริงก็ไม่ทำหรอก ทว่าเดวีไม่คิดอย่างนั้น พออีกฝ่ายตอบรับข้อเสนอข้อนึงแล้วก็ร่ายข้อสองออกมา

“แล้วก็นะ นายต้องให้ฉันอยู่กับนายด้วย”

เรื่องเหอะ! ใครจะให้ตัวประหลาดอย่างไอ้บ้านี่มาอยู่ด้วยกัน!

เจ้าอรุณถึงกับเบ้หน้า ถึงตอนแรกกะว่าจะตอบรับไปงั้นๆ แต่พอมาเจอเงื่อนไขข้อนี้ เขากลับไม่อยากตอบรับเสียอย่างนั้นต่อให้ไม่เป็นความจริงก็ตาม การเงียบทำให้เดวีคะยั้นคะยอถามขึ้นมาอีก

“ว่าไง จะให้ฉันอยู่ด้วยไหม ถ้าไม่ให้อยู่ด้วย ฉันก็ไม่ปล่อยนายนะ”

แสร้งทำเสียงยานคางสร้างความน่ารำคาญให้เจ้าอรุณ ก่อนเจ้าอรุณจะถามกลับ

“มันเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องให้นายอยู่ด้วย”

“เอ้า ก็นายเป็นนักพฤกษศาสตร์ นายมีหน้าที่ดูแลพืช ฉันเป็นพืช นายก็ดูแลฉันหน่อยสิ”

เหตุผลไร้สาระแบบนี้ ไม่ต้องสำรอกออกมาให้ได้ยินเลยไอ้เถา!

เมื่อเส้นประสาทตรงขมับกระตุกยิกๆ เส้นประสาทที่เท้าก็กระตุกไม่ต่างกัน

ถ้าคิดจะผลักให้เขาจนมุมเพื่อให้ยอมรับเงื่อนไขบ้าๆ แบบนี้ล่ะก็ฝันไปเถอะ!

“พืชอย่างนาย นอกจากฉันจะไม่ดูแลแล้ว ฉันจะเอาขวานจามหน้าด้วย!”

เจ้าอรุณแผดเสียง เดวีเบิกตาโต ทำหน้าเหมือนตกใจแล้วก็ยกมือทั้งสองข้างประสานข้างหลังศีรษะ

“แล้วแต่นะ ให้โอกาสกลับมาคืนดีแล้วไม่ยอมก็อย่ามาหาว่าหมดใจแล้วกัน”

หมดใจบ้าอะไร ไม่เคยมีใจให้อยู่แล้ว!

หงุดหงิดงุ่นง่าน เผลอเตะชั้นวางรองเท้าอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ไปที ก่อนจะมองซ้ายขวาหาทางออกจากห้อง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นระเบียงซึ่งอยู่เยื้องจากบริเวณส่วนกลางของห้องไปหน่อย เท่านั้นชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าไปยังระเบียงอย่างรวดเร็ว ชะโงกมองลงไปข้างล่างและหันมามองตรงกำแพงที่มีบันไดเหล็กสำหรับหนีไฟก็คะเน

ห้องอยู่ชั้นสอง ปีนลงไปถ้าพลาดก็คงจะไม่เจ็บตัวมาก ด้านล่างก็มีพุ่มไม้รองรับ ถ้าร่วง อย่างดีก็คงจะได้แค่แผลกิ่งไม้ข่วน

เขาไม่เก่งเรื่องกายภาพ จะทำอะไรที่ต้องใช้แรงกายต้องคาดการณ์เผื่อพลาดไว้สักหน่อยด้วย แต่ถึงจะปีนพลาดตกลงไป เจ้าอรุณก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ตอนนี้อยากจะไปให้พ้นๆ จากรัศมีของไอ้เถาวัลย์บ้านั่นอย่างเดียว

กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง คว้าสัมภาระที่จำเป็นใช้ใส่ในกระเป๋าสะพายข้าง เอาคล้องตัวก่อนจะออกมาที่ระเบียงแล้วค่อยๆ ปีนข้ามรั้วระเบียงไปเกาะบันไดเหล็กและไต่ลงมา

พอพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนบันไดเหล็กที่ไร้ความปลอดภัยแล้ว เจ้าอรุณก็ตระหนักได้ว่านอกจากเขาจะไม่คล่องแคล่วทางด้านกายภาพแล้ว ยังจะกลัวความสูงอีก แค่ชั้นสองแท้ๆ เผลอเหลือบมองไปข้างล่างยังขาสั่นมือสั่นขึ้นมา

บัดซบเอ๊ย! ทำไมถึงเป็นแบบนี้วะ!

กัดฟันแน่น หลับตาปี๋อยู่ครู่หนึ่ง ตั้งสติได้ก็ค่อยๆ ก้าวขาที่สั่นเทาลงจากบันไดทีละขั้น ทุกครั้งที่เท้าแตะขั้นบันได เขาจะได้ยินเสียงราวบันไดเหล็กสั่นมาให้ได้ยินเป็นจังหวะ

ไม่ใช่เพราะบันไดเหล็กไม่แข็งแรง แต่เป็นเพราะขาเขาสั่นเกินกว่าจะควบคุมได้ต่างหาก

ต้องทำได้สิ... เราต้องทำได้ แค่ไต่ลงไปให้ถึงพื้นแค่นี้เอง

เขาไม่รู้แล้วว่าใบหน้าตัวเองตอนนี้ซีดขนาดไหน แต่เจ้าอรุณก็ยังเป็นเจ้าอรุณ ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมเสียหน้า เริ่มแล้วต้องทำให้ได้ กลั้นใจไต่ลงไปอีก ไต่ไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงพื้นก็กระหยิ่มใจคิดว่าตัวเองคงจะรอดแล้ว

หากแต่ในจังหวะที่เขาเหยียดขาเตรียมจะไต่ลงไปอีกขั้น พื้นรองเท้าหนังก็ดันลื่นทำให้เหยียบพลาดเสียได้ ขาที่ยังไม่หายสั่นดีหลุดจากขั้นบันได ไม่ใช่แค่ขา มือก็หลุดอีกต่างหาก คนไม่มีทักษะทางด้านกายภาพดีอย่างเขา ก้าวพลาดแค่นี้ก็ตกใจจนปล่อยตัวเองร่วงลงมา

ในวินาทีที่ร่างกายร่วงหล่นสู่พื้น เจ้าอรุณคิดถึงหน้าพ่อแม่ที่เมืองไทยขึ้นมาทันที ก่อนจะเลือนหายไป กลายเป็นหน้าตาทะเล้นของเดวีที่เข้ามาแทนที่

ไม่ตายก็เจ็บหนักล่ะวะงานนี้ อยู่ดีไม่ว่าดี เอาหัวมาโหม่งพื้นเล่นซะงั้น ทั้งหมดเป็นเพราะนายเลยไอ้เถาวัลย์!

โทษแล้วก็พยายามจะเก็บคองอเข่าเพื่อลดแรงกระแทก ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำดั่งใจนึก เขาก็รู้สึกถึงแรงคว้าเข้าที่เอวเขาเอาไว้ ก่อนจะมีอะไรบางอย่างมารองรับทางด้านใต้ของร่างขณะที่เขาเกือบจะหล่นถึงพื้น

ถะ...เถาวัลย์!?

เห็นแวบๆ ด้วยหางตาว่าเป็นเถาวัลย์ชนิดเนื้อแข็งสีน้ำตาลเข้มที่มารับเขาไว้ แต่กว่าจะรู้ตัวว่ามันคืออะไร เจ้าอรุณก็ถูกพาตัวมายืนบนพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ว่าจะไม่ช่วยแล้วเชียว แต่อดไม่ได้ คิดอยู่แล้วว่าคนอย่างนายจะต้องแอบหนีมาทางระเบียงแน่”

ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติดี เสียงยั่วโมโหของเดวีก็ดังมาเข้าหู เจ้าอรุณหันไปก็เห็นเจ้าตัวยืนเอียงคอยิ้มอยู่ด้วยท่าทางกวนประสาท

“บอกแล้วว่าเดี๋ยวนายจะต้องเรียกหาฉัน”

ไปเรียกหาตอนไหน! ยังไม่ได้เอ่ยชื่อเลยสักนิดถึงจะมีคิดถึงหน้าบ้างก็เถอะ แต่มันไม่ใช่การเรียกหาเว้ย เรียกว่าสาปส่ง!

“ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วย”

เจ้าอรุณคว้าเถาวัลย์ที่พันอยู่รอบเอวตัวเองออกแล้วสะบัดทิ้ง เดวีดึงคอมาตั้งตรง ว่าอย่างยียวน

“ดูสิดู คนอุตส่าห์มาช่วย ยังจะพูดจาอย่างนี้อีก นิสัยไม่ดีเลยนะที่รัก”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ขอให้นายมาช่วย นายเสนอหน้ามาเอง”

ว่าอย่างหงุดหงิด กิริยาก็แสดงออกว่าหงุดหงิดเมื่อจับเถาวัลย์รอบเอวออกแล้วไม่พ้นร่างสักที ก่อนจะหันไปหาเดวีพลางว่าเสียงแข็ง

“เอามันออกไป”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel