Episode 02: หนุ่มหนวด[2/2]
หันกลับมาทางเดิม เตรียมจะตรงเข้าไปหาที่ตั้งเถาวัลย์ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็เจอเถาวัลย์เถาเล็กๆ เถาหนึ่งโผล่มาทักทายในระยะประชิดชนิดเกือบติดใบหน้า
“อะ...อะไร”
สัญชาตญาณในการป้องกันตัวทำให้เขาหลุดปากไปอย่างนั้น ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากเถาวัลย์เถานั้น เจ้าอรุณจึงเอามือปัดให้พ้นทาง
“ถ้าไม่มีอะไรก็ถอยไป ฉันจะทำงาน”
แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม ปัดเถาวัลย์เถานั้นทิ้งไปข้างๆ เดินกลับมายังที่เดิมแต่แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเถาวัลย์เถานั้นมาดักหน้า
“อะไรอีก”
เถาวัลย์ก็ยังคงนิ่งเฉย...นิ่งได้เพียงเสี้ยววินาทีก็ทำท่าจะเลื้อยไปตามลำตัวเขา ทำเอาเจ้าอรุณกระโดดถอยหลัง ถือกรรไกรตัดกิ่งในมือขึ้นขู่
“ถ้าเข้าไปใต้เสื้อผ้าฉันอีกล่ะก็ จะตัดทิ้งให้เหี้ยน”
ไม่ได้ขู่อย่างเดียว เจ้าอรุณคิดจะทำจริงด้วย เถาวัลย์นิ่งไปเพียงครู่คล้ายชั่งใจ สุดท้ายก็เคลื่อนเข้าไปหาเจ้าอรุณอยู่ดี
เห็นไม่เชื่อฟัง พุ่งตรงมาหา เท่านั้นเจ้าอรุณก็...
ฉับ!
ง้างกรรไกรตัดกิ่งตัดฉับอย่างไม่รอช้า ปลายเถาวัลย์ส่วนที่ถูกร่วงหล่นลงพื้น ก่อนเสียงของชายหนุ่มจะดังขึ้น
“บอกแล้วว่าถ้าเข้ามาใต้เสื้อผ้าฉันอีก ฉันจะตัด”
ยังไม่ได้เข้าไปในเสื้อผ้าเลย ยังไม่โดนตัวเลยด้วยซ้ำ ถึงกับลงไม้ลงมือ อย่างนี้มันมากไป!
ไม่ใช่เจ้าอรุณคิด แต่เถาวัลย์คิด
ใช่ เถาวัลย์...
จะว่าเถาวัลย์ก็ไม่ถูกนัก เป็นใครบางคนที่เป็นส่วนหนึ่งของเถาวัลย์ต่างหาก
พอรู้สึกว่าบางส่วนของตัวเองถูกตัด ผู้เป็นเจ้าของก็รีบประท้วงด้วยการปรากฏกายให้เห็น เถาวัลย์ที่พันกันเป็นวงรีค่อยๆ คลายตัวออกจากกันทำเอาเจ้าอรุณเบิกตาโต รีบกระถดถอยหนีอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แล้วก็ต้องแหกปากร้องสุดเสียงเมื่อเห็นว่าภายในเถาวัลย์นั้นมีร่างสูงของผู้ชาย
ผู้ชายคนเดียวกับเมื่อคืนอีกต่างหาก!
อะไรกันเนี่ย!
“ไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย ไม่เห็นจะต้องใจร้ายขนาดนั้น”
เดินออกมาจากเถาวัลย์พลางพูดหน้าตาเฉย ขณะที่เถาวัลย์ค่อยๆ คืนตัวกลับไปพันเป็นรูปร่างเดิม ผู้ชายคนนั้นก็ยังโทงเทงเหมือนเดิม เนื้อตัวไม่มีอะไรปกปิด มีแต่เถาวัลย์ห้อยต่องแต่ง แถมไม่ใช่เถาวัลย์ที่เป็นพืชพรรณอีกด้วย แต่เป็นเถาวัลย์กลางลำตัว
เจ้าอรุณมองไปยังคนมาใหม่แล้วก็ต้องทำหน้าเหมือนเห็นผี แค่โผล่มาจากในเถาวัลย์นั่น แก้ผ้ามาอีกก็ทำเอาเขาตกใจมากแล้ว นี่ยังจะเดินเอาเถาวัลย์สะบัดสะโบกเข้ามาใกล้เขาอีกต่างหาก ทำเอาเจ้าอรุณร้องลั่น
“ถ้านายเข้ามาใกล้ฉันกว่านี้อีกนิดนึง ฉันตัดไอ้นั่นของนายทิ้งแน่!”
ท่าทางระวังตัวทำให้คนหนวดเฟิ้มหยุดก้าวเข้าหา ชี้นิ้วไปกลางลำตัวของตัวเอง
“นายหมายถึงเจ้านี่?”
เจ้าอรุณไม่ตอบ เอาแต่ง้างกรรไกรตัดกิ่งขู่ ตอนนี้มีอาวุธในมือแล้ว เขาไม่กลัวเท่าไหร่นัก ขณะที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ก่อนจะทำเสียงเง้างอด
“นายจะใจร้ายกล้าตัดเถาวัลย์ใหญ่ยักษ์มหึมาได้ลงคอเลยเหรอ เป็นนักพฤกษศาสตร์ก็ต้องอนุรักษ์พันธุ์พืชสิ”
เถาวัลย์ใหญ่ยักษ์มหึมาบ้านมัน ต่องแต่งหัวทิ่มอย่างนั้น มองอย่างไรก็เนื้องอก!
เจ้าอรุณอยากจะแผดเสียงใส่ ทว่ามันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำอะไรอย่างนั้น เขาต้องป้องกันตัว ไม่ยอมตกอยู่ในสภาพอย่างเมื่อคืนอีกรอบเป็นอันขาด
“นายเป็นใคร”
ตั้งสติได้ก็กดเสียงต่ำถาม อีกฝ่ายเสยปอยผมที่ปรกใบหน้าขึ้น ว่าสบายๆ
“คิดว่าเป็นใครดีล่ะ”
ก็ใครล่ะวะ! ถ้ารู้จะถามไหม!
เจ้าอรุณสูดลมหายใจเข้าปอดคล้ายกับกำลังตั้งสติ ก่อนถามออกไปอีกครั้ง
“นายเป็นใคร”
“ลองเดาดูสิ”
แทนที่จะตอบ อีกฝ่ายดันยิ้มทะเล้น สวนคืนราวกับกำลังสนุกที่ได้หยอกเย้า เจ้าอรุณหงุดหงิดขึ้นมาทันตา นิสัยพื้นเพของเขาเป็นคนไม่ชอบอะไรยืดเยื้อและยังเป็นคนขี้รำคาญ พอมาเจออย่างนี้เข้าก็อดหัวเสียไม่ได้
“ฉันไม่มีเวลาให้นายมายืนพูดอะไรมากนัก ถ้าไม่อยากถูกส่งเข้าตะรางก็รีบบอกมาว่านายเป็นใคร”
บอกหรือไม่บอก เจ้าอรุณก็ตั้งใจจะส่งผู้ชายคนนี้ให้ตำรวจเหมือนกัน ทำเป็นพูดไปอย่างนั้นให้อีกฝ่ายกลัวเท่านั้นแหละ ใครมันจะปล่อยให้ไอ้บ้านี่ลอยนวลไปกัน ทำกับเขาไว้เสียขนาดนั้นน่ะ
คนฟังรับรู้ได้ว่าทำเจ้าอรุณรำคาญแล้วแต่ก็ยักโยกโย้ ยกมือขึ้นขยี้หู พูดด้วยท่าทางกวนประสาท
“นายนี่เคร่งเครียดตลอดเลยนะ หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ แค่นี้ต้องขู่ด้วย”
เจ้าอรุณย่นคิ้ว ผู้ชายคนนี้พูดราวกับว่าเห็นเขาทำงานอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ แต่พอมาคิดว่าเห็นเดินออกมาจากในเถาวัลย์ประหลาดนั่นก็ตระหนักได้ฉับพลัน
มันก็ต้องเห็นเขาทำงานอยู่แล้ว ก็อยู่ในนั้นตลอดเวลาน่ะ งั้นก็แสดงว่าไอ้ที่เถาวัลย์มันเคลื่อนไหวได้เองอย่างอิสระแล้วมาเลื้อยไปตามใต้ร่มผ้าเขาก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญล่ะสินะ
ฝีมือไอ้บ้าตรงหน้าแหงแซะ!
คิดวิเคราะห์ไปตามประสาคนฉลาด ถ้าผู้ชายคนนี้อยู่ข้างในและควบคุมการเคลื่อนไหวของเถาวัลย์ได้ ก็แสดงว่าเขาไม่ใช่มนุษย์...
บะ...บ้าน่า ถ้าไม่ใช่มนุษย์แล้วเป็นตัวอะไร!?
เจ้าอรุณหวาดผวาขึ้นมา ถอยหลังหนีอย่างไม่รู้ตัว คนตรงหน้าเห็นก็รู้ว่าเจ้าอรุณคงจะกลัวตัวเองซึ่งมันก็ปกติสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวอะไร
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไม่มีอะไรหรอก ไม่อันตราย ไม่ต้องตื่นเต้น”
ไม่ต้องตื่นเต้นอะไรเล่า! ยิ่งมารู้อย่างนี้มันสมควรจะต้องตื่นเต้น!
“นะ...นายเป็นใคร บอกมา!”
พอความกลัวเข้าครอบงำ เจ้าอรุณก็ชักจะเสียงดังขึ้นมา
อีกฝ่ายเห็นนักพฤกษศาสตร์หนุ่มขู่ฟ่อก็เกาหลังศีรษะแกรกๆ
“ช่วยไม่ได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว บอกก็แล้วกัน”
เจ้าอรุณตั้งใจฟังทั้งที่มือยังคงถือกรรไกรตัดกิ่งไว้มั่น คนตรงหน้าไม่ได้มีท่าทียี่หระกับอุปกรณ์ที่เขาใช้เป็นอาวุธเลยแม้แต่น้อย พูดด้วยท่าทีสบายๆ
“ฉันเป็นส่วนหนึ่งของเถาวัลย์นี่ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเถาวัลย์นี่เป็นส่วนหนึ่งของฉันมากกว่า”
เจ้าอรุณหรี่ตาลง ไม่เข้าใจความหมายนัก
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าอย่างนี้...”
หนุ่มหน้าหนวดไม่ได้อธิบายต่อด้วยคำพูด หากแต่เป็นการกระทำ สิ้นเสียงก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาตรงหน้า ฉับพลันปลายนิ้วชี้ก็มีเถาวัลย์เถาเล็กๆ งอกออกมาก่อนจะยาวขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาเจ้าอรุณเบิกตาค้างที่การคาดเดาของเขาเมื่อครู่เป็นความจริง
ไม่น่าเชื่อ! เป็นไปไม่ได้!
ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อในเมื่อสิ่งที่ได้เห็นมันคือความจริงซึ่งเขาได้พิสูจน์มันกับตา เจ้าอรุณไม่เคยหัวสมองตื้อตันอย่างนี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ปฏิกิริยาต่อไปหลังจากรู้เรื่องนี้ยังคิดไม่ออกเลยว่าควรจะแสดงออกอย่างไร จึงปล่อยให้ชายแปลกหน้าพูดอยู่คนเดียว
“จะว่าไปเมื่อวานฉันก็ทำกับนายค่อนข้างหยาบคายไปหน่อย พอดีขาดน้ำน่ะ เลยต้องหาที่พึ่งพิง”
ไม่ค่อนข้างหยาบคายแล้วล่ะ โคตรหยาบคายเลยเถอะ!
“แล้วนายจะหาที่พึ่งพิงทำไม”
ถามออกไปโดยไม่ทันคิด ทำเอาคนถูกถามย่นหน้า
“เอ้า เป็นพืชนี่”
เจ้าอรุณนึกขึ้นได้ในตอนนี้ว่าเถาวัลย์เป็นพืชที่ดำรงชีพได้โดยวิธีใด
พันโอบรัดต้นไม้อื่นเพื่อดูดน้ำและสารอาหาร วิธีการนี้เรียกว่าการพึ่งพิง
แต่ทำไมต้องมาพึ่งพิงเราวะ ทำไมไม่ไปพึ่งพิงต้นไม้ด้วยกันเล่า!
จะบอกว่าคนตรงหน้าเป็นพืชก็พูดได้ไม่เต็มปาก บอกว่าเป็นมนุษย์ก็ไม่เต็มปากอีกเช่นกัน จะอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้ถือว่าผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย หนีออกไปตั้งหลักก่อนท่าจะดีกว่า เขาไม่ควรเอาชีวิตมาเสี่ยงกับอะไรแบบนี้
“ถอยออกไปห่างๆ ฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
คิดได้ก็รีบตะเบ็งเสียงออกไป ของในมือที่ใช้เป็นอาวุธก็ยื่นออกไปตรงหน้า คนหน้าหนวดยกมือขึ้นในอากาศเป็นเชิงปรามให้ใจเย็นๆ
“ไม่เอาน่า อย่าวู่วาม วางกรรไกรลงก่อน”
มีมันอยู่ตรงหน้า ใครจะไปกล้าวางกรรไกรลง อันตรายจะตาย!
“อย่าตามมานะ”
เห็นคนตรงหน้าไม่ขยับเขยื้อน เจ้าอรุณก็ค่อยๆ ถอยร่นไปยังประตู มือยังคงถือกรรไกรตัดกิ่งอยู่ สายตาจับจ้องไปยังอีกฝ่ายด้วยความหวาดระแวง พอเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับ ไม่ตามมา เขาก็รีบหันหลังตั้งท่าจะวิ่งออกไปข้างนอก หากแต่ไม่ทันจะได้ก้าวพ้นธรณีประตูก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนล้มคะมำไปกับพื้น ก่อนจะต้องร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ข้อเท้าก็ถูกพันธนาการ หันไปมองก็เห็นว่าถูกเถาวัลย์สีน้ำตาลเข้มพันอยู่
“ปล่อย! ปล่อยนะเว้ย!”
แหกปากร้องเสียงดังลั่น กะว่าเสียงตัวเองคงจะดังลอดออกไปข้างนอกให้คนอื่นได้ยินบ้าง แต่คิดผิดเพราะทันทีที่เขาร้อง เถาวัลย์อีกเถาที่เล็กกว่าก็ถูกส่งมาปิดปากเขาทันที
“อย่าเสียงดังน่า”
เจ้าของเถาวัลย์พวกนั้นว่าก่อนจะขยับปลายนิ้ว เพียงนิดเดียว เถาวัลย์ก็จัดการลากเจ้าอรุณเข้าไปหาทันที
เหมือนกับพวกพืชกินคนตามภาพยนตร์ที่เคยดูไม่มีผิด เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ แต่ทำไมเหยื่อคนแรกในการค้นพบของมวลมนุษยชาติจะต้องเป็นเราด้วย!?
เจ้าอรุณคร่ำครวญในใจ ดิ้นทุรนทุรายทันทีที่มาอยู่แทบเท้าของมนุษย์เถาวัลย์ ก่อนจะถูกอีกฝ่ายโถมกายทาบทับไม่ต่างจากเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย
“ขอดูดหน่อยนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
คุณพระ! ฝันร้ายชัดๆ!
เจ้าอรุณส่ายหน้าพรืด เหลือบเห็นเถาวัลย์ที่พันรอบริมฝีปากเขามีดอกตูมสีแดงๆ งอกออกมาทีละน้อยก่อนมันจะค่อยๆ ผลิบาน เขาไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรแต่จิตใต้สำนึกบอกรัวๆ ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
“มันทำให้นายอยู่นิ่งๆ น่ะ สักชั่วโมงนึงก็หมดฤทธิ์แล้ว”
แค่นี้ยังนิ่งไม่พออีกหรือไง โดนรัดไปทั้งตัวอย่างนี้เนี่ย!
ดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต เคราะห์ดีที่ทุกอย่างไม่ง่ายเป็นไปดั่งใจของไอ้หนวดเพราะทันทีที่ดอกตูมเริ่มบานออก เสียงของใครบางคนก็ดังแว่วมาให้ได้ยินฉับพลัน
“อรุณ!”
เสียงของด็อกเตอร์โจเซ...
เถาวัลย์ที่ปิดทับริมฝีปากของเจ้าอรุณอยู่รีบคลายตัวออกอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่ผู้ชายคนนั้นยกตัวเองออกจากเจ้าอรุณ ซ้ำยังมีการใช้เถาวัลย์ดึงตัวเจ้าอรุณขึ้นมายืน จัดแต่งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เข้าที่เรียบร้อยอีกต่างหาก ตบท้ายก็การกระซิบเสียงแผ่ว
“อย่าบอกเชียวนะว่าฉันอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นนายเดือดร้อนแน่”
เจ้าอรุณที่เพิ่งจะได้สติเสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว เป็นคำขู่ที่ไม่ได้จริงจังแต่กลับทำให้เจ้าอรุณเชื่อฟังได้ชะงัด ก่อนเขาจะหันไปมองโจเซ พลันปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“คะ...ครับ”
ถึงจะพยายามแล้ว น้ำเสียงก็ยังสั่นอยู่ดี ดีที่โจเซไม่ได้สังเกตเพราะเขามีเรื่องให้สนใจมากกว่า
“เมื่อเช้าฉันส่งรายงานที่นายบันทึกไว้เมื่อวานไปให้ศาสตราจารย์แล้ว เขาสนใจมาก เมื่อกี้เลยโทรมาบอกว่าอาทิตย์หน้าอยากจะเข้ามาฟังรายงานจากปากนายด้วยตัวเองน่ะ ฉันเลยมาบอกให้นายเร่งมือมากกว่าเดิมหน่อย”
ศาสตราจารย์ที่ว่าก็คือคนที่มีอิทธิพลในวงการพฤกษศาสตร์ เขาสนใจถึงขนาดออกปากให้เร่งมือเองเท่ากับว่าเป็นโอกาสที่ดีทีเดียวที่เจ้าอรุณจะได้แสดงศักยภาพแล้วรีบหลุดพ้นจากการชดใช้ทุนสักที เขาควรจะดีใจที่ได้รับความไว้วางใจและความสนใจจากผู้ใหญ่อย่างนี้ หากแต่วินาทีนี้เขากลับไม่อยากทำแล้ว อยากจะไปให้พ้นไอ้เวรหน้าหนวดที่นั่งหมอบอยู่กับพื้น ใช้กระถางต้นไม้ใกล้ๆ เป็นที่กำบังมากกว่า
ปฏิเสธไปเลยก็แล้วกันว่าไม่อยากทำงานนี้ต่อแล้ว
“ด็อกเตอร์ครับ คือผม...”
“เอ้อ ศาสตราจารย์ฝากมาบอกนายด้วยนะว่าหลังจากฟังรายงานแล้ว เขาจะทำเรื่องขอยกเลิกการชดใช้ทุนของนายให้เลย ตั้งใจเข้าล่ะอรุณ อย่าให้เสียโอกาส ฉันแวะมาบอกแค่นี้แหละ”
แวะมาบอกแค่นี้จริงๆ มาถึงก็เอาแต่พูดๆๆ แล้วก็โบกมือลา เดินกลับออกไปเสียอย่างนั้น ทำเอาเจ้าอรุณที่ยังพูดไม่จบอ้าปากค้าง
ไอ้เวรด็อกเตอร์เอ๊ย! จะรีบไปไหนของมันวะ!
เป็นปกติของโจเซซึ่งเจ้าอรุณก็ชินแล้วและไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่นัก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เขาอยากให้โจเซอยู่ก่อน
...ก่อนที่ไอ้เถาวัลย์มันจะเริ่มรัดเขาอีกระลอกเนี่ย!
ประตูเรือนกระจกถูกปิดลง คนที่หมอบอยู่กับพื้นก็ลุกพรวดขึ้นมา
“หมอนั่นลุกลี้ลุกลนดีเนอะ รีบไปไหนล่ะน่ะ”
แม้แต่คนนอกยังคิดอย่างนั้น เจ้าอรุณเหลือบมองคนพูดตาขวาง เหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์ที่ประสบอยู่เหลือเกิน
“ถามตรงๆ นะ นายต้องการอะไร”
ด้วยความที่อยากจะจบเรื่องนี้เต็มแก่เลยพูดออกไปอย่างนั้น การถูกถามโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้คนฟังหน้าเหวอ แต่แล้วก็ตอบในตอนสุดท้าย
“ก็ไม่ได้ต้องการอะไร แค่ขอรัดแล้วก็ขอดูด”
โอเค พอจะตีความได้ว่าขอพึ่งพิงแล้วก็ขอดูดน้ำตามประสาพืชกาฝาก
งั้นถามอีกอย่างก็แล้วกัน
“นายดูดน้ำไปหล่อเลี้ยงตัวเองใช่ไหม”
คนถูกถามดีดนิ้ว พยักหน้ารับรัว
“งั้นก็แสดงว่าน้ำอะไรก็ได้งั้นสิ”
“อื้อ”
“แต่ที่ต้องไปรัดไปพันสิ่งมีชีวิตอื่นก่อนเป็นเพราะสัญชาตญาณตามธรรมชาติ?”
อีกฝ่ายนิ่งคิดไปแล้วก็พยักหน้า
“ประมาณนั้น”
เท่านั้นเจ้าอรุณก็ใจชื้นขึ้นมา เห็นทางรอดของตัวเองขึ้นมาทันควัน
บอกว่าต้องการน้ำ งั้นก็เอาน้ำธรรมดาที่ไม่ได้มาจากร่างกายเขาให้ก็ได้ ก็พืชนี่นะ น้ำจากไหนก็หล่อเลี้ยงได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าต้องการที่พันเกี่ยวก็หาเสาหาอะไรมาให้พันก็ได้ แค่นี้เอง ไม่เห็นจะยาก
ชายหนุ่มนึกขอบคุณความฉลาดของตัวเองไม่น้อยที่คิดแผนการนี้ออก ก่อนจะร่ายยาว
“ได้ ฉันจะได้น้ำกับนาย เท่าไหร่ก็ได้ ไม่อั้น”
“จริงเหรอ?”
คนฟังเบิกตาโต สีหน้าเก็บอาการไม่มิดว่าดีใจ ทว่าก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเจ้าอรุณเสริมขึ้นมา
“แต่มีเงื่อนไข”
“อะไร”
“นายจะต้องให้ข้อมูลฉันเกี่ยวกับเถาวัลย์แล้วก็ตัวนาย...อย่างละเอียด”
หนุ่มหน้าหนวดเม้มริมฝีปาก พอจะเข้าใจได้ว่าทำไม ก็เมื่อกี้ผู้ชายที่ใส่เสื้อกาวน์เหมือนกับคนตรงหน้าเข้ามาพูดปาวๆ นี่นาว่าอยากได้ข้อมูล ก่อนหน้านี้ก็ให้ศึกษาเขาจะเป็นจะตาย เขาถึงมีโอกาสได้กอดกระหวัดรัดเกี่ยวเจ้าอรุณนี่ไง
“ว่าไง ตกลงหรือเปล่า”
เจ้าอรุณถามย้ำอีกครั้งพอเห็นว่าไม่มีการตอบรับจากอีกคน ชายหนุ่มหน้าหนวดเห็นท่าทางใจดีสู้เสือของคนตัวเล็กกว่าแล้วก็นึกสนุกขึ้นมา
“ได้สิ แต่มีข้อแม้เหมือนกันนะ”
“อะไร”
เจ้าอรุณถามเสียงขุ่นทันควันที่โดนเล่นลิ้นกลับคืนบ้างขณะที่คนเสนอยิ้มกริ่ม
“ให้น้ำหนึ่งครั้ง เท่ากับบอกข้อมูลหนึ่งอย่าง วันนึงฉันต้องรับน้ำสองครั้ง เท่ากับว่าวันนึงบอกข้อมูลได้แค่สองอย่างนะ”
ถึงกับกลอกตา เป็นเงื่อนไขที่น่ารำคาญชะมัด แต่พอคิดดูแล้วมันก็น่าจะใช้เวลาสั้นกว่าการที่เขาต้องศึกษาด้วยตัวเอง อีกอย่าง ถ้าศึกษาด้วยตัวเองก็ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเขาจะได้ข้อมูลทั้งหมด อีกทั้งยังความปลอดภัยจากการถูกคุกคามของไอ้ตัวเถาวัลย์หน้าหนวดนี่อีก
“ตกลง วันละสองครั้ง แต่ข้อมูลที่นายให้ต้องเป็นประโยชน์นะ”
ตอนนี้ความกลัวเกือบจะหมดไปแล้ว เจ้าอรุณนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า ซึ่งมันดีกับคนที่ยังแก้ผ้าอยู่เป็นอย่างมาก พอเห็นเจ้าอรุณตกปากรับคำก็ยื่นมือมาตรงหน้าทันใด
“ฉันชื่อเดวี ยินดีที่ได้รู้จัก นาย...?”
เจ้าอรุณไม่ยื่นมือไปจับ เพียงแค่เหลือบมองด้วยสายตารังเกียจแล้วเอ่ยชื่อตัวเองออกมา
“อรุณ”
เดวีดึงมือตัวเองกลับคืนมา ยิ้มแก้เก้อเล็กน้อยที่เจ้าอรุณไม่จับมือทักทายด้วย พลันเปลี่ยนเรื่องใหม่
“แล้วนี่จะเอาข้อมูลเลยไหม ฉันจะแห้งหมดแล้ว”
พูดพลางเอามือลูบท้อง เจ้าอรุณปรายตามอง ไม่เห็นมันจะแห้งตรงไหน ไม่เห็นมีส่วนไหนบ่งบอกเลยว่าแห้ง ปราดตามองไปยังส่วนกลางลำตัว... เห็นแต่เหี่ยว ก่อนทำหน้าเหม็นเบื่อ หันหนีให้คู่สนทนาเห็นชัดเจนเลยว่ารังเกียจที่จะคุยด้วย ทว่าหันได้ครู่เดียวก็ต้องหันกลับไปมองหน้าคนพูดอีกเมื่อหูทั้งสองได้ยินเสียงเรียก
“นี่ ฟังอยู่หรือเปล่า”
เดวีร้องท้วงทันทีที่ถูกเมิน เจ้าอรุณเหลือบมองอีกครั้ง เขาได้ยินเต็มสองหูเลยว่าถูกเรียกอยู่ แต่ยังไม่มีอารมณ์จะคุยด้วยตอนนี้
ก็จะให้เขาทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติได้อย่างไร ถึงตอนนี้จะพอทำใจได้แล้ว แต่ก็ขอเวลาให้เขาได้ปรับตัวสักหน่อยก่อนเถอะ
ตั้งใจจะบอกว่าขอเวลาไปตั้งสติข้างนอกแป๊บหนึ่ง ยังไม่ทันจะได้พูดก็ต้องนิ่วหน้าเป็นสุนัขพันธุ์บูลด็อก
“อรุณที่รัก”
ที่รงที่รักอะไร! อย่ามาเรียกอย่างนี้ ขยะแขยง!
เจ้าอรุณหันขวับมามองตาขวาง แสดงออกทางสีหน้าว่าไม่ชอบแต่ไม่ยอมพูด อีกฝ่ายรู้แต่ไม่สน เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นคนตัวเล็กกว่าหันกลับมา
“ขอดูดหน่อย”
คำพูดคำจาขัดหูเจ้าอรุณยิ่งนัก อยากจะด่าพ่อล่อแม่เหลือเกินแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ด้วยอุปนิสัยพื้นฐานไม่ใช่คนหยาบคาย และเขาก็ไม่ค่อยชอบใช้คำหยาบเท่าไหร่นัก ทว่ายิ่งมองหน้าเดวีก็ยิ่งขัดใจ นอกจากขัดหูแล้วยังขัดตา ขัดใจเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหนวดเคราปราศจากการโกนของอีกฝ่ายเต็มสองตา ตอนแรกก็ไม่สนใจหรอก ทว่าพอเริ่มคุ้นชินก็อดรำคาญตาอย่างเสียไม่ได้
นี่เป็นเถาวัลย์หรือสาหร่ายสไปรูรินา!? หนวดเครายุ่บยั่บเยอะแยะขนาดนี้ จะปลูกป่าดงดิบอีกที่หรือไง!?
อยากจะไล่กลับป่าให้ไปอยู่กับทาร์ซาน แต่มันไม่ใช่เรื่องของเขา จะมีหนวด จะโกนหรือไม่โกนก็ไม่เกี่ยวกับเขา เจ้าอรุณเลยแสร้งทำเมิน มองไปอีกทางเพื่อหลีกหนีความขัดใจนี้ ทว่าก็ได้ครู่เดียวก็ต้องขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อจู่ๆ ไอ้คนเครายุ่บก็เอาเคราใต้คางมาสีที่ข้างแก้มเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ขอดูดหน่อยน้า”
ดูดพ่อง!
อา... หลุดคำหยาบออกไปแล้ว กลายเป็นคนหยาบคายโดยสมบูรณ์
เคยเจอแต่สำนวนที่ว่า ‘น้ำเปลี่ยนนิสัย’ สำหรับเจ้าอรุณคงเป็น ‘เคราเปลี่ยนนิสัย’ สินะ
แต่หนวดนั่นมันช่างน่าขยะแขยงสิ้นดี!
เจ้าอรุณผลักหน้าเดวีออกห่างเต็มแรง แหวออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก่อนที่นายจะขอฉันทำอะไร ไปจัดการกับผมเผ้านายซะก่อน เครานั่นด้วย แล้วค่อยมาคุย”
สั่งเจ้ากี้เจ้าการจุกจิกตามนิสัยส่วนตัว เดวีจับปอยผมหยักศกของตัวเองที่ปรกอยู่ข้างแก้มม้วนไปมา เขาก็มีสภาพอย่างนี้มาตั้งนานแล้วตั้งแต่ออกมาจาก ‘ที่นั่น’ มันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับการใช้ชีวิตเลย ดันมามีปัญหากับสายตาของชายใส่แว่นตรงหน้าเสียอย่างนั้น
“ให้ทำอะไรล่ะ”
ถึงอย่างนั้นก็ยอมจำนน ถามเสียงแผ่วให้เจ้าอรุณสั่ง
“ไปตัดกับโกนมันทิ้งซะ”
“ทำไม่เป็น”
เดวีย่นปาก เขาทำไม่เป็นจริงๆ ตั้งแต่มีชีวิตมาก็มีคนทำให้ตลอด จู่ๆ มาถูกสั่งให้ทำอย่างนี้ เขาก็ไปต่อไม่ถูก
เจ้าอรุณพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง รำคาญเสียจนแทบทนไม่ไหว กะว่าอีกวินาทีเดียวก็จะเดินหนีออกไปจากที่นี่แล้ว สงบสติลงได้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาคุยใหม่ ทว่าสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นกรรไกรตัดกิ่งที่วางอยู่บนพื้นเสียก่อน เท่านั้นก็โพล่งออกมา
“ฉันจะทำให้”
“จริงเหรอ? นายใจดีจังอรุณ”
เดวีทำท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของนักพฤกษศาสตร์หนุ่มอาบไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
อะไรที่มันรกสายตาจะตัดให้ไม่เหลือตอเลยไอ้หนวด!
