บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 Project Overdrive – Prototype

เฟิร์สทยอยเก็บงานวิจัยของเขาตามสถานที่ต่างๆ กว่าจะรวบรวมครบก็เป็นเวลาเย็นๆแล้ว

“เพิ่งรู้ก็วันนี้แหละว่าไอ้งานวิจัยของเรามันเยอะขนาดนี้” เฟิร์สบ่นขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากตะลอนไปทั่วเมือง ทั้งกระเป๋าเป้ประจำตัวของเขาเต็มไปด้วยผลงานวิจัยที่เขาฝากให้ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านทำ แน่นอนว่าทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในกล่องนิรภัยอย่างดีเพราะหากมันรั่วไหลขึ้นมาละก็งานใหญ่เลยล่ะ

รถซีบีอาร์ค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามถนนจนกระทั่งมาถึงจุดหนึ่งที่ติดขนัดอย่างแปลกประหลาด แต่ด้วยความที่เป็นรถมอเตอร์ไซน์บวกกับฝีมือการขับรถขั้นเทพของเจ้าตัวทำให้เขามาถึงปลายทางอันเป็นสาเหตุของรถติดได้ในเวลานาน

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”

เบื่องหน้าของเขาเต็มไปด้วยตำรวจและทหารจำนวนมากกำลังยืนปิดกั้นพื้นที่โดยมีเทปสีเหลืองที่เขียนไว้ว่า (ห้ามเข้า)ล้อมรอบอาณาเขตไว้

“....”

สัญชาตญาณความอยากรู้ของมนุษย์พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด

เพื่อให้ง่ายต่อการรวมกลุ่มกับเหล่าไทยมุงทั้งหลาย เฟิร์สจอดรถไว้ข้างทางก่อนจะวิ่งทักๆไปยังบริเวณนั้น

“นี่คุณตำรวจ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“จู่ๆถนนก็เกิดการยุบตัวลงน่ะ ทีมงานกำลังสืบหาสาเหตุอยู่ว่ามันเกิดจากอะไร ยังไงก็ขอโทษด้วยนะแต่เราคงต้องใช้เส้นทางอื่นแล้วล่ะ”

เฟิร์สพยักหน้า เขาชะเง้อหน้ามองก็เห็นถนนยุบตัวลงจริงๆ มีบ่อยครี้งที่จู่ๆถนนก็ยุบตัวลงเนื่องจากท่อประปาแตกหรือไม่ก็ทรุดตัวลงเพราะอุโมงค์ใต้ดิน ออกข่าวบ่อยจะตายนี่เนอะ

“ขอบคุณมากค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ”

ไม่คุ้นกับการใช้คะค่ะเลยให้ตายสิ...

เฟิร์สปลีกตัวออกมาและกำลังจะตรงดิ่งไปที่รถของเขา หากแต่ระหว่างนั้นเองที่สัมผัสใต้เท้าเธอเกิดความรู้สึกผิดปกติขึ้น เขานิ่งไปซักพักท่ามกลางฝูงชนที่เริ่มรู้สึกตัวเช่นเดียวกับเขา ความรู้สึกนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น...

ครืนนนน

เอ่อ...ชัดเกินไปละ

เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นจากพื้นด้านล่างที่กำลังสั่นไหว เฟิร์สรีบวิ่งไปเกาะที่รถไว้เพื่อทรงตัวไม่ให้ล้ม สายตาของเขาจ้องมองไปที่หลุมกลางถนนนั่น ถึงแม้ว่าแผ่นดินจะหยุดไหวแล้วแต่สายตาของเขาก็ยังไม่ละไปจากหลุมเพราะลางสังหรณ์ของเขากำลังร้องเตือนว่าบางสิ่งที่อันตรายมากๆกำลังใกล้เข้ามา

เหล่าทหารที่เฝ้าอยู่สังเหตเห็นว่าหลุมกลางถนนนั้นยุบตัวลงไปกว่าเดิม พวกเขาส่งคนไปสำรวจถึงความผิดปกติโดยมีทหารนายหนึ่งก้มลงมองไปยังหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น

“เฮ้ย เหมือนเห็นอะไรกำลังเคลื่อนไหวด้วยล่ะ” ทหารคนนั้นพูดกับเพื่อนทหารที่อยู่ข้าง

“มันจะไปมีอะไรได้ไงเล่า ตาฝาดรึเปล่า?” เพื่อเป็นการยืนยันเพื่อนทหารของเขาก็ก้มลงมองลงไปในหลุมอีกคน

“เฮ้ย!!” ทั้งคู่อุทานพร้อมกันและทำท่าจะถอยหนีออกมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว…

ฉั้ว!!!

เสียงของมีคมฟันเนื้อดังขึ้นก่อนที่หัวของทหารทั้งสองนายจะหลุดออกจากบ่า เหลือเพียงร่างที่มีเลือดพุ่งออกมาจากปากแผลราวกับน้ำพุ

เสียงกรีดร้องดังขึ้นทั่วบริเวณ ความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไทยมุงทั้งหลายที่รวมตัวกันอยู่ต่างส่งเสียงกรีดร้องก่อนที่จะวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทหารและตำรวจบริเวณนั้นต่างชักอาวุธประจำกายออกมาเพื่อเตรียมรอรับภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา

แกร๊ก

กรงเล็บเปื้อนเลือดเกาะอยู่บริเวณขอบหลุมก่อนที่มันจะออกแรงดีดตัวเองขึ้นสู่ท้องฟ้าและดิ่งลงมาฟันกรงเล็บที่เป็นอาวุธของมันใส่ตำรวจนายหนึ่งซึ่งกำลังตกตะลึงอยู่จนตัวขาดสองท่อนอย่างง่ายดาย ก่อนที่มันจะพุ่งผ่านนายทหารอีกสี่คน ร่างของพวกเขาถูกกรงเล็บนั้นฟันจนเสียขาดครึ่งตัว เสียชีวิตคาที่

สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของสาธารณชนคืออสุรกายร่างยักษ์ที่สูงราวสองเมตรครึ่ง กรงเล็บเปื้อนเลือดของมันยาวเฟื้อยและคมราวกับดาบคาตานะญี่ปุ่นที่สามารถตัดคอคนได้ง่ายๆพอๆกับตัดเนย ดวงตาสีแดงก่ำของมันกลอกไปมาเพื่อสอดส่องหาเหยื่อรายต่อไป

“ป...เปิดฉากยิง!”

ทหารหัวหน้าหมู่ได้สติเป็นคนแรกสั่งการโจมตีทันที เหล่าทหารและตำรวจที่ได้รับคำสั่งต่างได้สติและรัวไกปืนใส่อสุรกายไม่ยั้ง แต่สิ่งที่พวกเขาเจอนั้นไม่ได้เพียงแค่ตัวใหญ่อย่างเดียว มันยังรวดเร็วพอที่จะหลบวิถีกระสุน

ระหว่างที่พวกเขามัวแต่สนใจกับอสูรกายตนนั้นก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าในหลุมนั้นได้มีอีกสี่ตัวไต่ออกมา พวกมันทะยานเข้าหาตำรวจและทหาร ทั้งกรงเล็บๆและคมเขี้ยวตัดผ่านร่างกายอันเปราะบางของมนุษย์จนไม่เหลือชิ้นดี เพื่อนพ้องรอบข้างตกตายไปเรื่อยโดยที่ไม่เห็นแววในการโค้นล้มอสุรกายที่น่ากลัวเหล่านี้ได้ ขวัญกำลังใจถดถอยจนถึงขีดสุดจนบางนายเริ่มทิ้งอาวุธและหนีเอาชีวิตรอด

เมื่อปราการมนุษย์ไม่อาจหยุดยั้งได้ การสังหารหมู่จึงเริ่มขึ้น...

ประชาชนที่ไม่พ้นสายตาของเหล่าอสูรกายถูกฆ่าและกินเรื่อยๆ เฟิร์สมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด สติสัมปชัญญะของเขาบังคับให้ร่างกายนั้นหนีออกจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด แต่น่าแปลกที่หัวใจของเขาสูดชีดเลือดจนร่างกายเดือดพล่าน สัญชาตญาณของเขากำลังร่ำร้องที่จะต่อสู้ อยากปลดปล่อยทุกสิ่งและวิ่งเข้าไปซัดกับพวกมันให้ตายกันไปข้าง!

เหล่าอสูรกายที่ล่าสังหารบุคคลบริเวณนั้นจนหมดแล้วพวกมันก็สอดส่องหาเหยื่อรายใหม่ของพวกมัน ซึ่งบริเวณนั้นเหลือเพียงเฟิร์สที่ยังสองจิตสองใจไม่ไปไหนอยู่คนเดียว ดวงตาสีแดงก่ำทั้งห้าคู่ต่างจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว

“ชะอุ้ย!”

เจ้าตัวรู้ได้ทันทีว่าตนกำลังตกเป็นเหยื่อรายต่อไปพวกมัน ในตอนนั้นเองที่สติสัมปชัญญะและสมองสั่งการตรงกันราวกับความขัดแย้งที่เคยมีนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เขาหัวเราะแห้งๆก่อนจะเอ่ยประโยคประจำตัวเมื่องานเข้า

“ง่า...ซวยแล้วสิ”

บ้านอรุณกาล เวลา18:23น.

ไมล์ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเฟิร์สกำลังตกระกำลำบากอะไรอยู่กำลังรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดและพยายามปั่นงานของเขาให้เสร็จไวๆแต่ดูเหมือนจะไม่ได้คืบหน้าอย่างที่หวังไว้เพราะกังวลเรื่องของเฟิร์สจนสมองไม่เป็นอันทำงาน สายตาของเขาเหลือบมองเวลาสลับกับประตูบ้านก่อนจะถอนหายใจเฮือก

“ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีกเหรอเนี่ย เจ้าน้อยเวรเอ้ย...”

ในตอนนั้นเองที่เสียงกริ่งดังขึ้น ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้กับเขาไม่น้อยเพราะถ้าเป็นเฟิร์สก็คงจะไม่กดกริ่งแบบนี้

“ไปรษณีย์เหรอ? ไม่ได้สั่งอะไรไว้นี่นา...”

ไมล์เดินออกไปนอกบ้านก็พบกับหญิงสาววัยทำงานคนหนึ่งและผู้ชายอีกสองคน ผู้หญิงนั้นมีผมสีบลอนด์และผิวที่คล้ำแดดเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนยุโรป ส่วนผู้ชายอีกสองคนด้านหลังนั้นมีหุ่นกำยำราวกับอาร์โนน ชวากเซเวกเกอร์ ทั้งสามคนใส่สูทสีดำราวกับหลุดมาจากหนังMIBทำเอาคิดว่ามาล่าเอเลี่ยนแถวๆนี้รึเปล่า

“มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?”

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อโซเฟีย กราเน็ต เป็นคนที่คุณมาริสา อรุณกาลส่งมาเพื่อรับเฟิร์สน่ะค่ะ”

“คนของแม่สินะ” ไมล์ได้ยินดังนั้นก็เปิดประตูบ้านให้กับแขกผู้มาเยือน “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผม เมฆินทร์ อรุณกาล เรียกผมว่าไมล์ก็ได้ เป็นลูกชายคนโตของบ้านอรุณกาลและก็เป็นพี่ชายเฟิร์สด้วย ต้องขอโทษจริงๆที่พวกคุณต้องรออีกสักพักเพราะว่าน้องขงผมมันบึ่งรถออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่กลับมาเลย”

“แล้วทราบไหมคะว่าเขาไปไหนแล้วจะกลับมาเมื่อไหร่?” เซเฟียเอ่ยถามขึ้น ซึ่งไมล์เพียงได้แค่ส่ายหน้าไม่รู้เท่านั้น

“ไม่ทราบครับ แต่ถ้าให้เดาน้องผมคงไปเก็บงานที่ค้างคาเอาไว้นิดหน่อย แต่คิดว่าอีกไม่นานเขาก็คงกลับมาแล้วล่ะครับ”

“หรือคะ?...แย่จังเลยนะ” สีหน้าของเซเฟียแสดงความกลุ้มใจเล็กน้อย

“แล้วก็...จริงหรือครับที่จะพาเฟิร์สไปที่ญี่ปุ่นน่ะ?”

คำถามนั้นทำให้เซเฟียชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า

“ค่ะ จากเรื่องที่ฉันรู้มาจากคุณมาริสาดูเหมือนว่าร่างกายของเฟิร์สจะเกิดอาการผิดปกติบางอย่างขึ้น และเพราะว่าเรายังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดเลยต้องนำเขาไปตรวจอย่างถี่ถ้วน และสถานที่นั้นก็หนีไม่พ้นที่ที่คุณมาริสาทำงานอยู่ซึ่งเป็นบริษัทยาชั้นนำของญี่ปุ่นค่ะ”

“งั้นหรือครับ...”" ไมล์ที่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไปสักพักก่อนที่จะรู้ตัวว่าเขาไม่ควรให้แขกยืนรอนาน “ถ้ายังไงเข้ามารอในบ้านก่อนไหม เดินทางมาไกลคงเหนื่อยแย่”

“รบกวนด้วยนะคะ” เซเฟียกล่าวยิ้มๆ หากแต่ก่อนที่เธอและผู้ติดตามจะได้ก้าวเข้าไปในบ้านเสียงแหลมเล็กที่เป็นการแจ้งเตือนก็ดังขึ้นมาจากกระเป๋าของเธอ วัตถุรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายๆกับสมาร์ทโฟนแต่มีความใสราวกับคริสตัลถูกหยิบขึ้น สีหน้าของเธอแสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะพูดภาษาญี่ปุ่นกับผู้ติดตามของเธอก่อนจะพูดกับเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ขอบคุณที่ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดีนะคะ แต่คงต้องเป็นโอกาสหน้าแล้ว ขอตัวนะคะ” เซเฟียก้มหัวคำนับก่อนจะรีบวิ่งไปยังรถสีดำที่พวกเธอขับมาและจากไป ทิ้งให้ไมล์มองกระพริบตาปริบๆ

“ว๊ากกกก!!! จะตามมาถึงไหนฟะ!!!” เฟิร์สบึ่งรถด้วยความเร็ว 235กม./ชั่วโมงซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดของเครื่องหนีเหล่าอสูรกายทั้งห้าที่ไล่กวดมาอย่างติดๆราวกับแมวไล่จับหนู เขาขับรถเข้าออกซอยเป็นว่าเล่นรวมถึงใช้กับดักจากสภาพแวดล้อมในการสลัดอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลยเพราะพวกพี่แกกระโดดข้ามตึกแถมผ่าสิ่งกีดขวางเป็นสองซีกแล้วไล่กวดเขาอย่างไม่ลดละ

“เหลือจะทนแล้วนะโว๊ยยย!!!” เฟิร์สตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อมองผ่านกระจกเห็นพวกมันทั้งฝูงกระโจนเข้ามาราวกับแมวตะครุบเหยื่อ

“ฉิบหายล่ะ” เฟิร์สเอียงรถทำมุมกับถนนสี่สิบห้าองศาพร้อมกับดริฟต์เพื่อทำให้ตัวเองหมอบต่ำลงที่สุด กรงเล็บของพวกมันพุ่งผ่านศีรษะของเฟิร์สไปเพียงสองเซ็นกว่าเท่าๆนั้น เขาใช้จังหวะที่พวกมันกำลังตั้งตัวหลังจากตะครุบบิดหนีไปอีกทาง

“ทำยังไงดีๆ พวกแม่งไล่ตามมาอย่างกับปมาป่าหิวโซเจอเหยื่อยังไงยังงั้นอ่ะ ถ้าเป็นแบบนี้มีหวังกลายเป็นบุฟเฟต์ซาซิมิแหงๆ”

หัวสมองอันอัจฉริยะของเขาคิดหาหนทางรอดทุกวิถีทางเท่าที่มันจะทำได้ก่อนที่จะปิ้งไอเดียขึ้นมาหนึ่งไอเดีย หากแต่มันค่อนข้างอันตรายๆและความเสี่ยงมันอยู่ระหว่างสามสิบต่อเจ็ดสิบเลย อากาศตายมากกว่าครึ่ง

เฟิร์สเอื้อมมือแตะที่กระเป๋าเป้ประจำตัวของเขา ในตอนนั้นเองที่เขาเหลือบตามองเห็นบางอย่างที่ถึงกับทำให้เขาสะดุ้งเฮือก

กระสุนอสูรกาย?!!

พวกมันตัวหนึ่งทำตัวเป็นฐาน มันใช้แขนอันทรงพลังขว้างเพื่อนๆของมันมายังตัวเฟิร์ส

สมาธิและฝีมือการขับรถที่สั่งสมมาถูกรีดเร้นออกมาให้ถึงที่สุด

ยังไงก็จะมาตายตรงนี้ไม่ได้!!

ตัวแรกที่พุ่งเข้ามา

เฟิร์สเลี้ยวขวาสุดตัวเพื่อหลบมัน

ตัวที่สองมาแบบลูกโด่ง

เฟิร์สหักเลี้ยวไปทางซ้ายเพื่อหลบและคืนสมดุลไปด้วยในตัว

ตัวที่สาม คราวนี้มาแบบลูกปืนเลยเรอะ!

เฟิร์สก้มหัวหลบอสุรกายที่ควงสว่านเฉี่ยวหัวเขาจนผมร่วงเป็นกระจุก

ตัวที่สี่...

หลบไม่ทันแล้วโว้ยยย!!

เพราะอสูรกายที่พุ่งผ่านเขาไปนั้นยืนจังก่าอยู่ทำให้ไม่สามารถพุ่งไปข้างหน้าได้บวกกับตัวข้างหลังที่กำลังจะถูกโยนมาแบบติดๆทำให้เฟิร์สต้องตัดสินใจสละรถและกระโดดออกมา แรงส่งจากมอเตอร์ไซน์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงทำให้เธอกลิ้งไปไกลกว่าสิบเมตร

ร่างกายของเฟิร์สเต็มไปด้วยแผลถลอกและรอยพกช้ำจากการกระแทก เขาค่อยๆคลานไปที่กระเป๋าเป้ของเขาซึ่งหลุดจากการกลิ้งและล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากระเป๋า มันเป็นหลอดฉีดสารอัดออกซิเจนที่เพียงแทงเข้าไปและกดปุ่มมันก็จะทำการฉีดสารภายในออกมาทันที

“ไม่มีทางเลือกแล้ว...”

สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็ดีกว่าศูนย์ละวะ!

เฟิร์สแทงสารนั้นบริเวณเส้นเลือดตรงต้นคอและกดปุ่มส่งสารเคมีในหลอดเข้าสู่ร่างกาย

ความเจ็บปวด...

สิ่งที่เดียวสมองของเขารู้สึกได้หลังจากได้รับสารนั้นเข้ามาในร่างกาย เฟิร์สกรีดร้องสุดเสียงจนกว่าลำคอของเขาจะไม่สามารถเปร่งเสียงได้ มันเจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เขารู้สึก ราวกับเลือดทั้งร่างกายเดือดพล่านและเผาร่างกายจากภายใน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมาอย่างไม่อาจหักห้ามเปลาะเปื้อนใบหน้าสวยของเธอจนไม่เหลืออะไรดี ห้าวินาทีต่อมาทั้งร่างและเสียงกรีดร้องของเขาก็หยุดลงราวกับสมองตัดขาดความรู้สึกทั้งหมดไปแล้ว

กรรร...

อสูรกายทั้งห้าเดินเยื่องย่างเข้าหาเฟิร์สราวกับมัจจุราช พวกมันเหลือบตามองกันก่อนที่จะมีตัวหนึ่งก้าวออกมาหาเขา มันง้างกรงเล็บขึ้นเหนือหัวและฟาดฟันใส่ร่างของสาวน้อยตรงหน้าหมายปลิดชีวิต

ฉั้ว!!!

เลือดสีแดงไหลออกมาจากปากแผลราวกับก๊อกแตก...

พวกอสูรกายมองเพื่อนของพวกมันที่ตอนนี้แขนข้างขวาหายไปข้างหนึ่ง มันไม่ใช่แผลที่เกิดจากของมีคม แต่เป็นแผลที่เกิดจากการฉีกกระชาก เมื่อมองไปยังที่ต้นเหตุก็พบเด็กสาวอันเป็นเป้าหมายของพวกตนอาบไปด้วยเลือด ในมือของเธอมีอมีแขนของอสูรกายอยู่

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน เหล่าอสูรกายที่เห็นดวงตาของเธอต่างสะดุ้งเฮือก

รูม่านตาของเธอหดลงจนเหมือนกับสัตว์ร้ายทอประกายแห่งการฆ่าอย่างรุนแรงจนพวกมันเริ่มมีอาการกลัว บาดแผลและรอยพกช้ำที่มีอยู่ทั่วตัวบัดนี้หายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน เฟิร์สบิดข้อต่อของตัวเองดังกร๊อบแกร๊บก่อนที่สายตาอของเธอจะกวาดมองเหล่าอสูรกายที่เคยตามล่าเธอเรียงตัว

“เคยทำอะไรกับฉันไว้บ้างนะ?”

แม่จะเอาคืนกว่าพันล้านเท่า!

เฟิร์สหยั่งเท้ากับพื้นจนไปสะกิดหลอดฉีดสารเคมีกลิ้งเผยให้เห็นตัวอักษรเขียนไว้

‘Project Overdrive – Prototype (โครงการโอเวอร์ไดรฟ์–ตัวต้นแบบ)’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel