CHAPTER TWO : MY USELESS WISH PART III
CHAPTER TWO : MY USELESS WISH PART III
A BAD MOMENT FOR TODAY IS WITHOUT YOU.
หลังจากวันนั้นที่เฟลิเชียเห็นผีเสื้อสีขาวรอบ ๆ ตัวของเอแคลร์ เธอก็ยังคงคิดไม่ตกว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่
ทำไมเอแคลร์ถึงจะต้องตาย
อุบัติเหตุงั้นเหรอ ?
ไม่ว่ายังคิดอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แต่ถึงแบบนั้นพลังของเธอก็ยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
ใช่ พลังที่รับรู้ถึงความตายของคนอื่น
พลังที่ทำให้เธอโดนคนรอบข้างหวาดกลัว
เฟลิเชียนึกขบขันไม่น้อยเมื่อทุกคนต่างเข้าใจไปว่าเธอสามารถพูดสั่งให้คนอื่นตายได้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วถ้าหากมีพลังแบบนั้นจริงป่านนี้เธอคงฆ่าคนที่กระจายข่าวลือผิด ๆ นั่นแหละ
เฟลิเชียไม่ชอบพลังนี้ เธอยอมรับ แต่เธอก็ปล่อยให้เอแคลร์ตายไปทั้ง ๆ ที่รู้ไม่ได้เช่นกัน ทำให้สมองเล็ก ๆ ของเด็กสาวทำงานอย่างหนักจนมันเกือบจะระเบิดออกมา
"เอแคลร์"
"ค่ะ องค์หญิง"
"ช่วงนี้อย่าออกจากวังดีกว่านะคะ"
"เอะ . . . แต่ว่าดิฉันต้องไปสเตลลากับองค์หญิง . . ."
"ไม่เป็นอะไรค่ะ"
"ไม่ทราบว่าดิฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ถ้าเช่นกันได้โปรดบอกมาเถอะค่ะ ดิฉันพร้อมรับผิดทุกอย่าง"
"เปล่าหรอกค่ะ ดิฉันแค่อยากไปคนเดียวก็เท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" เฟลิเชียจับมือของเอแคลร์เบา ๆ เพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง
ถ้าหากจะมีที่ไหนที่ปลอดภัยที่สุดก็คงเป็นที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย เฟลิเชียจึงตัดสินใจเพิ่มความเข้มงวดของยามและอื่น ๆ ก่อนที่จะถึงวันนัดของเธอกับลิฮอน เพื่อป้องกันความผิดพลาด
ที่ที่ลิฮอนนัดเฟลิเชียไปก็คืออนุสาวรีย์แห่งเสรีภาพ หรือ สเตลลา เป็นสถานที่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างทุกอาณาจักร ว่ากันว่าเป็นจุดที่สงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้ถูกยุติลง ด้วยฝีมือของครอบครัวเธอและผู้หญิงอีกคนที่ชื่อว่าสเตลลา จึงเป็นที่มาของชื่อสถานที่นี้
ถึงแม้สเตลลาจะไม่ได้เป็นสถานที่ที่อาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งครอบครอง แต่มันก็ยังคงสวยงามและประดับไปด้วยหินอ่อน ดอกไม้นานาพันธุ์อยู่ดี ราวกับว่าพลังของคนที่ชื่อสเตลลายังคงวนเวียนอยู่ไม่หายไปไหน ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมสำหรับไว้เดินเล่นเลยก็ว่าได้ ทำให้เฟลิเชียไม่ค่อยประหลาดใจที่อีกฝ่ายเลือกสถานที่นี้เท่าไหร่นัก
"องค์หญิง จะไปแล้วเหรอคะ"
"ค่ะ ถ้าไม่เดินทางวันนี้จะไม่ทันเอาน่ะ"
"เดินทางปลอดภัยนะคะ"
"เอแคลร์ก็รักษาตัวด้วย อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าเป็นอะไร แล้วรอดิฉันกลับมานะคะ"
ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นคำขอร้อง
เฟลิเชียไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผีเสื้อเหล่านั้นจะพรากเอแคลร์ไป และเธอก็ทำสิ่งที่ทำได้หมดไปแล้ว เหลือแค่เพียงให้อีกฝ่ายดูแลตัวเองดี ๆ ในวันที่เธอไม่สามารถอยู่ด้วยได้เช่นวันนี้
เอแคลร์พยักหน้ารับหลังจากได้ยินคำพูดของเฟลิเชีย ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรก็ตาม แล้วก็มองรถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวจากออกไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่น้อย
"นี่ เมื่อกี้องค์หญิงบอกเจ้าว่าอย่าเป็นอะไรใช่มั้ย"
"ใช่ ทำไม มีอะไรหรือเปล่า" เอแคลร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเพื่อนร่วมงานคนตรงหน้านั้นชอบพูดจาไม่ดีใส่องค์หญิงของเธออยู่บ่อยครั้ง
"เจ้าถึงฆาตแน่"
"อะไรนะ ?"
"เจ้าก็น่าจะรู้นี่ว่าถ้าองค์หญิงพูดอะไรที่เกี่ยวกับชีวิตขึ้นมาล่ะก็ . . ."
จะต้องมีอะไรสักอย่างดับสูญไป
"อย่ามาล้อเล่นหน่อยเลย ! เรื่องไร้สาระแบบนั้นน่ะจะไปมีจริงได้ยังไง"
"เจ้าไม่เชื่อก็แล้วแต่นะ แต่ข้าเตือนเจ้าแล้ว ออกห่างจากองค์หญิงเสียดีกว่า ใครก็ตามที่อยู่ใกล้นางน่ะต่างก็มีอันเป็นไปทั้งนั้น"
"ถ้าเจ้ายังไม่หยุดเหลวไหลข้าจะไปทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท"
"ก็ได้ ข้ายอมแพ้ ทำหน้าตาน่ากลัวเชียวนะ เฮอะ แล้วเจ้าจะเสียใจ"
ไม่ใช่ว่าเอแคลร์จะไม่เคยได้ยินข่าวลือของเฟลิเชีย แต่ไม่ว่าจะอันไหนก็เป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น บ้างก็บอกว่าเฟลิเชียสามารถฆ่าคนได้เพียงแค่พูดบ้างล่ะ บ้างก็บอกว่าเฟลิเชียเป็นตัวโชคร้ายบ้างล่ะ บ้างก็บอกว่าเฟลิเชียเป็นเด็กที่ถูกสาปบ้างล่ะ ทุกคนต่างพูดออกไปมั่วซั่วทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักองค์หญิงของเธอจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ว่าถ้าหากบอกว่าใครจะตายแล้วคนนั้นจะตายจริง ๆ นั่นน่ะ
ไม่มีทางเป็นจริงอยู่แล้ว
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ! !"
กึก !
"โอ๊ย !" เฟลิเชียที่กำลังนั่งรถม้าไปยังสเตลลานั้นจู่ ๆ รถก็เหมือนจะสะดุดอย่างแรง ทำให้เธอถลาไปข้างหน้าและหัวกระแทกเล็กน้อย
"ขออภัยด้วยครับ ปลอดภัยมั้ยครับ องค์หญิง !"
"ดิฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ รีบเดินทางต่อเถอะค่ะ"
"ครับ ! ขออภัยจริง ๆ ครับ !"
เฟลิเชียรู้สึกหวั่นใจไม่น้อยที่ไม่สามารถตัวติดอยู่กับเอแคลร์ได้ในวันนี้ ถึงจะตรวจสอบทุกอย่างภายในวังจนไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรได้เลย แต่เธอก็ไม่วางใจอยู่ดี เพราะว่าผีเสื้อเหล่านั้นยังไม่หายไปไหน
"รู้งี้กำชับว่าอย่าออกจากวังอีกรอบดีกว่า . . ."
ขอให้อย่าเกิดอะไรขึ้นเลย
ณ สเตลลา
ตอนนี้เป็นเวลาสายนิด ๆ ทำให้อากาศยังมีเค้าความเย็นอยู่บ้าง แต่สำหรับเฟลิเชียนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยเพราะร่างกายของเธอนั้นเรียกว่าปรับเข้าได้ดีกับอากาศหนาว ๆ เสียด้วยซ้ำ
เฟลิเชียเลือกนั่งในที่ที่ลิฮอนน่าจะหาเธอได้ง่ายที่สุดก็คือเก้าอี้ข้าง ๆ อนุสาวรีย์สเตลลาซึ่งเป็นรูปดาบขนาดใหญ่ปักอยู่ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็รู้สึกย้อนแย้งไม่น้อย เพราะเธอใส่ชุดคลุมสีเข้มมาหวังจะปิดปังดวงตาสองสีและผมสีแพลตทินัมเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา แล้วแบบนี้อีกฝ่ายจะหาเธอเจอจริง ๆ ใช่ไหมต่อให้นั่งตรงนี้
หัวใจของเฟลิเชียเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น
ถ้าหากเจอควรจะพูดทักทายว่าอย่างไรดี
คำว่าอรุณสวัสดิ์ ถ้าหากพูดออกไปจะดูธรรมดาไปมั้ย
รูปลักษณ์ของเธอในวันนี้ดูแย่เกินไปหรือเปล่า
อีกฝ่ายจะมาถึงเมื่อไหร่
เขาจะเปลี่ยนไปขนาดไหน
เวลาไม่ปีกว่าที่ไม่ได้เจอกัน
ลิฮอนจะรู้สึกเหมือนเธอมั้ย
"ให้ตายสิ . . ."
เฟลิเชียถอนหายใจออกมาให้กับตัวเอง
ทำใจให้สงบไม่ได้เลย . . .
ในระหว่างที่กำลังคิดแบบนั้นเฟลิเชียก็หันไปสังเกตดาบที่ปักอยู่ข้าง ๆ พอดี ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เธอได้เห็นด้วยตาทั้งสองไม่ใช่ผ่านตำราเรียน
ทั้ง ๆ ที่ ดาบเล่มนี้อายุมากกว่าหลายร้อยปีแต่ยังคงไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด ๆ แถมยังมีพลังเวทย์ไหลเวียนอยู่รอบ ๆ อีก น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ยามเมื่อคนมาเยี่ยมชมรู้สึกสงบเหมือนกับเฟลิเชียในตอนนี้
ราวกับว่ามันกำลังปลอบประโลมให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ถ้าหากได้เจอกันจะต้องพูดออกไปให้ได้
คำว่าขอให้คุณมีแต่รอยยิ้ม
คำอวยพรหนึ่งเดียวที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะยังคงเป็นเช่นนั้น
ก็คือขอให้คุณมีความสุข
เหมือนกับที่คุณเป็นความสุขให้กันตลอดมา
แต่ถึงเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ นานไหนก็ตาม จากตะวันที่แสดแสงส่องสว่างตอนนี้เริ่มจะลับฟ้า ลิฮอนก็ยังไม่มา
สองมือเล็กประสานกันไว้แน่นเพื่อกอบกุมความหวังอันริบหรี่เอาไว้
ถึงจะบอกว่าไม่สนใจก็ตาม แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่ใช่แบบนั้น
เฟลิเชียไม่รู้ว่าลิฮอนตั้งหน้าตั้งรอกับการพบเจอในครั้งนี้ขนาดไหน
แต่สำหรับเธอแล้ว ความรู้สึกนั้นมากมายจนบรรยายไม่ถูก
"จะต้องมาให้ได้นะ . . ."
ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ต้องมาให้ได้
เหมือนกับที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเธอก็จะรอ
นี่เป็นเรื่องที่เฟลิเชียตัดสินใจไว้แล้ว
ท้องฟ้าที่เคยมองเห็นอยู่ตรงหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างช้า ๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นสีดำสนิท ข้างบนนั้นไม่มีแม้แต่ดวงสักดวง มีเพียงพระจันทร์สีนวลที่ยังคงสว่างอยู่เพียงลำพัง
เหมือนกับเธอในตอนนี้
ดวงตาสองสีมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เริ่มบีบตัวแน่นชวนให้รู้สึกอึดอัด ความเย็นรอบ ๆ ตัวที่ค่อย ๆ ถาโถมเข้ามาอีกครั้งแต่เทียบอะไรไม่ได้กับความรู้สึกของเธอในตอนนี้เลย
การที่ลิฮอนเขียนมาว่า ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ เป็นไปได้ 2 กรณี คือหนึ่งเขาหมายความตามนั้น และสองคือเขามั่นใจว่าเธอจะ รอ เขาเหมือนกัน
ช่างเป็นอะไรที่น่าขันจริง ๆ
เฟลิเชียรอลิฮอนไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน รู้เพียงว่าต่อให้แสงของตะวันของวันใหม่เริ่มขึ้น ก็ยังคงไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ในหัวของเธอมีแต่คำถามเต็มไปหมด
ทำไม และ ทำไม
วนซ้ำอยู่เช่นนั้น
ในระหว่างที่กำลังนั่งรถกลับหลังจากรอลิฮอนมาร่วม 1 วันเศษ จู่ ๆ จมูกของเฟลิเชียก็ได้กลิ่นบางอย่างที่ฉุนกึกจนต้องเผลอนิ่วหน้า แต่ถึงแบบนั้นมันกลับคุ้นเคยอย่างหน้าประหลาด
เป็นกลิ่นที่เฟลิเชียไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร
หลังจากเฟลิเชียบอกให้รถม้าหยุด เธอก็เหลือบไปเห็นป่ารกทึบที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ทำให้เธอไม่ลังเลที่เดินไปที่นั่นตามกลิ่นที่ลอยมา และยิ่งเฟลิเชียเดินไปเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่นใจว่ามันคือกลิ่นเลือด
มีพวกโจรป่างั้นเหรอ . . . ?
แกร่ก !
พรึ่บ !
ทันทีที่เฟลิเชียเหยียบลงที่กิ่งแห้งโดยไม่ระวัง ธนูมากมายก็พุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว โชคดีที่องครักษ์ที่ติดตามเธอมามีฝีมือพอสมควร จึงทำให้เธอไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด ๆ
ดวงตาของเฟลิเชียกวาดไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นล่องลอยอะไร ราวกับว่าอีกฝั่งก็กำลังรอดูท่าทีของพวกเธออยู่เช่นกัน และเพราะเธอมั่นในใจความสามารถขององครักษ์ตัวเองพอสมควร ทำให้เธอยังคงจดจ่ออยู่กับการหาต้นตอของกลิ่นเลือดที่ได้กลิ่นมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง
จริงอยู่ที่ในป่านี้มีกลิ่นเลือดคละคลุ้งเต็มไปหมด แต่กลับมีกลิ่นหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาราวกับเพิ่งจะรับบาดเจ็บ และมันช่างคุ้นมากเหลือเกิน
เฟลิเชียเดินหน้าต่อไป อย่างไม่เกรงกลัว และเธอก็เห็นผีเสื้อสีขาวบริสุทธิ์นั่นอีกครั้ง มันบินอย่างอ้อยอิ่งมาหยุดตรงหน้าเธอ จากนั้นก็บินจากนำไปราวกับกำลังจะนำทาง นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวั่นใจมากขึ้นไปอีก
ผีเสื้อสีขาวที่เฟลิเชียเห็นแต่เพียงผู้เดียวนั้น พาเธอเข้ามาในป่าที่ลึกกว่าเดิม และฉายให้เห็นภาพของเลือดสีแดงสดที่ยาวเป็นแนวของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนนิ่งไร้สติอยู่ไม่ไกล
เท้าของเฟลิเชียหนักอึ้งแทบจะในทันที
หญิงสาวคนนั้นหลับสนิท ไม่มีเสียงลมหายใจอีกแล้ว
เลือดที่มากมายพวกนี้เป็นหลักฐานถึงความโหดร้ายที่เธอได้รับก่อนหมดลม
แล้วทำไมเฟลิเชียถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้น่ะเหรอ
ราวกับโลกทั้งใบได้พังทลายลงมา
ภาพความทรงจำของสาวรับใช้แล่นเข้ามาให้สมองเป็นสาย
คนเดียวที่ยอมเปิดใจให้เธอ
คนเดียวที่คอยเป็นกำลังใจให้เธอ
คนเดียวที่สอนเรื่องต่าง ๆ ให้ตั้งมากมาย
"เอแคลร์ ! ! !"
เด็กสาวกรีดร้องออกมาดังลั่น
น้ำตาของเธอไหลลงมาอาบแก้ม
ดวงตาสองสีสะท้อนแสงฉายแววพิโรธ
หลังจากนั้นรอบ ๆ ก็ถูกแช่แข็ง
จากป่าที่เคยเต็มไปด้วยความชื้นตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความเย็นยะเยือก
โจรป่าที่โหดเหี้ยมและดุร้าย ตอนนี้กลับโดนช่วงชิงชีวิตไปอย่างง่ายดาย
"อะ อะ อ้า ! !"
เด็กสาวกรีดร้องอีกครั้ง
สองแขนโผดึงแรงไร้สติของหญิงรับใช้เข้ามากอดเอาไว้แน่น
"ทำไม ! ทำไม !"
เด็กสาวตวาดถามอีกครั้ง
ทั้ง ๆ ที่รู้ก่อนแล้วแต่กลับทำอะไรไม่ได้
ทั้ง ๆ ที่ควรจะอยู่กับอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้ทำแบบนั้น
แล้วเธอทำอะไรอยู่
มัวแต่ตื่นเต้นและคาดหวังไปกับอะไรก็ไม่รู้เหมือนกับคนโง่
ถ้าหาก
ถ้าหากเธอไม่มาตามที่ลิฮอนนัด
บางทีแล้วเอแคลร์คงไม่ตาย
ถ้าหากเธอไม่รอลิฮอนเป็นวัน ๆ
บางทีแล้วอนาคตอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
จากความเสียใจค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธา
หัวใจของเด็กสาวที่สูญเสียคนสำคัญไปอีกครั้ง
มันเจ็บปวดขนาดไหนนั้น ไม่มีใครรู้ได้เลย
