CHAPTER FOUR : MY LOVE PART I
CHAPTER FOUR : MY LOVE PART I
LOVE IS A GAME THAT TWO CAN PLAY AND BOTH WIN
THAT 'S IT.
เฟลิเชียมองหลักสูตรบนกระดานที่อาจารย์สอนด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย เนื้อหาเหล่านี้เป็นเนื้อหาที่เธออ่านจบและเข้าใจมันทั้งหมดเมื่อนานมาแล้ว
อะไรคือการที่ท่านพ่อส่งเธอมาอยู่ในสถานที่แบบนี้กันนะ
หรือท่านคิดว่าเธอยังรักและเทิดทูนลิฮอนอยู่กันแน่
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ มันก็น่ารำคาญสิ้นดี
หลักสูตรจำเจ ผู้คนที่พอว่างก็จับกลุ่มนินทา
สถานบันอันดับหนึ่งงั้นเหรอ
"เฮอะ . . ."
และอาจจะด้วยเพราะท่าทางที่สื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะคุยกับใครทั้งนั้นของเฟลิเชียทำให้ตลอดทั้งวันไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาทักเธอเลยแม้ว่าตัวเธอจะเป็นประเด็นหลักในวันนี้ฐานะคู่หมั้นของลิฮอนก็ตาม
พอถึงเวลาบ่ายสองก็ถึงเวลาเลิกเรียนเพราะสถาบันนี้วันหนึ่งวันสอนแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้นส่วนเวลาที่เหลือเป็นช่วงวิชาอิสระที่ปล่อยให้นักเรียนทำได้ตามใจ เฟลิเชียที่ไม่มีอะไรอยากทำเป็นพิเศษจึงว่าจะกลับไปหอของตัวเองเพื่อพักผ่อนฆ่าเวลา แต่ก็มีเสียงของใครบางคนเรียกขัดความคิดนั้นเอาไว้ก่อน
“เฟลิเชีย”
“มีอะไรงั้นเหรอคะ” เฟลิเชียมองลิฮอนที่เข้ามาทักและข้าง ๆ เขามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เธอมีผมสีน้ำตาลแดงอ่อนยาวถักเปียน่ารัก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มถูกบดบังบางส่วนด้วยแว่นกลม ผิวสีคล้ำเล็กน้อยตามประสาเผ่ามนุษย์ที่โดนแดด เธอใส่ชุดเสื้อเปิดไหล่สีขาวกระโปรงสีชมพูอ่อนลายสก็อตยาว ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางแต่ก็ยังคงความดูดีเอาไว้อยู่
อาจจะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรก็แล้วแต่ เฟลิเชียกลับรู้ว่าผู้หญิงน่ารักคนนี้คือใครโดยที่ไม่ต้องรอให้ลิฮอนอธิบาย
“จะแนะนำให้รู้จักนะ เธอชื่ออลิส ฟัวน์มาน”
“สะ สวัสดีค่ะองค์หญิง . . . ดิฉันชื่ออลิสเพคะ”
“. . .”
เฟลิเชียไม่ได้ตอบอะไรออกไป เธอทำเพียงมองอลิสนิ่ง ๆ เท่านั้น สายตาค่อย ๆ หันไปหาลิฮอนที่อธิบายผู้หญิงตรงหน้าไม่หมดทุกอย่าง ทำให้สุดท้ายเธอจึงเอ่ยถามออกไปแทน
“นี่เหรอคะ คนรักของนาย”
“ใช่แล้วล่ะ” ลิฮอนลูบหัวของอลิสแล้วโยกไปโยกมาด้วยสีหน้าแต้มยิ้มแบบที่เคยมอบให้เฟลิเชียมาในครั้งแรกที่ทั้งคู่เจอกัน
ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกินนะ
“ละ ละ ลิฮอน ! ต่อหน้าองค์หญิงนะ !” อลิสสะดุ้งตกใจกับสัมผัสที่ไม่คิดว่าจะได้รับ ใบหน้าของเธอแดงฉ่าและพยายามจะหลบมือของลิฮอนแต่ก็ไม่พ้นอยู่ดี
“ฮึ . . .” ลิฮอนยอมเลิกแกล้งคนรักของตนแล้วหันกลับมาสบตาเฟลิเชียที่ตอนนี้ยืนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรถึงแม้จะเห็นภาพแบบนี้ก็ตาม
ภาพของคู่หมั้นที่กำลังหยอกล้ออยู่กับผู้หญิงอีกคน
ถ้าหากเป็นปกติก็ควรจะแสดงท่าทางไม่พอใจออกมาบ้าง
ใบหน้าของเฟลิเชียเรียบราบเสียจนลิฮอนคาดเดาอะไรไม่ถูก
“ผมไม่คิดจะเลิกกับอลิสเด็ดขาด”
“. . .”
“เธอคงเข้าใจใช่มั้ย” ลิฮอนถามสั้น ๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งกระด้างจนเฟลิเชียรู้สึกได้ เธอไม่รู้จะหาสรรหาคำพูดใด ๆ มาอธิบายความรู้สึกตอนนี้ดี
เฟลิเชียควรจะตอบอะไรออกไปดี
กับคู่หมั้นที่พูดว่าจะไม่ยอมเลิกกับแฟน
กับสถานการณ์บ้า ๆ นี่
อย่างที่คิดเลย
ท่านพ่อให้เธอมาทำอะไรที่นี่กันนะ
“. . .”
สิ่งที่เฟลิเชียกำลังคิดอยู่มีมากเสียจนยากจะบรรยาย ขณะสายตาจับจ้องไปที่ลิฮอนและอลิส
ภาพของเอแคลร์ที่ร่างกายไร้สติอาบไปด้วยเลือดก็พุ่งเข้ามาอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการ สองมือของเฟลิเชียกำแน่นจนเลือดสีแดงไหลออกมา หัวใจของเธอเต้นรัวถี่ ทิวทัศน์ตรงหน้าดูเหมือนจะเบลอไปหมดจนน่าหงุดหงิด
ทั้งสองคนคบกันมานานขนาดไหน นานมากกว่าที่เธอรู้จักลิฮอนมั้ยหรือว่าเพิ่งมารู้จัก แล้วระยะที่ว่านั่นมันเท่าไหร่กันนะ ข้อมูลที่เฟลิเชียมีมันน้อยเกินกว่าที่เธอจะตัดสินใจอะไร ๆ ได้
ถ้าหากสองคนนี้รวมหัวกันหลอกเธอมาโดยตลอดเลยล่ะ
ถ้าหากเป็นแบบนั้น . . .
ตึกตัก ตึกตัก
“ท่านพ่อให้ผมพาเฟลิเชียเดินดูรอบ ๆ ก่อนน่ะ อลิสรอผมหน่อยนะ”
เฟลิเชียได้สติหลังจากได้ยินคำนั้น เธอก็รีบใช้พลังของตัวเองรักษาบาดแผลเหวอะหวะที่มือทันที พลางคิดอย่างโล่งอกที่ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางผิดสังเกตใด ๆ ของเธอ
“ได้สิ จะรอนะ”
พวกเขาส่งยิ้มให้กันจากนั้นลิฮอนก็หันกลับมาผายมือในเฟลิเชียเดินไปก่อนเหมือนเดิม ดวงตาของเขาว่างเปล่าแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่เต็มใจจะพาเธอเดินรอบสถาบันเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นอะไรค่ะ ดิฉันเดินดูคนเดียวได้”
ลิฮอนส่ายหน้าแล้วส่งสายตาทำนองว่าให้รีบทำให้จบ ๆ ไป ทำให้เฟลิเชียเม้มปากแน่น และไม่คิดจะเอ่ยแย้งอะไรต่อจากนั้นก็เดินนำหน้าไปโดยมีเขามายืนเคียงข้างในตอนหลัง
ระหว่างที่เดินไปดูสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียนก็มีเสียงรอบข้างพูดถึงการเดินด้วยกันของทั้งคู่เป็นอย่างมาก หลายต่อหลายคนต่างอิจฉาคู่ที่แสนเหมาะสมกันนี้ แต่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้แต่ละคนต่างอยากให้การเดินชมนี้จบลงแค่ไหน
ลิฮอนไม่พอใจที่มีคนมาดูถูกแฟนของตัวเองลับหลังแบบนี้ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็มีศักดิ์เป็นแฟนของรัชทายาทนะ และเขาก็รู้ดีว่าการที่ตัวเองมาเดินกับเฟลิเชียจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน แต่ถึงแบบนั้นคำสั่งของบิดาเขาก็ไม่อาจขัด
เพราะพ่อของลิฮอนบอกมาเสมอว่าเฟลิเชียเป็นลูกสาวของกษัตริย์แวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่ อำนาจของเธอล้นเกิน 2 มือ การมีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก ทำให้เขาต้องคอยเอาใจเธอและไม่สร้างความลำบากใจให้โดยเด็ดขาด
“. . .”
ลิฮอนเดินพาแนะนำสถานที่ในสถาบันไปเรื่อย ๆ โดยที่เฟลิเชียก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น การสนทนาจึงไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
ทั้งคู่ราวกับกำลังจมอยู่กับความรู้สึกและความคิดของตัวเอง ซึ่งสำหรับลิฮอนแล้วนั่นก็ถือเป็นเรื่องดีที่เฟลิเชียไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา เพราะไม่งั้นบรรยากาศคงจะอึดอัดมากกว่าเดิม
“ที่นี่คือสนามฝึกซ้อม” ลิฮอนพาเดินมาที่มาสนามฝึกซ้อมหลักที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ในตอนแรกเขาคิดว่าแนะนำแค่นั้นเหมือนทุกทีก็เพียงและเตรียมจะเดินพาไปที่อื่นต่อให้มันจบ ๆ ไป แต่เฟลิเชียกลับไม่ได้เดินตามมาและจับจ้องไปที่สนาม
“ทุกคนขยันกันจังนะคะ ทั้ง ๆ ที่ร้อนขนาดนี้แท้ ๆ” เฟลิเชียพูดขึ้นเมื่อมองไปยังสนามที่มีจำนวนคนมากมายกำลังตั้งหน้าตั้งตาซ้อมในแบบของตัวเองอยู่ท่ามกลางแสงแดดของดวงอาทิตย์
“อาจจะเพราะก็เดี๋ยวจะถึงงานประลองแล้วนี่นะ”
“งานประลอง ?”
“ใช่ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังตามมาสิ”
“ค่ะ”
“งานประลองน่ะ . . . จะแบ่งตามช่วงอายุซึ่งช่วงของพวกเราคือ 13-15 ปี โดยแข่งกันเป็นคู่เพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ไปเรื่อย ๆ จนถึงรอบสุดท้าย ถ้าถามว่าแข่งเพื่ออะไรก็เพื่อเอาหน้าล่ะนะ” ลิฮอนตัดสินใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติดรำคาญเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากอธิบาย แต่เป็นเพราะสายตาของคนจำนวนที่เริ่มจับจ้องมาเนื่องจากพวกเขายืนอยู่ที่เดิมนานเกินไปต่างหาก
ลิฮอนพาเฟลิเชียเดินออกมาห่างจากสนามซ้อมเรื่อย ๆ ใบหน้าของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดแบบที่หาได้ยาก
เพราะปกติแล้วลิฮอนจะเป็นคนที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าเสมอ แต่เพราะวันนี้ทำให้เธอเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
สีหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้นี่เอง
“ยิ่งถ้าหากเป็นสามัญชนฐานะก็จะขยับเพิ่มขึ้นด้วยสินะคะ”
แต่เฟลิเชียก็เมินและทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมกับเอ่ยความคิดของตัวเองออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“ถูกต้อง หลังจากประลองเสร็จจะมีการจัดอันดับประกาศไปทั่วเลยล่ะนะ”
“ลิฮอนอยู่อันดับที่เท่าไหร่งั้นเหรอคะเมื่อปีที่แล้ว”
“อันดับที่ 1 น่ะ แต่ถ้าขึ้นปีหน้าจะต้องเจอกับตัวเต็งของช่วงอายุ 16-18 ปีตั้งหลายคน ลำบากแน่”
“งั้นหรือคะ . . . แต่ก็สุดยอดเลยนะคะ สมกับเป็นลิฮอนเลยค่ะ”
ลิฮอนชะงักกับคำชมของเฟลิเชียเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นคำชมแบบปกติทั่ว ๆ ไปไม่มีอะไรพิเศษแต่บางอย่างมันแปลกออกไป
“เมื่อกี้เธอบอกว่า สมกับเป็นผม ?”
“ใช่ค่ะ” เฟลิเชียพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปกุมมือของลิฮอนจากนั้นก็ยกมันขึ้นเล็กน้อยเพื่อแสดงหลักฐานยืนยันคำพูดของตน “แค่ดูก็รู้แล้วล่ะค่ะว่าลิฮอนพยายามมาโดยตลอด ดังนั้นก็สมกับเป็นลิฮอนยังไงล่ะคะ”
เฟลิเชียพูดพร้อมรอยยิ้มหวาน
จะว่าไปแล้ว . . . ตั้งแต่เมื่อก่อน ตั้งแต่ที่แลกเปลี่ยนจดหมายกัน ลิฮอนก็มักจะเขียนถึงเรื่องดาบบ่อย ๆ นี่นะ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชอบดาบมากกว่าใคร ๆ
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นอะไร แต่ก็ไม่ยอมแพ้และฝึกฝนเรื่อยมา
เธอชื่นชมเขามาตลอด
แต่ก็แค่เคยเท่านั้น
ลิฮอนได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้น ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเฟลิเชียเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ
แต่ว่า . . .
ตั้งแต่เล็กจนโตผู้คนต่างคาดหวังในตัวของลิฮอนมาโดยตลอด และนิยามพลังของเขาที่มีธาตุผสมว่า ‘อัจฉริยะ’ กับ ‘พรสวรรค์’ ทำให้เขาไม่สามารถทำผิดพลาดได้ แต่เพราะตอบรับความคาดหวังเรื่อยมาจึงไม่มีใครมองเห็น ‘ความพยายาม’ ของเขาเลยสักคนเดียว
เธอเป็นคนแรก
ที่พูดกับเขาเช่นนี้
“ลิฮอน เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?”
ทั้ง ๆ ที่เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง
แต่คนตรงหน้ากลับมองออกอย่างรวดเร็วว่าจริง ๆ แล้วภายในหัวใจของเขาต้องการอะไร
มันอาจจะเป็นเพียงความบังเอิญก็ได้
ใครจะไปรู้
“เปล่า . . . ผมแค่ตกใจน่ะ” ลิฮอนส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อได้สติ เฟลิเชียค่อย ๆ ปล่อยมือที่กุมเอาไว้แล้วพยักหน้ารับเข้าใจ บรรยากาศชวนน่าอึดอัดวนกลับมาอีกครั้งเนื่องจากไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรขึ้นมาอีก
ลิฮอนพาเฟลิเชียมายังสนามซ้อมดาบด้านในที่มีคนน้อยมากเมื่อเทียบกับสนามซ้อมหลัก แต่ความตั้งใจของคนที่นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
เฟลิเชียจับจ้องไปที่เหล่าผู้คนที่กำลังกวัดแกว่งดาบไปมาอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางหงาดเหงื่อมากด้วยความรู้สึกนับถือ
ตัวของลิฮอนเอง เมื่อก่อนก็คงเป็นเช่นนั้น
ตึกตัก ตึกตัก
พรึ่บ !
“ดาบงั้นเหรอคะ” เฟลิเชียพึมพำออกมาเบา ๆ เพราะว่าจู่ ๆ ลิฮอนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับหยิบดาบสั้นที่เหน็บซ่อนไว้ที่เอวออกมาจ่อเข้าที่คอของเรียวบาง
เฟลิเชียค่อย ๆ หันมาสบตาลิฮอนช้า ๆ ดวงตาคู่สวยนั้นไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ ปะปนอยู่แม้แต่น้อย มีความสงสัยฉายออกมาอย่างชัดเจน
“จะแทงเหรอคะ”
สายตาของทั้งสองประสานกันอย่างไม่มีใครยอมลดละ ภายในนั้นต่างมีความคิดมากมายจนต่างคนต่างไม่สามารถเข้าใจกันและกันได้
ราวกับกำลังปิดบังอะไรอยู่
“ไม่รู้สิ”
“ลิฮอนไม่ทำหรอกค่ะ” เฟลิเชียพูดออกมาด้วยความมั่นใจ ทำให้ลิฮอนเก็บมีดของตัวเองลงและยกมือขึ้นยอมแพ้เพราะมันเป็นไปตามที่อีกฝ่ายว่าเขาไม่คิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ
“เธอพูดถูกแล้วล่ะ ขอโทษที”
ลิฮอนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงแบบนั้น มันเป็นชั่วเวลาสั้น ๆ จริง ๆ ที่เขาสัมผัสได้ถึงออร่าบางอย่างจากคนด้านข้างทำให้เผลอกระทำอะไรออกไปโดยพลการ
ออร่าของผู้ล่าที่หวังจะเอาชีวิต
เพียงแค่นึกถึงก็ทำเอาขนของเขาลุกซู่ไปหมด
และที่ลิฮอนสงสัยยิ่งกว่าก็คือเพราะอะไรที่ทำให้เฟลิเชียมั่นใจขนาดนี้ ถ้าหากเป็นปกติแล้วเมื่อโดนของมีคมอย่างมีดจ่ออยู่ในระยะประชิดไม่ว่าใครก็ต้องกลัวหรือหวั่นใจ ต่อให้จะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตามก็ต้องมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่บ้าง
แต่เฟลิเชียไม่ใช่เลย
ดวงตาสองสีที่มองมานั้นช่างชวนให้รู้สึกปวดหัว
มันเป็นความมั่นใจว่าเขาจะไม่แทง
หรือเป็นความไม่หวาดกลัวในความตายกันแน่
“ลิฮอนชอบดาบเหรอคะ”
“ใช่ ก็เรียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วล่ะนะ” ลิฮอนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ พอทั้งคู่เดินมาถึงสนามซ้อมดาบเขาก็เริ่มอยากจะเข้าไปร่วมฝึกด้วย แต่ติดที่ว่ายังพาเฟลิเชียไปเดินไม่ทั่วจึงต้องหยุดความคิดนั้นไป
“ไปซ้อมกันมั้ยคะ”
“เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะ”
“ดิฉันอยากจะเห็นลิฮอนซ้อมค่ะ”
ลิฮอนอาจจะคิดว่าเฟลิเลียพูดไปงั้น ๆ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย
เฟลิเชียรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ดี
รู้แม้กระทั่งว่าเธออยากจะทำอะไรต่อไป
ใช่แล้ว
ตึกตัก ตึกตัก
ถ้าหากปลายของดาบเล่มนั้นที่เคยจ่อมาที่ลำคอของเธอถูกกลับด้านจะเป็นเช่นไรกันนะ
แค่คิดก็ไม่อาจควบคุมรอยยิ้มไว้ได้เลยใช่มั้ยล่ะ
