CHAPTER FOUR : MY LOVE PART II
CHAPTER FOUR : MY LOVE PART II
LOVE IS A GAME THAT TWO CAN PLAY AND BOTH WIN
THAT 'S IT.
สนามซ้อมดาบ
ลิฮอนหยิบดาบประจำตัวออกมาแล้วซ้อมกับหุ่นไม้ไปเรื่อย ๆ โดยมีเฟลิเชียมองอยู่ข้าง ๆ ไม่ไกลนัก แม้ว่าสายตาที่จับจ้องมาของอีกฝ่ายจะทำให้รู้สึกอึดอัดก็ตามแต่เขาจะเสียสมาธิไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะโดนหุ่นตรงหน้าที่ถูกตั้งโปรแกรมมาอย่างดีฟันเอาเสียก่อน
ฉึก !
เมื่อได้จังหวะลิฮอนก็แทงเข้าไปที่ศูนย์กลางของหุ่นไม้ ทำให้มันหยุดทำงานลงและก็มีเสียงปรบมือจากเฟลิเชียดังขึ้นตามมาราวกับผู้ปกครองมาเชียร์ลูกที่งานแข่งขันกีฬาอะไรแบบนั้น
หลังจากเฟลิเชียได้มองการฝึกซ้อมของลิฮอนเธอพอจะเข้าใจความสามารถของอีกฝ่ายคร่าว ๆ
“นี่เธอน่ะ . . . !” ลิฮอนที่กำลังจะหันไปบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องปรบมือเลยสักนิดก็ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ระยะห่างอันน้อยนิดนั้นทำให้ลิฮอนทำตัวไม่ถูกและยืนแข็งทื่อ ถ้าหากเฟลิเชียเป็นศัตรู ก็คงเดาไม่ยากเลยว่าเมื่อกี้เขาคงตายไปแล้วแน่ ๆ
“ดิฉันเองก็อยากลองใช้ดาบดูบ้างเหมือนกันนะคะ” เฟลิเชียพูดด้วยเสียงนิ่ง ๆ จากนั้นมือบางก็ค่อย ๆ หยิบดาบมาจากมือของลิฮอนที่กำลังนิ่งค้างไปแล้วหันปลายดาบเข้ามาที่กลางอกของเขาแทน
เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
“. . .”
“ทำนองนี้ล่ะมั้งคะ”
ลิฮอนมองดาบที่จ่ออกของตัวเองอยู่อย่างหมิ่นเหม่ เฟลิเชียไม่ได้หยิบดาบไปจากมือเขา 100% เธอเพียงแค่ใช้ช่องว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ขยับทิศทางของดาบเท่านั้น ทำให้ในท่านี้เลยเหมือนเขาเตรียมจะแทงตัวตายอะไรอย่างงั้น
“. . .”
“ล้อเล่นน่ะค่ะ” เฟลิเชียยกยิ้มออกมาอย่างไม่คิดอะไร เธอแค่เอาคืนที่อีกฝ่ายเคยแกล้งเธอเมื่อสักครู่เท่านั้น
แต่ตรงข้ามกับลิฮอนที่ตอนนี้รู้สึกขนลุกไปหมด
อันตราย
ลิฮอนขยับตัวห่างจากเฟลิเชียอย่างรวดเร็ว อาจจะเพราะใบหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่ายที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรและรูปร่างบอบบางหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนตรงหน้านั้นดูอ่อนแอ บอบบาง ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ทำให้เขาประมาทผู้หญิงคนนี้เกินไป
“. . .”
“ลิฮอนคะ ?”
“เธอเคยเรียนดาบมาก่อนงั้นเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ เพิ่งเคยจับดาบเมื่อกี้ครั้งแรกค่ะ” เฟลิเชียตอบตามความจริง พร้อมกับเอ่ยประโยคขอโทษด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกำลังอ่านบทอยู่ออกมา “ขอโทษนะคะที่ทำแบบนั้น ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายลิฮอนเลยนะคะ"
เฟลิเชียไม่เคยสนใจเรื่องดาบและก็ไม่เคยจับดาบเลยสักครั้ง แต่แม้แต่เธอเองก็ยังรู้สึกสงสัยตัวเองไม่น้อยที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับมันอย่างน่าประหลาด
“ไม่เป็นไร ถ้างั้นเธอสนใจเรียนดาบมั้ยล่ะ”
“ได้เหรอคะ”
“ใช่ ผมจะสอนพื้นฐานให้เอง”
“ฝากตัวด้วยนะคะ”
เพราะว่าลิฮอนหลังไปแล้ว ทำให้ทั้งคู่ไม่เห็นสีหน้าของกันและกัน ซึ่งบางที เป็นแบบนี้อาจจะดีที่สุดก็เป็นได้
ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทั้งสองพยายามปกปิดและหลบซ่อนมันเอาไว้คงจะถูกล่วงรู้อย่างง่ายดาย
ลิฮอนเริ่มสอนพื้นฐานง่าย ๆ ตั้งแต่วิธีจับดาบไปจนถึงกระบวนท่าและเฟลิเชียก็สามารถทำตามได้เพียงแค่มองเพียงครั้งเดียวเท่านั้นทำให้การสอนเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งคู่ซ้อมกันไปเรื่อย ๆ อย่างลืมเวลา ผ่านไปจนตอนนี้ตะวันเริ่มตกดิน จากที่เคยเป็นผู้สอนลิฮอนตึงมือกับการโจมตีของเฟลิเชียและรับมือไม่ไหวเสียแล้ว
กึก !
ดาบในมือของลิฮอนหลุดออกจากมือด้วยฝีมือของเฟลิเชียที่กำลังใช้ดาบอีกเล่มจ่อที่คอเขาอยู่ เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงเธอพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดจนน่าตกใจ
ต่อให้จะเก่งขนาดไหนแต่ประสบการณ์มันไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างได้เร็วขนาดนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เฟลิเชียเหลือกว่าลิฮอนคืออะไรกันล่ะ
บางทีแล้วสิ่งที่จะนิยามเฟลิเชียได้ อาจจะเป็นคำว่า พรสวรรค์ และ อัจฉริยะ ก็เป็นได้
“ดิฉันชนะสินะคะ”
ถึงเฟลิเชียจะอยากจะชนะอีกฝ่ายมากขนาดไหนก็ตาม แต่ท่าทางและสีหน้าของลิฮอนในตอนนี้มันทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย
“อ่า เก่งมากเลยล่ะ”
“ขอโทษจริง ๆ นะคะแล้วก็ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ” เฟลิเชียยื่นดาบคืนลิฮอนแล้วโค้งเบา ๆ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อนทั้งเรื่องดาบและก็การซ้อมอะไรสักอย่างอย่างจริงจังขนาดนี้
“ไม่หรอก ผมก็ทำเท่าที่ผมทำได้น่ะ” ลิฮอนส่ายหน้า เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตอนนี้เขามองหน้าของเฟลิเชียไม่ติด ไม่ว่าจะเพราะตกใจหรือเสียใจที่แพ้ก็ตาม
“อย่าหลบตาดิฉันสิคะ”
ลิฮอนหันมาสบตาของเฟลิเชียและเธอก็ไม่ได้หลบหนี ภายในดวงตานั้นยังคงเรียบเฉย อ่านไม่ออกเหมือนดั่งเคยแต่กลับตราตรึงอย่างบอกไม่ถูก
ขนตาเรียงยาวเป็นแพสวยงาม ดวงตาซ้ายสีทองสว่างดูล้ำค่า ดวงตาขวาสีม่วงซีดดูลึกล้ำน่าค้นหา ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยิ่งเข้าใจถึงความงดงามของคนหน้า
ที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนจากเมื่อก่อน
“. . .”
ถึงจะไม่มีคำปลอบใจใด ๆ แต่ดวงตาทั้งสองของเฟลิเชียนั้นทำให้ลิฮอนเกิดความมั่นใจขึ้นอย่างน่าประหลาด
ตั้งแต่เด็กจนโตนี่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ลิฮอนพ่ายแพ้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยที่แพ้ เขารู้สึกกลัวต่างหาก . . . กลัวว่าเขาจะทรยศความขาดหวังของคนอื่น แต่ดวงตาของเฟลิเชียกลับทำให้ความกลัวที่เคยมีมลายหายไปจนหมดสิ้น
ราวกับจะสื่อว่าต่อให้เขาจะเป็นยังไง ดวงตาคู่นั้นก็จะกลับจ้องกลับมาแบบนั้นเสมอ
"คราวหน้าจะชนะ"
“ค่ะ ดิฉันเองก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ”
พวกเราจับมือกันราวกับจะสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน
พวกเรายิ้มให้กันราวกับจะบอกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดี
แต่ต่างคนต่างก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่
เพราะว่ายากที่จะเชื่อ
เพราะว่าไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือปลอม
สุดท้ายแล้วก็มีทางเลือกอยู่แค่ทางเดียวเท่านั้น
ก็คือเสแสร้งแกล้งทำมันไปเหมือนทุกที
ความสงบสุขจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ นั้นเปราะบางเหลือเกิน
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นอะไร
จนเผลอคิดไปว่า
ขอให้ช่วงเวลาแบบนี้นานขึ้นอีกสักนิด
นิดเดียวเท่านั้น
ก็ยังดี
แล้วความคิดนั้นเป็นของใครกันนะ
ไม่อาจรู้ได้เลย
“นี่ เฟลิเชียมีคู่ร่วมแข่งหรือยัง”
"หมายถึงงานประลองงั้นเหรอคะ"
"ใช่"
“ยังไม่มีหรอกค่ะ”
“คู่กันมั้ย"
“เป็นดิฉันจะดีเหรอคะ”
“ดีแล้วล่ะ”
ทำไมลิฮอนถึงได้พูดแบบนี้ออกมา
คำว่าดีแล้วของเขาหมายความว่าอย่างไร
“เอาสิคะ น่าสนุกดีเหมือนกันค่ะ”
แล้วทำไมเฟลิเชียถึงตอบตกลง
คำว่าน่าสนุกของเธอคืออะไรกัน
คนที่รู้ก็คงมีเพียงพวกเขาเท่านั้น
ข่าวที่เฟลิเชียและลิฮอนจะลงแข่งขันคู่กันนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลายต่อหลายคนเริ่มเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ของลิฮอนกับอลิสว่าจะดำเนินไปเป็นเช่นไร แม้ลิฮอนอยากจะพูดแก้ข่าวอย่างไรแต่มันจะเป็นการหักหน้าคู่หมั้นของเขาซึ่งนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก สุดท้ายจึงได้แต่นิ่งเงียบเท่านั้น
“ขอโทษนะอลิสที่ทำให้มีข่าวลือแบบนั้นออกมา”
ลิฮอนเอ่ยขอโทษอลิสในทันทีระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันที่โรงอาหารรวมเพราะอลิสเป็นสามัญชนทำให้ไม่สามารถเข้าไปยังโรงอาหารที่หอพักพิเศษได้ลิฮอนจึงเลือกที่จะมากินที่เดียวกับเธอแทน
“ไม่เป็นอะไร ฉันไม่คิดมากหรอก”
“ขอโทษจริง ๆ นะ”
“ฉันไม่คิดอะไรจริง ๆ ยังไงองค์หญิงก็เป็นคู่หมั้นของลิฮอนนะ ฉันเข้าใจ”
“งั้นเหรอ ขอบใจนะ . . . จริงสิ เย็นนี้เธอกลับก่อนได้เลยนะ ผมว่าจะไปซ้อมเลยคงไม่ได้ไปส่งที่หอ ขอโทษด้วย”
ปกติลิฮอนมักจะรักษาภาพพจน์ต่อหน้าคนอื่นเสมอ เป็นประธานนักเรียนที่เข้มงวด ตรงข้ามกับเวลาอยู่กับอลิส เขาจะใจดี อ่อนโยน และไม่เคยเรียกร้องอะไรหรือทำให้เธอลำบากใจสักครั้ง ซึ่งเธอก็อดดีใจไม่ได้ที่ได้เห็นอีกมุมของเขาแต่ว่าคราวนี้มันแตกต่างออกไป
เป็นครั้งแรกที่ลิฮอนปฏิเสธจะไปส่งอลิส แม้ว่าจะยุ่งสักแค่ไหนเขาก็จะเจียดเวลามาหาเธอเสมอเพราะเวลาของทั้งคู่ไม่ค่อยตรงกัน เขาอยู่ห้อง A ส่วนเธออยู่ห้อง B แถมหอพักก็อยู่คนละทาง ระยะห่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ช่วงที่ได้อยู่ด้วยกันมีแค่ช่วงทานข้าวและตอนกลับหอเท่านั้นเอง
ทำให้ช่วงเวลาเหล่านั้นสำคัญมากสำหรับพวกเธอ และถ้าหากเป็นปกติต่างคนต่างไม่ยอมให้อะไรมาแย่งมันไปเด็ดขาดไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
แล้วทำไมคราวนี้ถึงเป็นแบบนี้
“อื้อ พยายามเข้านะ” อลิสพยายามไม่คิดอะไร เธอไม่อยากทำตัวงี่เง่าหรือไร้สาระ จึงส่งยิ้มไปให้เหมือนทุกครั้ง “จะว่าไปแล้วลิฮอนอยู่ห้องเดียวกับองค์หญิงสินะ เธอคนนั้นเก่งจริง ๆ . . .”
ลิฮอนพยักหน้าเห็นด้วย เขาเกือบลืมข้อเท็จจริงที่ว่าการที่เฟลิเชียอยู่ห้องเดียวกับเขาแสดงว่าจะต้องมีพลังเวทย์ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“ให้ตาย . . . ทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแท้ ๆ . . .” แต่กลับแฝงความสามารถไว้ตั้งขนาดนั้น
ไม่ว่าจะเรื่องดาบหรือเรื่องพลังเวทย์ ลิฮอนประเมินเฟลิเชียต่ำไปจริง ๆ
อลิสรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของลิฮอนที่ว่าเฟลิเชียแทบไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบจริง ๆ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่าแฟนของตนจะสนใจตุ๊กตาตัวนั้นมากเหลือเกิน
“เป็นอะไรหรือเปล่าอลิส”
“ปะ เปล่า . . . ไม่ได้เป็นอะไร” อลิสเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วโบกมือปฏิเสธ แต่ลิฮอนก็หรี่ตามองอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก จากนั้นก็แตะเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ ทำให้เธอสะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงเถือกเป็นลูกมะเขือเทศเมื่อโดนแตะโดยไม่ทันตั้งตัว
“ตัวร้อน ๆ นะ หน้าก็แดงด้วย วันนี้ไปพักดีกว่ามั้ย”
“มะ ไม่เป็นอะไร ฉันแข็งแรงดี” อลิสอยากจะต่อยหน้าคนตรงหน้าเสียให้เข็ด สาเหตุที่ทำให้เธอแสดงท่าทางเช่นนั้นก็เพราะลิฮอนไม่ใช่หรือไง
“ระวังตัวด้วยนะ”
รอยยิ้มอ่อน ๆ ของลิฮอนส่งให้อลิสรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แต่เธอกลับไม่เคยชินเสียทีบวกกับความอ่อนโยนจากสายตาและคำพูดยิ่งทำให้หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมา
ในเมื่อเป็นแบบนี้จะไม่ให้เธอตกหลุมรักได้ยังไงกัน ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งเหมือนกับจะถลำลึกไปเรื่อย ๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่ห้องเรียนนะ”
“อื้อ”
เมื่อทานข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อยทั้งคู่ก็เตรียมตัวไปเข้าเรียนและลิฮอนก็อาสาไปส่งอลิสเหมือนปกติแม้ว่าจะอยู่คนละห้อง
ช่วงเวลาเหล่านี้ที่ไม่รู้ว่าจะได้ครอบครองไปจนถึงเมื่อไหร่นั้น ทำให้อลิสรู้สึกโลภขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากทำให้มันเป็นนิรันดร์ได้จะดีสักแค่ไหนกันนะ
“ขอให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป . . .”
คำวิงวอนที่ร้องขอออกมานั้นแผ่วเบาราวกับว่าไม่อยากให้ใครได้ยินแม้กระทั่งลิฮอนเองก็ตาม
