บท
ตั้งค่า

เด็กใหม่

สองปีต่อมา…

ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

08:10 น.

กริ๊ง…

“…”ร่างสูงลุกขึ้นนั่งบนเตียง ค่อยๆให้สายตาปรับแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากหน้าตาห้องพักของตัวเอง ดวงตาที่เหนื่อยล้าและเริ่มดำคล้ำถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง ตัวเองหลับไม่สนิทมานานเท่าไหร่แล้วนะ น่าจะหลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นหรือเปล่านะ…

“ฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว…ให้มันได้อย่างนี้สิน่า…”ผมเอ่ยพลางขยี้หัวทุยของตัวเอง ผมที่ยาวลากไทรสีน้ำตาลอ่อนยุ่งเหยิงทันที ฝันแต่เรื่องเดิมๆ และนอนไม่หลับเหมือนเดิม และยังคงใช้ชีวิตเดิมๆจนชินไปแล้ว

กริ๊ง…

“ให้ตายสิ…ใครโทรมาแต่เช้าวะ…”ผมบ่นเพราะว่าสิ่งที่ปลุกให้ผมตื่นคือเสียงโทรศัพท์ข้างๆตัวเองนั้นเอง พอมองไปยังเบอร์คนที่โทรมาก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนที่จะเลิกสนใจโทรศัพท์ไป

ผกก.พนา

“…”ผมเลิกสนใจโทรศัพท์ก่อนที่จะลุกขึ้นบิดขี้เกียจแต่ก็ต้องนิ้วหน้า มองไปที่เอวของตนเองที่มีผ้าพันแผลปิดบาดแผลอยู่อย่างลวกๆ เพราะผมเป็นคนทำแผลเองกับมือเมื่อคืน

“แผลปริจนได้ให้ตายเถอะ…”ผมเอ่ยเพราะเริ่มรู้สึกเปียกชื้นที่ปากแผลไม่นานของเหลวสีแดงก็ค่อยๆซึมออกมาเปื้อนผ้าพันแผลก่อนที่จะเลิกสนใจแกะผ้าอันเก่าที่ชุมไปด้วยเลือดออกทิ้งลงถังขยะ และเอาผ้าพันแผลอันใหม่มาพันแบบลวกๆ ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนอน เดินไปยังห้องครัว

พรึบ…

“สงสัยต้องออกไปหาซื้อของมาตุนอีกแล้วสินะ…”ผมมองไปยังในตู้เย็นที่มีแค่นมหนึ่งขวดน้ำเปล่าสามขวดและผลไม้อีกเล็กน้อย เปิดดูช่องแช่แข็งยังดีที่มีข้าวต้มอยู่ ผมจึงหยิบออกมาอุ่นเพื่อทานเป็นอาหารเช้า ในเมื่อนอนไม่หลับก็หาอะไรมาเติมท้องก่อนก็แล้วกัน เพราะเมื่อคืนเลิกจากภารกิจมาก็เข้านอนเลยยังไม่ได้กินอะไร

“…”ระหว่างรออาหารเวฟ ผมก็หยิบขนมปังมาแทะกินเล่นรอ ก่อนที่จะรู้สึกฝืดคอเลยหยิบนมขึ้นมาทานแก้ฝืดคอไม่นานข้าวต้มก็เสร็จ ผมเดินมานั่งกินที่โต๊ะห้องรับแขก แม้ว่ามันจะไม่ทำให้อิ่มท้องแต่สายๆของวันค่อยไปหาซื้อของมาตุนเพิ่มเอาก็ได้เพราะ ด้านล่างคอนโดผมมีท็อปอยู่

กริ๊ง…

“…”เสียงโทรศัพท์ยังคงดังขึ้นแว่วเข้ามาในหู แต่ผมไม่สนใจก่อนที่จะเปิดทีวีดูข่าวไปพลางๆ

รายงานข่าว

วันนี้เมื่อตอนเช้าตรู่ 04:55 น. มีแผ่นดินไหวไม่แรงมากประมาณ3.2ริกเตอร์แถวราชประสงค์ค่ะ ทำให้ท่อน้ำใต้ดินปะทุขึ้นมา คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นการเคลื่อนตัวของพื้นผิวโลกใต้ดินค่ะ

อัพเดตข่าว

เมื่อคืนที่มีการขัดข้องของระบบไฟที่รถไฟฟ้าใต้ดิน ทำให้ต้องปิดปรับปรุงชั่วคราวไป ตอนนี่ทางสถานีได้ประกาศเปิดให้ใช้บริการได้ตามปกติแล้วค่ะ

“เหอะ…”ผมหัวเราะเสียงอ่อน เพราะเมื่อคืนภารกิจของตัวเองที่ได้ไปทำก็คือ ไปกำจัดปีศาจที่มาก่อกวนที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนะสิ กว่าจะออกมาได้แทบตาย

“เจ้ากุมารหน้าตายนั้น ตายยากชะมัด เล่นซะกูอ่วมเลย”ผมบ่นเพราะกุมารปีศาจที่ผมไปจัดการมันเรียกพวกมานะสิ! พลังของมันคือแยกร่างเล่นเอาผมตึงมือไม่น้อยเลย ก็เลยได้แผลที่เอวมานี่ไง

ทุกคนอาจจะงงว่าผมพูดอะไรอยู่ กุมารทอง หรือการที่ผมต้องไปต่อสู้ อะไรกัน เอาเป็นว่าผมจะอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจเอง

ผมทำงานอยู่ในองค์กรที่ดูแลความปลอดภัยของมนุษย์ชาติจากสิ่งลี้ลับ เรียกง่ายๆหากเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น ที่ทางต้นสังกัดผมยืนยันแล้วว่าเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจก็จะสั่งการให้พวกผมไปกำจัด โดยการเข้าไปในมิติคู่ขนาน เข้าไปจัดการกับปีศาจก่อนที่พวกมันจะเข้ามายังในโลกความเป็นจริง

โลกคู่ขนานเป็นโลกในมิติที่พวกปีศาจสามารถแทรกแทรงเข้ามาก่อความวุ่นวายในนี้ได้โดยที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นมหันตภัยที่โลกจริงแทน ความรุนแรงก็แล้วแต่ชนชั้นของปีศาจที่เข้ามาก่อความวุ่นวาย ยิ่งพลังเยอะมากเท่าไหร่ก็จะส่งผลเสียกับโลกจริงมากเท่านั้น เราจึงแบ่งพลังของปีศาจเป็นสี่ระดับ คือ จัตวา ตรี โท และ เอก ตามวรรยุคของไทย เรียงตามค่าพลัง พลังน้อยสุดคือจัตวา มากที่สุดคือเอก ที่นานๆทีจะมีมาส่วนมากจะเป็นจำพวก จัตวาและตรีเป็นส่วนใหญ่ที่มาก่อความวุ่นวาย ปีศาจจำพวกโทและเอก แทบนับนิ้วได้เลยที่จะมาก่อความวุ่นวาย ครั้งล่าสุดที่ปรากฏตัวคือเมื่อสองปีก่อน…

ทำให้ทางรัฐบาลไทย จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาและรวบรวมผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ เข้ามาในกลุ่มเพื่อมาป้องกันมหันตภัยที่เกิดจากปีศาจพวกนี้ โดยการคัดเลือกจะเลือกเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์และมีพลังตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นพลังที่ได้รับพรจากพวกเทพเจ้าต่างๆ

การได้รับพลังจากพวกเทพนั้นแบ่งเป็นสี่ระดับ ระดับคือ 25/50/75/100 แบ่งไปตามพลังที่ได้รับ ระดับ25 จะได้รับพลังในส่วนร่างกายทนทาน ว่องไว การป้องกัน พลังเหนือมนุษย์ทั่วไปขึ้นมาหลายร้อยเท่า ระดับ 50 สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาคืออาวุธระดับเทพที่สามารถใช้พลังของเทพได้ ระดับ75 สิ่งที่ได้เพิ่มมาคือ สามารถที่จะใช้พลังของเทพได้ครึ่งนึง ระดับ100 สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือสามารถให้เทพที่เราได้รับพลังสามารถจุติร่างของเราได้ ซึ่งมีน้อยๆมากๆ นับนิ้วมือยังเหลือ

ข่าวต่อไป…

“เหอะ…”ข้าวต้มในถ้วยหมดลง โดยที่ใช้เวลาไม่นาน ก่อนที่ผมจะนอนพิงโซฟา ปล่อยตัว หลับตาลงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

สองปีแล้วที่ผมได้เข้ามาทำงานกำจัดปีศาจที่มาก่อกวนนี้ แม้จะเสี่ยงอันตรายอย่างมากแต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งฐานะทางบ้าน และเป็นผู้ที่ได้รับพรจะเทพเจ้า ทำให้ผมต้องมายืนอยู่ยังจุดนี้ เรียกได้ว่ายิ่งหนียิ่งวิ่งเข้าหามากกว่า ไม่มีใครสามารถหนีภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้ได้ แม้กระทั้งผมที่พยายามหนี โดยทำทุกวิธีทาง แต่สุดท้ายก็จบไปด้วยความตายของคนรอบข้าง ทำให้ผมต้องทำใจและเข้ามาทำหน้าที่นี้ในที่สุด

ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบ แต่เงินและสวัสดิการที่ดีมากๆ ทำให้ที่บ้านของผมสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ไม่อดอยากอย่างที่ผ่านๆมา ถึงแม้ว่าเราจะตายไปแต่พวกบำนาญก็สามารถเลี้ยงชีวิตครอบครัวได้ไปจนตาย

“มีคนกำลังมา…“เสียงในหัวเอ่ย ก่อนที่จะมีชายร่างกำยำหนวดยาวปกคลุมหน้าจนเห็นแค่ลูกตาเอ่ยขึ้นก่อนที่ร่างของชายมีหนวดจะโผล่ขึ้นมาตรงหน้า

”ผมบอกแล้ว ว่าอย่ามาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง…“ผมเอ่ยกับเทพเจ้าตรงหน้าก่อนที่จะหันหน้าหนีเดินเอาถ้วยข้าวต้มไปทิ้งที่ถังขยะ

”เมื่อไหร่เจ้าจะยอมรับข้าสักที…“ชายมีหนวดเอ่ยก่อนที่จะลอยตามผมมา มือที่กอดอกจ้องผมอย่างที่ทำเป็นประจำ

”ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว…“ผมเอ่ย ก่อนที่จะเดินเข้าไปยังห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำ

”ดียังไง ดูเจ้าสิ แผลนั้นเกือบทำให้เจ้าไม่รอดแล้วหากข้า…“ชายมีหนวดเอ่ย

”ท่านยุ่งไม่เข้าเรื่อง…ผมบอกแล้วว่าอย่าทำอะไรหากผมไม่ได้เอ่ยปากขอ เมื่อไหร่ท่านจะฟังสักที“ผมเอ่ยก่อนที่จะค่อยๆเปิดน้ำล้างหน้า ก่อนที่จะเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเองเพราะไม่สามารถอาบน้ำได้เพราะยังมีแผลฉกรรจ์ที่ท้องของตัวเองอยู่

”หากเจ้าตาย…ข้าก็ต้องไปหา ผู้ทำพันธะใหม่นะสิ…ข้าขี้เกียจ…“ชายมีหนวดเอ่ย

”…“ผมไม่พูดอะไรต่อ หลังจากที่ทำอะไรเสร็จแล้ว ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะเดินออกมา จากห้องน้ำโดยยังมีวิญญาณตามอย่างไม่ลดละ

”ข้า…“ชายมีหนวดที่กำลังจะเอ่ย แต่ต้องเงียบเพราะผมที่เงยหน้ามองผู้มาใหม่ตรงหน้า ที่ยืนพิงกำแพงห้องน้ำมองผมด้วยสายตารำคาญอยู่

”ไม่มีมารยาทหรือไง ห้องรู้จักเคาะไหม? ประตูรู้จักไหมไม่ใช้จะใช้พลังของตัวเอง โผล่มาที่ห้องคนอื่นแบบนี้ได้“ผมเอ่ยด่าชายตรงหน้าไป

”อยากมาตายละ! ถ้าไม่อยากเจอหน้าก็หัดรับโทรศัพท์สิวะ! กูจะได้ไม่ต้องถูกใช้มาแบบนี้!“ชายตาฟ้าเอ่ย ก่อนที่จะกอดอกมองผมอย่างไม่พอใจ

”สะดวกแบบนี้…รับไม่รับเรื่องของผม“ผมเอ่ยก่อนที่จะเดินผ่านหน้าของผู้มาใหม่แต่ก็โดนเอาตัวมาขวางไว้ซะก่อน

“ฉันยังพูดไม่จบ…!”

“แต่ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เชิญกลับไปบอกเขาว่า รบกวนทำตามคำที่ผมขอด้วย…”ผมเอ่ยเพราะผมมีข้อตกลงกับผกก.พนา ว่าในหนึ่งเดือนผมจะรับงานแค่สามงานเท่านั้นซึ้งโควต้าเดือนนี้ก็ครบแล้ว อีกเกือบๆสองอาทิตย์ก่อนเริ่มเดือนใหม่ผมจะไม่รับงานอะไรอีก

“ไม่ใช่เรื่องที่ท่านพนาให้ไปทำงาน แต่เป็นเรื่องอื่น…”ชายตาฟ้าเอ่ย

“เรื่องอื่น?”ผมเอ่ยย้ำ มองไปที่คนตรงหน้า ตอนนี้ชายมีหนวดได้หายไปแล้วซึ้งก็ดี หากมีคนมาตื้อทั้งเทพและเพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบขี้หน้าคงปวดหัวคูณสอง

“ใช่…ผกก.พนาให้เข้าไปที่องค์กรตอนนี้ ส่วนเรื่องที่จะคุยด้วยฉันไม่รู้ ท่านไม่ได้บอกไว้…ห้ามขัดคำสั่งนี้ไม่ว่ากรณีใดใด ท่านบอกหากนายไม่ทำตามให้ฉันลากตัวนายไปได้เลย…”ชายตรงหน้าเอ่ยบอกความต้องการของตน

“เหอะ…รู้แล้ว ขอเวลาแต่งตัวสักครู่”ผมเอ่ย ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดทำงานเป็นเหมือนชุดดับเพลิงสีกรมลายทหาร พร้อมหมวกสีเดียวกับชุด ผมใช้เวลาไม่นานก็เปลี่ยนชุดเสร็จ แม้จะมีติดขัดบางเพราะแผลที่ยังไม่หายดีทำให้ติดขัดตอนสวมเสื้อ ก่อนที่ผมจะเดินออกมา

“…”ชายตาฟ้ายืนจ้องหน้าผม ไม่ได้พูดอะไร

เปาะ!

วาร์ป

“ตามมา…”ชายตาฟ้าที่เห็นผมแต่งตัวเสร็จก็ดีดนิ้ว ก่อนที่จะเกิดการบีบอัดอากาศตรงหน้าพร้อมกับช่องว่างมิติสีม่วงเข้มโผล่ขึ้นมาตรงหน้า พูดจบก็เดินหายเข้าไปด้านในมิติ

“…”ผมไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาก็เดินตาม เข้าไปยังมิติ ภาพตรงหน้าไหวสั่นเล็กน้อยตอนข้ามมิติ รู้สึกเหมือนจะโหวงที่ท้อง ผมไม่ชินในการเดินทางผ่านมิติสักทีไม่ว่ากี่ครั้งก็ไม่ชิน

ศูนย์บัญชาการการปราบปรามและรับมือสิ่งเหนือธรรมชาติ

“ไปที่ห้องประชุมเอนะ …หน้าที่ฉันหมดแล้ว”ชายตาฟ้าเอ่ยเมื่อพวกเราสองคนมาถึงศูนย์บัญชาการ ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในห้องหนึ่ง

“…”ผมมองตามไม่นานก็เดินไปทางลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังชั้นห้าเพื่อไปยังสถานที่ชายตาฟ้าเอ่ยบอกผม เป็นห้องประชุมที่เรียงรายหลายสิบห้องระหว่างทางที่เดินไปยังห้องที่ประชุมในวันนี้ มีคนหันมามองผมบ้างประปราย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษแม้คุ้นหน้าบ้าง แต่ก็ไม่รู้จักชื่อใครทั้งนั้น

ใช้เวลาเดินไม่นานผมก็เดินมาถึงหน้าห้องประชุมเอ ด้านในเป็นกระจกสีขาวขุ่นเห็นด้านในได้เลือนลางแต่ก็พอจะรู้ได้ว่า ด้านในมีคนอยู่อย่างต่ำห้าถึงหกคนแล้วแน่ๆ

แอด…

“…”ผมเปิดประตูเข้ามา ก็พบสายตาเกือบทุกคู่หันมามองผู้มาใหม่แบบผม ผมเดินเข้ามาผงกหัวทักทายไปหนึ่งทีก่อนที่จะหาเก้าอี้นั่ง ซึ่งมีเหลืออยู่ตัวเดียวด้านในสุด ผมก็เดินเข้ามาด้านใน ที่ยังคงมีสายตาจับจ้องอยู่ประปราย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเท่ากับตอนที่เปิดเข้ามาครั้งแรก

“มาด้วยเหรอไง นายนะ…”พอนั่งลงที่เก้าอี้หญิงสาวผมสั้นที่นั่งข้างๆผมเอ่ยขึ้น

“ครับ…ผกก.พนา เรียกมาครับ”ผมเอ่ยบอกเธอไป เธอถามผมสองสามคำก่อนที่จะหันไปสนใจโทรศัพท์ในมือ จะว่าไปผมก็ลืมหยิบโทรศัพท์มาด้วยนี่น่า เพราะจำได้ว่าวางมันไว้ที่บนเตียงแล้วไม่ได้สนใจมันอีก พอเห็นหญิงสาวเล่นโทรศัพท์ก็เลยนึกขึ้นได้ พอล้วงไปก็ไม่เจอ

“หาอะไรเหรอ? ”หญิงสาวที่เห็นผมล้วงไปมาระหว่างกระเป๋ากางเกงกับเสื้อกันหนาวก็เอ่ยถาม

“เปล่าครับ…คิดว่าผมน่าจะลืม โทรศัพท์มาด้วย”ผมเอ่ยตอบ ก่อนที่จะเลิกสนใจไปเพราะมีคนมาใหม่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คนที่โทรจิกเรียกผมมาที่นี่ยังไงละ

“สวัสดีทุกคน…”ผกก.พนาเอ่ยทักทายทุกคน ก่อนที่สายตาสุดท้ายเขาจะหันมามองที่ผม ก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ จนผมต้องเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้ สนุกนักหรือไงที่ได้มากวนผมแบบนี้

“สวัสดีค่ะ/ครับ ผกก.พนา”ทุกคนในห้องต่างเอ่ยทักทาย ยกเว้นผมที่นั่งกอดอกหันมองไปทางอื่น ไม่สนใจที่จะเอ่ยทักทายคนตรงหน้าที่ยืนหัวโด่อยู่ และเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผม ทันทีที่ทุกคนทักทายออกไป ก็มีเสียงเอ่ยขึ้น

“คุณ อรรค ดูเหมือนคุณจะเหม่อลอยจนลืมเอ่ยทักทายนะครับ เพราะผมไม่ได้ยินเสียงคุณเลย“พนาเอ่ยก่อนที่จะยิ้มส่งมาให้ผม

“…”ผมเงียบก่อนที่จะหันไปมองคนเรียกที่ยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะ พร้อมกับทุกสายตามองมาทางผมด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันไป

“ยังไงครับ?…”พนาเอ่ยขึ้น

“เข้าเรื่องเลยไหมครับ เสียเวลามามากแล้ว…”ผมเอ่ย ก่อนที่จะเริ่มหงุดหงิดเพราะถูกเรียกมากระทันหันและไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดก็คือสิ่งที่ไม่ทันตั้งตัวและผมไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับมัน ซึ้งตอนนี้ผมโครตจะหงุดหงิดเลยที่ถูกเรียกตัวมาเร่งด่วนแบบนี้ ทั้งๆที่เมื่อคืนกว่าจะกำจัดผีกุมารนั้นก็ผ่านไปครึ่งคืนแล้ว ไหนจะต้องลุกขึ้นมาประชุมอีก

“ดูเหมือนนายจะไม่ได้เต็มใจมาเลยนะ ดูทำหน้าทำตาสิ”ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มองมาทางผม

“ก็ไม่ได้อยากมา…เรียกมาทำไมก็ไม่รู้”ผมเอ่ยเสียงดังพอที่จะได้ยินทุกคนในห้อง ก่อนที่จะกอดอกพิงเก้าอี้ไม่สนใจใครอีก

“เอาละ…เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ …”พนาที่พอใจที่จะแกล้งผมแล้วก็เอ่ยขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะหันไปยังคนตรงหน้า เพื่อฟังการประชุมในวันนี้

“สถานะการณ์ในตอนนี้ มีทางการแจ้งเข้ามาเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เริ่มเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน ยิ่งรุนแรงขึ้น ถึงจะไม่ถึงขึ้นโทหรือเอก แต่จำนวนพวกมันก็มากพอที่จะทำให้เราวุ่นวายได้มากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนของเราเริ่มไม่เพียงพอ ปีนี้ทางเบื้องบนได้ปรึกษาหาลือกันว่า เราจะเปิดเกณฑ์คัดเลือกคนเร็วขึ้นมาหน่อย…“พอเริ่มประชุมทุกคนก็เลิกสนใจผมแล้วหันไปสนใจเนื้อหาประชุมกัน ผมแม้จะยังพิงเก้าอี้ไม่ได้มองไปยังผกก.พนา แต่ผมก็ยังคงตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดอยู่

”ซึ้งตอนนี้ทางเบื้องต้นเราได้คัดเลือกเด็กใหม่เข้ามาเพิ่ม แล้วได้ทำการฝึกฝนร่างกายเบื้องต้นแล้ว พวกเด็กใหม่มีความพร้อมในการที่จะค่อยๆเริ่มรับภารกิจในขั้นพื้นฐานแล้ว หน่วยขัดกรองของศูนย์เราได้รับเหล่าผู้ที่มีพรสวรรค์เข้ามาทั้งหมดห้าสิบคน…“พนาเอ่ยมาถึงตอนนี้ก็เงียบ ก่อนทีจะมองไปรอบๆห้องสบตากับทุกคนในห้อง ยกเว้นอยู่บางคนที่ไม่ยอมหันมามอง แต่พนาก็รับรู้ได้ว่าอรรคถึงแม้มีท่าทีไม่สนใจ แต่เขาก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูดอยู่

การคัดเลือกเด็กใหม่นั้นได้เริ่มขึ้นเมื่อต้นปีนี้ เดือนมกราคม มีคนมาสมัครเข้ามาหลายร้อยคน ด่านแรกที่จะคัดกรองเหล่าผู้ที่มีพรสวรรค์เข้ามาจะเหลือแค่สองร้อยคน เพื่อเอามาฝึกร่างกายจิตใจและความพร้อมด้านต่างๆ เป็นเวลาสามเดือนจนถึงตอนนี้ เราได้พวกที่มีพรสวรรค์มาห้าสิบคนที่พร้อมจะรับภารกิจระดับง่ายเพื่อเริ่มต้นเส้นทางนี้ ส่วนคนที่เหลือจะถูกฝึกต่อที่ค่ายจนมีความสามารถมากพอที่จะเข้ามารับภารกิจ แม้จะไม่ได้ออกไปทำภารกิจ แต่ตำแหน่งงานอื่นๆก็ยังรองรับเหล่าเด็กใหม่อยู่อีกมาก เพราะเรากำลังขยายกำลังพล เพราะช่วงหลังมานี้เกิดเหตุขึ้นมากกว่าเดิมถึงห้าเท่าและคนที่สามารถทำภารกิจได้เริ่มที่จะตึงมือและไม่เพียงพอ จนทำให้บางภารกิจเกิดความสูญเสียที่รุนแรงที่มีผลกระทบมายังโลกจริง

เหล่าเด็กใหม่ที่มีพรสวรรค์ที่คัดเข้ามาแม้จะมีพรสวรรค์ที่ดีมากกว่าคนอื่นแต่ประสบการณ์และความคิดยังต้องพัฒนาอีกมาก ทำให้เบื้องบนได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมาจนได้ข้อสรุป ที่เรียกเหล่าผู้ที่เป็นความหวังของยุคเข้ามาประชุมในวันนี้

“เด็กๆพวกนี้ ถึงแม้จะมีพรสวรรค์มากมาย แต่ก็ยังขาดการขัดเกลาให้เป็นเพรชเม็ดงาม ทำให้ทางเราได้จัดตั้งเหล่าพี่เลี้ยงขึ้น…”พนาเอ่ยก่อนที่จะมองไปยังเหล่าผู้ร่วมประชุมทั้งสิบคน บางคนเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแล้ว

“…”เหมือนกับคิ้วข้างขวากระตุกทันทีที่ได้ยินผกก.พนาพูดจบ เหมือนว่าหลังจากนี้จะมีเค้าโครงความวุ่นวายเกิดขึ้นตามมายังไงชอบกล ผมจึงเงยหน้าหันไปยังห้องประชุมก็ได้รับสายตามองผมอยู่ก่อนที่จะยกยิ้มขึ้นพร้อมเอ่ยเนื้อหาต่อ

“พวกนายที่ถูกทางเบื้องบนได้ทำการคัดเลือกมาว่ามีความเหมาะสมในการที่จะไปเป็นพี่เลี้ยงของเหล่าเด็กใหม่ผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ คือพวกนายทั้งสิบคนนั้นเอง จงภูมิใจ…“พนาเอ่ยแต่ก็ถูกขัดขึ้นมา

”ผมไม่ทำ…”ผมเอ่ยก่อนที่จะลุกขึ้น หลังจากที่เริ่มจะจับใจความเนื้อหาของการประชุมในวันนี้ได้รางๆแล้ว

“ปฏิเสธแบบนี้ผมเสียใจนะ…”พนาเอ่ยยิ้มๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าอรรคจะปฏิเสธแน่นอนแต่ไม่เป็นอะไรเขามีแผนเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว

“…อย่าเอาน้ำตาจระเข้มาหลอกให้ยาก ดูก็รู้ว่าแสร้งทำ“ผมขมวดคิ้วเอ่ย ทนดูภาพตรงหน้าไม่ได้ คนอะไรยศก็ใหญ่โตดูทำตัวสิ น่านับถือตายละ

”ได้นะหากนายไม่ทำ ทางเบื้องบนได้คิดเผื่อเรื่องนี้เอาไว้แล้วหากนายไม่รับหน้าที่พี่เลี้ยง ทางเบื้องบนก็จะวางแผนให้นายไปรวมกลุ่มกับทีมภาคอีสาน ที่กำลังขาดคนอยู่พอดี“พนาเอ่ยยิ้มๆ

”แต่ผมเคยบอกแล้วไง…ว่าจะทำภารกิจคนเดียวนะ“ผมเอ่ยค้าน เพราะหลังจากที่เกิดเรื่อง…ผมขอทำภารกิจคนเดียวมาตลอด และจะไม่มีวันไปร่วมทีมอื่นแน่ๆ

“ใช่นายเคยขอฉันแล้วฉันก็ทำตามที่นายบอก แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ทางเบื้องบนไม่ยินยอมแล้ว แม้ว่าฉันจะไปคุยให้นาย เขาก็ไม่รับฟังเหมือนที่ผ่านๆมาอีกแล้ว เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันเริ่มรุนแรงขึ้นมามาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่นายจะไปทำภารกิจคนเดียวแบบตามใจตัวเองแล้ว แผลที่ท้องของนายก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้ดีนิว่าตอนนี้ มันเริ่มตึงมือของนายแล้ว…อรรค“พนาเอ่ย

“ผม…”ผมไม่มีอะไรมาโต้เถียง อย่างที่ผกก.พนาบอกมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะช่วงหลังที่ทำภารกิจมานี้มันเริ่มที่จะตึงมือขึ้นมาแล้ว แต่ผมก็ผ่านมาได้ตลอดอาจจะมีรอยขีดข่วนมาบ้าง แต่ก็ไม่สาหัสเท่ากับภารกิจครั้งนี้ ที่ทำเอาผมเกือบไม่รอด

“ยศของผมยังไม่สูงมากเลย จะให้รับหน้าที่ใหญ่ๆแบบนั้นคงไม่เหมาะ ดูในนี้สิทุกคนในนี้ล้วนยศร้อยโทขึ้นไปแล้ว ผมยังเป็นแค่จ่าสิบโทอยู่เลย มันคงไม่ดี…”ผมเอ่ยที่จะหาทางออกที่สามขึ้นมา

“เรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วง นี่เป็นหนังสือแต่งตั้งนายเพื่อรับยศร้อยตรีนับจากนี้ไป ทางเราคิดว่าความจริงแล้วจะเลื่อนยศนายขึ้นมานานแล้วแต่ติดไม่มีเวลายื่นเรื่องของนาย เพราะช่วงนี้ไม่ว่าใครต่างก็ไม่มีเวลาเลย แต่เมื่อฉันเสนอชื่อนายไป ทางเบื้องบนจึงอนุมัติเลื่อนยศให้นายโดนไม่เถียงแม้แต่คำเดียว…”พนาเอ่ยก่อนที่จะยื่นเอกสารและเหรียญตรายศร้อยโทสีทองอร่ามเงาวับมาให้ผม

“…”หมดคำจะพูด หมอนี่ดักผมไว้แล้วทุกทางสินะ น่าโมโห! ผมกัดฟันหยิบเหรียญทองขึ้นมากำไว้แน่ คับแค้นใจเป็นที่สุด แต่ถูกบล็อคไปทุกช่องทางแล้ว หมอนี่วางแผนมาดีมากเอาซะผมไม่มีข้อโต้เถียงอีก

“นายจะเอายังไง ฉันมีทางเลือกให้นายสองทางหากนายเลือกไปประจำการที่ทีมภาคอิสานนายออกไปจากห้องประชุมได้เลย แล้วเก็บของไปที่นู้นได้เลย หากไม่ก็กลับไปนั่งทีเดิม…”พนาเอ่ยก่อนที่จะจ้องหน้าผม ส่วนผมก็ขมวดคิ้วจ้องหน้าพนาไม่วางตา ในแววตาของเขาไม่มีวี่แววล้อเล่นอย่างเดิมอีกแล้ว

“บัดซบจริงๆ…!”ผมกัดฟันเอ่ยก่อนที่จะเดินกลับไปนั่งที่เดิม ด้วยท่าทางไม่เต็มใจ นี่มันบังคับกันเลือกชัดๆ พนารู้ว่าผมจะต้องเลือกไปเป็นพี่เลี้ยงมากกว่าไปรวมทีมกับกลุ่มอื่นอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็นแผนของเขาด้วยที่เสนอผมขึ้นไปแล้วเอาเรื่องนี้มากดดันให้ผมยอม ตาเฒ่าหัวงูเอ้ย!

“เอาละ มีใครที่จะคัดค้านอีกไหม?…ถ้าไม่มีผมจะพูดต่อแล้วนะครับ ผมจะให้ทุกคนในนี้เป็นพี่เลี้ยงเด็กใหม่อัตราส่วนหนึ่งต่อห้า พวกนายจะได้รับดูแล ให้คำแนะนำ ปกป้อง และสอนในสิ่งต่างๆจากประสบการณ์ที่พวกนายได้รับมาจากการทำภารกิจ โดยพวกนายจะยังคงต้องทำภารกิจอยู่เหมือนเดิมแค่เพิ่มงานพี่เลี้ยงเด็กเข้ามาเพิ่ม หลังจากที่พวกนายไม่มีภารกิจ ก็ต้องเข้ามาดูแลเหล่าเด็กในสังกัดของตัวเองห้ามทอดทิ้งหรือไม่สนใจใยดี…“พนาเอยโดยที่ประโยคหลังเน้นเสียงและหันมามองผม เหมือนประโยคหลังจะเอาไว้บอกผมคนเดียว ที่กลัวว่าผมจะทิ้งพวกเด็กๆไป

“…“ผมส่ายหน้าก่อนที่จะไม่สนใจผกก.พนาอีก หันไปทางอื่นแต่หูก็ยังคงฟังสิ่งที่เขาพูดจนจำได้หมดทุกคำพูด แต่ก็ไม่วายแว้งมากัดผมบ้างเมื่อมีโอกาส ผมที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่กำหมัดกัดฟันข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel