บทที่ 4
เสียงผู้หญิงด่าทอดังแว่วมาแต่ไกลทำให้นักบวชฝึกหัดที่เพิ่งถูกรับตัวเข้ามาในวิหารหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็เห็นผู้กล้าคนที่เก้าแห่งแมนไคน์กำลังเดินมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนเจ้าของเสียงหนวกหูก็คือนักบวชศักดิ์สิทธิ์ที่ตามมาต่อว่าอย่างไม่ลดละเนื่องจากชายหนุ่มไม่ยอมเชื่อฟัง
“ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่า ท่านเป็นผู้กล้านะ นอกจากปราบจอมมารแล้ว ท่านต้องช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน สัตว์อสูรพวกนั้นสร้างปัญหาให้ชุมชนที่อยู่ห่างไกล ท่านควรไปกำจัดพวกมันเดี๋ยวนี้ ถ้าได้ยินแล้วก็หันกลับมา หยุดเดินหนีสักที ถ้าท่านยังไม่หยุด ข้าจะถือว่าท่านเป็นคนขี้ขลาด ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชาย!”
“เจ้ากล้าด่าข้าเหรอ” ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันกลับมาจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ถึงเขาจะไม่ฟังแต่ก็ไม่ค่อยใช้คำพูดตอบโต้คนอื่น ทว่าคราวนี้เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ
“นังไพร่ปากดี ด่ามันเลย!” วิญญาณจอมมารตนแรกที่ยังป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเลโอนาร์ดก็ส่งเสียงยุยง เหตุการณ์ผู้กล้าตีฝีปากกับนักบวชศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เห็นง่าย ๆ อย่างนี้ต้องสนับสนุน
“เฮเมร่า ถ้าเจ้าเห็นว่าควรไปช่วยคนพวกนั้นแล้วทำไมเจ้าไม่ไปช่วยเองซะล่ะ อีกอย่างสัตว์อสูรพวกนั้นทำร้ายคนหรือยัง เท่าที่ข้ารู้ มันก็แค่หากินตามประสาของมัน ทำไมจะต้องกำจัดด้วย ไม่สู้หาทางอยู่ร่วมกันดีกว่าเหรอ เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยหรอก คนพวกนั้นก็มีมือมีเท้า หัดพึ่งตัวเองซะบ้าง ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ค่อยบอก ข้าถึงจะช่วย!”
“ก็ท่านทำตัวแบบนี้ไง ผู้อาวุโสถึงเอือมระอากันหมด หัดทำตัวเป็นคนว่านอนสอนง่ายไม่ได้หรือไง แล้วก็ไม่ต้องหาข้อแก้ตัวเลยนะ ขี้ขลาดก็บอกมาเถอะ”
“ถ้าข้าขี้ขลาด เจ้ากับผู้อาวุโสก็ไม่ต่างกันหรอก เอะอะก็โยนให้ผู้กล้า ตัวเองมีแต่นั่งรอดูเฉย ๆ เก่งจริงไม่มาทำเองล่ะ หรือว่าจริง ๆ แล้วทำไม่ได้ล่ะสิ!”
“เลโอนาร์ด คลาริเบล!”
“ทำไม แทงใจดำเหรอ จะบอกอะไรให้นะ สิ่งที่พวกเจ้าควรสนใจคือการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ถึงส่วนใหญ่ข้าจะนั่งโง่ ๆ อยู่ในห้องหนังสือ แต่ข้าก็ยังรู้จักหาข่าวสารและนั่นทำให้ข้ารู้ว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์มีรายได้จากการเก็บค่าเช่าที่ดินและภาษีของประชาชนแต่ส่วนใหญ่เอามาพัฒนาความสวยงามและความสะดวกสบายของนักบวช แทนที่จะเอาไปทำอย่างอื่นให้เกิดประโยชน์อย่างโบสถ์ในพื้นที่ห่างไกลที่ต้องการกำลังทรัพย์ไปช่วยเหลือคนยากไร้ ทำไมพวกเจ้าไม่สนใจตรงนี้บ้าง วัน ๆ เอาแต่ตกแต่งวิหารแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา สักวันพายุเข้า หลังคาปลิว ของพวกนั้นก็พังเหมือนเดิม”
“...” เฮเมร่าถึงกับเถียงไม่ออกเมื่อถูกต่อว่ายาวเหยียด ส่วนเลโอนาร์ดก็ยืนหอบเนื่องจากใช้พลังเสียงเยอะมาก แถมยังร่ายยาวชนิดที่ไม่พักหายใจ และคำพูดของเขาก็ทำให้คนงานที่กำลังปูกระเบื้องวิหารใหม่ถึงกับหลุดสะดุ้งเป็นทิวแถว
“ข้าจะกลับห้องแล้ว” ชายหนุ่มตัดบทแล้วรีบเดินหนีเพราะไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกับคนอื่น ทางด้านคนงานที่มาตกแต่งวิหารและนักบวชฝึกที่เพิ่งเข้ามา พอเห็นอีกฝ่ายชำเลืองมองจึงรีบหันหน้าหนีอย่างพร้อมเพรียง
“ด่าได้ดี”
“หุบปาก” เลโอนาร์ดสบถไล่วิญญาณตามติดที่ลอยไปลอยมารอบกาย ความหงุดหงิดในใจเริ่มพุ่งสูงขึ้น และยิ่งโมโหมากกว่าเดิมเมื่อระหว่างทางกลับห้องซึ่งต้องผ่านบริเวณห้องเก็บเอกสาร นักบวชสองสามคนที่อยู่ในนั้นก็กำลังจับกลุ่มนินทาเขาพอดี
“ช่วงนี้ท่านผู้กล้าทะเลาะกับท่านนักบวชศักดิ์สิทธิ์บ่อยมาก”
“จะว่าไปแล้ว ท่านผู้กล้าก็หัวแข็งมากนะ ไม่ยอมเชื่อฟังใครง่าย ๆ เลย”
“ข้าเคยอ่านเจอในบันทึกเก่า ๆ ผู้กล้าเลโอนาร์ดเป็นสุภาพบุรุษ ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังคนรอบข้าง ไม่แข็งกระด้างต่อต้านใคร เห็นว่าออกจะซื่อบื้อด้วยซ้ำ ปฏิเสธใครก็ไม่เป็นถึงได้ช่วยงานคนนั้นคนนี้ไปทั่วตั้งแต่งานเล็ก ๆ เหมือนจิ้มฟันยันงานใหญ่เท่าช้าง”
“แต่ผู้กล้าเลโอนาร์ดที่อยู่กับเราตอนนี้ไม่เห็นเหมือนที่เขียนในบันทึกเลย”
“นั่นสิ ใครหน้าไหนก็คุมไม่ได้ เถียงคือเถียง ทะเลาะคือทะเลาะ แรก ๆ ก็ยังเงียบ ๆ อยู่ แต่หลัง ๆ นี่พร้อมบวกอย่างไม่เกรงกลัว ข้าล่ะสงสัย นี่ใช่ผู้กล้าจริงหรือเปล่า สองพันปีก่อน จอมมารโอดิสเซียสคงไม่ได้เอาบุคลิกตัวเองยัดใส่ผู้กล้าหรอกนะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นคงขำน่าดู ผู้กล้ากับจอมมารติดอยู่ในร่างเดียวกัน ฮ่า ๆๆๆ”
“คงได้ตีกันแย่งร่างแหง ๆ ฮ่า ๆๆๆ”
“ฮ่า ๆๆๆ” เสียงหัวเราะอีกเสียงดังแทรกขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้มาใหม่ นักบวชทั้งสามกลืนคำพูดตัวเองลงคอแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาในห้อง “สนุกมากไหม”
“ผะ...ผู้กล้าเลโอนาร์ด”
“พวกเจ้าเป็นเวรเฝ้าห้องหนังสือใช่ไหม แล้วทำไมไม่ทำงาน ดูที่ชั้นหนังสือสิ วางกองรวมกันไม่เป็นระเบียบแบบนี้ ใครเขาจะอยากอ่าน ถ้ามีคนจากในวังผ่านมาเห็นแล้วมองว่าเราเป็นพวกไร้ระเบียบ อย่างนี้จะให้คนทั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์เอาหน้าไปไว้ที่ไหน หุบปากและทำงานกันได้แล้ว!” กล่าวจบ ทั้งสามคนก็วิ่งแยกย้ายไปทำงานอย่างขยันแข็งทันที เลโอนาร์ดพ่นลมหายใจยางจากนั้นก็เดินออกจากห้องหนังสือไปอย่างหงุดหงิด
เดินไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มก็มาถึงห้องพักของตัวเองโดยสวัสดิภาพ ร่างสูงถอนหายใจยาวจากนั้นก็ไปหยิบหนังสือที่กองรวมอยู่บนโต๊ะมาอ่านต่อ วิญญาณจอมมารยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ โอดิสเซียสหายตัวไปนั่งไขว่ห้างบนชั้นวาง สายตาก็จับจ้องเนื้อหาในกระดาษที่เลโอนาร์ดสนใจ
“คิดจะหาทางรักษาเหรอ”
“ข้าเป็นมนุษย์อยู่ดี ๆ เจ้าก็หาเรื่องทำให้ข้าเปลี่ยนไป มิน่าล่ะ พลังศักดิ์สิทธิ์ถึงมีปัญหา” เจ้าของห้องสบถอย่างหงุดหงิด ทว่ากลับได้เสียงหัวเราะของคนฟังมาแทน
“เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย” ประโยคนั้นทำให้ผู้กล้าหนุ่มละสายตาจากตำราการกลายร่างจากมนุษย์เป็นสิ่งอื่น เขาจ้องหน้าวิญญาณจอมมารซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้า ส่วนคนถูกมองก็หัวเราะอย่างไม่น่าไว้ใจ
“หมายความว่าไง”
“หาวิธีรักษาให้ตาย เจ้าก็เป็นมนุษย์ไม่ได้หรอก สุดท้ายเจ้าก็ต้องเป็นปีศาจ อีกอย่างเจ้าจะได้อยู่กับเอราเคียสุดที่รักได้อย่างสบายใจ แบบนี้ไม่ดีเหรอ”
“...”
“คิดดูให้ดี ๆ ถ้ายังอยากจะเป็นผู้กล้าต่อไป เจ้ากับนางก็เหมือนเส้นขนานที่บรรจบกันไม่ได้ สักวันไม่เจ้าก็นางที่จะต้องตาย และข้าก็รู้ว่าเจ้าคงยอมไม่ได้ แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเพราะมันหาเรื่องเจ้าตลอด ถ้าเจ้าเลือกเอราเคีย ข้าจะช่วยเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เลือกนาง สักวันไม่เจ้าก็นางที่จะตาย” ข้อเสนอของโอดิสเซียสทำให้ชายหนุ่มลังเล เขาอยากอยู่กับเอราเคียแต่ขณะเดียวกันก็ไม่ไว้ใจคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าจอมมารตนนี้จะมาไม้ไหนกันแน่
“ข้า...”
“ข้าบอกแล้วไงว่าจะช่วย” คนพูดเหยียดยิ้มพลางยื่นมือมาให้ เลโอนาร์ดมองทั้งที่กำลังคิดอย่างสองจิตสองใจ เขาควรเป็นผู้กล้าต่อไปหรือขอความช่วยเหลือจากศัตรูเก่าคนนี้ดี
เขาควรเชื่อโอดิสเซียสหรือเปล่า
