On going
“ฝากลุงดำเอากระเป๋าไปเก็บก่อนแล้วกัน เล็กจะไปหาหนูมารีก่อน” ภาษาใต้ของเธอยังคงคล่องแคล่ว แม้สำเนียงจะฟังไม่ลื่นไหลก็ตาม ลุงดำเพียงพยักหน้าแล้วบอกว่าหนูมารีที่เธออยากพบคงนั่งเล่นกองทรายอยู่ริมหาด
แน่นอนว่าเธอไม่ชอบทราย จริงๆแล้วมีอะไรที่ไม่ชอบหลายอย่างตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งเธอจะไม่เสียเวลาไล่เรียงหาเหตุผลที่มาของความไม่ชอบเหล่านั้นหรอก เธอก้าวช้าๆไปตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินพลางสังเกตว่าพี่ชายก่อร่างสร้างเกสต์เฮ้าส์ที่เขาฝันอยากจะทำมาตั้งแต่นมแตกพานได้อย่างที่เขาปรารถนา การตกแต่งทุกรายละเอียดบอกถึงความเอาใจใส่และตั้งใจ กระทั่งเสาไม้แกะสลักเป็นรูปหัวหน้าเผ่าอินคาที่ตั้งเรียงรายเพื่อประดับไฟทางก็ยังบอกถึงความชอบของเขาได้เป็นอย่างดี เธอเดินผ่านบังกะโลสองหลังที่หน้าตาคล้ายบ้านดินมีระเบียงครึ่งวงกลมไว้นั่งรับลม เลาะไปตามทางเดินที่คดแคบมีต้นจั๋งและหมากเขียวรอบล้อม เดินลึกเรื่อยเข้าไปจนถึงแนวรั้วซึ่งมีประตูไม้สูงแค่เอวคล้ายที่กั้นคอกสัตว์ เบื้องหน้านั้นคือชายหาดและทะเลกว้าง เธอเดินผ่านประตูนั้นออกไปเหยียบพื้นทรายละเอียดที่ยังคงอุ่นจัด ไอแดดระยิบระยับจับอยู่เหนือเกลียวคลื่น ถัดออกไปไม่ใกล้ที่ใต้ร่มมะพร้าวมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ ร่างของหญิงท้วมผู้นั้นนั่งผินหน้าออกทะเลอย่างตั้งใจ เธอรู้ดีว่าทุกความตั้งใจของหญิงผู้นั้นถูกส่งพุ่งตรงไปยังร่างเล็กจ้อยของเด็กหญิงที่นั่งก่อกองทรายอยู่ริมหาด เธอก้าวเท้าเดินต่อไปแต่เสียงเหยียบกิ่งไม้หักทำให้หญิงท้วมที่นั่งผินหลังอยู่หันกลับมามอง หล่อนลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเธอ จากนั้นสิ่งที่ตามมาคือเสียงร้องไห้
“น้องเล็ก น้องเล็กกลับมาแล้ว กลับมาบ้านเราแล้ว”ป้าสำราญคู่ทุกข์คู่ยากของลุงดำยังคงร้องไห้และกอดเธอ ซึ่งลึกๆแล้วยากจะบอกได้ว่าหยดน้ำตาเหล่านั้นมีที่มาจากความดีใจหรือเศร้าโศกกันแน่ ในเวลานี้เรื่องที่น่ายินดีเชื่อว่าคงมีไม่มากนักหรือก็อาจจะไม่มีหลงเหลืออยู่ในพื้นที่แห่งนี้เลยก็ได้
“หนูมารีเป็นยังไงบ้างจ๊ะป้า” ป้าสำราญเงยหน้าจมคราบน้ำตาขึ้นมามองกัน พวงแก้มหย่อนย้อยและริ้วรอยปรากฏเด่นชัดบอกถึงวัยวารที่ล่วงผ่านวันเวลามาไม่น้อย ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านไปเด็กๆเติบโตขึ้นขณะที่ผู้ใหญ่ที่เคยเลี้ยงดูห่วงใยเราก็แก่ลง ในม่านน้ำตาป้าสำราญยังคงมีรอยยิ้ม
“น้องยังเด็กอยู่มาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร วันๆเอาแต่นั่งเล่นริมหาดมองไปทางทะเลเหมือนรอพ่อแม่กลับมา” ซึ่งพี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอจะไม่กลับมาอีกแล้ว ป้าสำราญสะอื้นโฮอีกครั้งปากก็พร่ำพูดแต่ว่าสงสารมารีเหลือเกินจนเธอต้องลูบหลังปลอบใจอีกรอบ
“ขอเล็กคุยกับหนูมารีได้มั้ย”
“น้องฟังภาษาใต้ไม่รู้เรื่องนะ” ป้าสำราญกระซิบบอกกัน เตือนเรื่องการสื่อสารกับเด็กน้อยลูกครึ่งไทย-นิวซีแลนด์ ทายาทคนเดียวของพี่ชายเธอ หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะขยับเท้าเดินตรงไปที่ร่างเล็กจ้อยที่กำลังง่วนอยู่กับการใช้พลั่วพลาสติกอันเล็กๆขุดลงไปในผืนทราย สีหน้าของเด็กน้อยเรียบเฉยไม่ปรากฏรอยยิ้ม เรียวปากบางหยักกับจมูกกระจุ๋มกระจิ๋มน่าหยิก ผิวบางใสและเส้นผมสีอ่อนม้วนขดเป็นลอนบอกยี่ห้อชาวต่างชาติได้อย่างชัดเจน
“มารี มารีจ้ะ” เธอร้องเรียก หนูน้อยเพียงหันมามองกัน นัยน์ตากลมโตสีฟ้าสว่างสะท้อนกับเงาแดดระยิบระยับ หนูมารีคงจะได้สีตามาจากแม่หากแต่แววตาเช่นนั้นมันเป็นของพี่ชายเธอไม่ผิดเพี้ยน คนตัวเล็กแก้มยุ้ยไม่ได้ให้ความสนใจกันนานกว่านั้น เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรต่อมารีก็หันไปวุ่นวายกับพลั่วพลาสติกของตนเหมือนเดิม
“หนูมารี อาเป็นน้องของพ่อหนูนะ เอ่อ แด๊ดน่ะ อาเป็นน้องของแด๊ดดี้” น้ำเสียงของเธอเริ่มพร่าสั่น ก็ไม่รู้ว่าจะทนได้อีกกี่นานกับการต้านทานความอ่อนแอที่กำลังรุกคืบใกล้เข้ามาทุกที หนูมารีหยุดหันมามองกันอีกครั้ง สาวน้อยในวัยสองขวบอาจจะยังไม่ทันได้เรียนรู้ว่าอะไรคือความหมายของ “อา” แต่ไม่มีทางที่เด็กจะไม่สนใจคำว่าพ่อ
“แด๊ด” เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้น นัยน์ตากลมจ้องกันแป๋วแหววอวดแพขนตางอนอ่อนช้อยราวกับตุ๊กตาบาร์บี้
“ใช่ อาเป็นน้องสาวของแด๊ด อาชื่อมุสิก”
“แด๊ด มัม” เด็กน้อยยังคงให้ความสำคัญอยู่แค่เรื่องเดียว พูดออกมาแล้วก็ทำท่าชี้ไปที่ทะเลเบื้องหน้ามุสิกร้องไห้ในตอนนั้นเอง เธอคว้าร่างเล็กๆของหลานสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวมาไว้ในอ้อมกอด ในใจรู้ดีว่าหนูมารียังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่และไม่รับรู้ด้วยว่าพ่อกับแม่ของตนได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาได้อีกแล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆหากแต่ความเดียงสาของมารีคือเกราะชั้นเยี่ยม มันช่วยป้องกันไม่ให้เรื่องเลวร้ายใดๆเข้าไปทำลายความรู้สึกอ่อนโยนบอบบางของเด็กน้อยลงได้ และความแข็งแกร่งจากร่างเล็กจ้อยนี้ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่มุสิกต้องการมากที่สุดในเวลานี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพตรงหน้านั้นงามไร้ที่ติ แม้ในใจของมุสิกจะยังคงต่อต้านและย้ำวนเวียนอยู่ในสมองว่างเปล่าในทุกวินาทีว่าที่นี่มีแต่สิ่งที่เธอไม่ชอบ ทว่าภาพท้องฟ้ายามเย็นเหนือท้องทะเลกว้างใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าตอนนี้อาจเป็นข้อยกเว้น แก้ววิสกี้ในมือพร่องไปเกือบหมดขณะที่เธอเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้วบางส่วน ท้องฟ้าแดงฉานเปลี่ยนเป็นสีครึ้มเข้มอย่างรวดเร็ว อาทิตย์ดวงใหญ่หลบเร้นอยู่ใต้หมู่เมฆเตรียมบอกลาหน้าที่ของวันนี้อย่างสมบูรณ์ หญิงสาวได้แต่ยืนกอดอกซุกปลายมือข้างที่ว่างอยู่กอดร่างของตัวเองไว้หลวมๆเพื่อเรียกความอบอุ่นแต่กระนั้นก็ยังช่วยไม่ได้มาก วิสกี้ดีที่สุดในเวลาเช่นนี้ ถึงมันจะไม่ดีต่อสุขภาพก็เถอะ ความทรงจำที่เธอไม่ควรจะคิดถึงมันจู่ๆก็หวนกลับเข้ามาทักทายกันอีกครั้ง เวลาผ่านไปนานหลายปีแต่ก็ยังนานไม่พอให้ลืมเรื่องที่ไม่อยากจำ
“น้องเล็กจะไปนอนห้องหนูมารีมั้ย” ภาษาถิ่นสำเนียงใต้ของป้าสำราญปลุกเธอออกจากความคิด มุสิกเหลือบสายตามองตาข่ายดักฝันที่แขวนอยู่ตรงกรอบหน้าต่างทรงสูง มันเป็นของตกแต่งที่พบเห็นอยู่ทั่วไปหมดในพื้นที่โถงทรงกลมที่เป็นล็อบบี้ต้อนรับแขกในเกสต์เฮ้าส์แห่งนี้ เธอละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องนอกที่เห็นขอบฟ้าจรดขอบน้ำอยู่ลิบๆ แสงสุดท้ายวูบหายไปแล้ว และวิสกี้อึกสุดท้ายก็หายวับตามไปด้วย
“ไม่ค่ะ”
“ไปกินข้าว ป้าทำกับข้าวไว้เต็มเลย มีต้มปลากระบอกของชอบน้องด้วย ไปต่ะ” ป้าสำราญไม่ว่าเปล่า เดินเข้ามาใกล้แล้วแย่งแก้วเปล่าเจือกลิ่นเหล้าไปถือไว้เอง ร่างอวบอุ้ยอ้ายของป้าสำราญเดินโอบเอวบางของมุสิกเอาไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะหล่นร่วงปลิวหายไปจากแก เมื่อเดินผ่านเคาน์เตอร์บาร์ของล็อบบี้ไปด้านหลังมีประตูอีกบานที่เปิดทะลุไปสู่ส่วนเรือนชานเชื่อมต่อกับตัวอาคารหลักที่เป็นที่พักอาศัย ความคุ้นเคยกระแทกกระทั้นถาโถมเข้ามาในความคิดของเธอระลอกแล้วระรอกเล่าจนรู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก มุสิกหยุดเท้าที่ตรงจุดสิ้นสุดเรือนชานโล่งซึ่งมีบันไดสามขั้นรออยู่ตรงหน้าเหนือขึ้นไปบนนั้นคือประตูไม้ลั่นดานหน้าจั่วที่ตั้งประจัญหน้ายืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงสะท้อนจากโคมไฟสีนวล เธอจำมันได้ และมันก็จำเธอได้ ป้าสำราญประคองหลังกันไม่ห่างผลักเบาๆเพื่อให้เธอเดินต่อซึ่งเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วมุสิกก็ไม่มีทางเลือกอื่น
เธอก้าวเท้าเชื่องช้าจากบันไดขั้นที่หนึ่ง สอง สาม และยื่นมือออกแรงผลักเบาๆที่บานประตูหน้าเก่านั้นไม้สองแผ่นกางแยกออกจากกันเผยให้เห็นตัวบ้านที่ซุกซ่อนอยุ่ด้านหลัง แม้ในความสลัวของแสงไฟแต่ทุกร่องรอยของสถานที่แห่งนี้ยังคงชัดเจน มุสิกยืนนิ่งนึกถึงน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของพ่อซึ่งเหมือนยังก้องสะท้อนอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วของพื้นที่ที่เธอยืนเหยียบ แทรกซึมอยู่ในทุกแผ่นกระเบื้องเย็นเยียบ ผนึกแน่นอยู่ในทุกเกลียวน็อต มันถูกลั่นดานฝังแน่นอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่เคยจากหายไปไหน
“น้องเล็ก กินเยอะๆ” ป้าสำราญพาเธอเข้ามาในบ้านตั้งแต่ตอนไหนไม่ทันรู้ตัว เหลือบมองตรงหน้าอีกทีก็พบว่ามานั่งแหมะอยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว กับข้าวกับปลาที่เคยเห็นสมัยเด็กวางเรียงอยู่ตรงหน้า มีลุงดำยืนอยู่ข้างป้าสำราญ สีหน้าและแววตาของทั้งคู่ช่างไม่แตกต่าง มันเจือปนไปด้วยความรู้สึกหลากหลายยากคาดเดา
“ไม่กินด้วยกันล่ะคะ”
“น้องกินต่ะ กิน” ป้าสำราญยังคงยืนกรานและเพียรตักกับข้าวมาให้ช้อนแล้วช้อนเล่าขณะที่ร้องไห้ไปด้วย
“ร้องไห้อยู่อย่างนี้น้องเล็กจะกินข้าวลงมั้ย หยุดต่ะ” เสียงลุงดำเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเมียรักชักจะเตลิดไปใหญ่ แต่พอมุสิกเงยหน้าไปมองก็เห็นว่าใบหน้าเข้มขรึมของลุงดำก็มีน้ำตาไหลเป็นทางอยู่เหมือนกัน เธอถอนใจ ส่ายหน้ากับตัวเองแล้วก็ได้แต่กุมขมับ
“นั่งลงทั้งคู่เลย เล็กมีเรื่องที่ต้องการรู้และลุงดำกับป้าสำราญก็มีหน้าที่เล่าทุกอย่างให้เล็กฟัง จะว่าสั่งก็สั่ง ตักข้าวค่ะ”
