Chapter 01
เสียงแก้วกระทบพื้นปลุกเธอให้ตื่น มุสิกตกใจไปชั่วขณะเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบตัวเองอยู่ในห้องคุ้นเคยที่ห่างหายจากกันไปนานหลายปี เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นยังคงสภาพเดิมดูราวกับเป็นของใหม่เพิ่งแกะกล่องออกมาใช้ได้ไม่นาน สายตาเบิกโพลงจ้องนิ่งที่ภาพแขวนบนผนัง แมวสีสวาดที่เขียนด้วยเทคนิคสีน้ำมันบนแคนวาสยังคงนอนขดนิ่งไม่ไปไหน เวลาผ่านไปหลายปี การสูญเสียพี่ชายพาเธอกลับมาที่ห้องนี้ มานั่งจ้องภาพแมวสีสวาดตัวนี้อีกครั้งดึกมากแล้วขณะที่เธอนั่งใช้ความคิดอยู่กับวิสกี้ที่พร่องไปครึ่งขวด ความเหนื่อยล้าทำให้เผลอวูบหลับจนทำแก้วหลุดมือ ของในกระเป๋าถูกทยอยเอาออกมาอย่างพิรี้พิไรด้วยเพราะยังลังเลที่จะตอบตัวเองว่าจะอยู่ที่นี่นานเท่าไร เธอยังคิดไม่ออกว่าจะตัดสินใจอย่างไรกับที่นี่ไม่ว่าจะเป็นของหรือคน โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่สุดที่ป่านนี้คงจะนอนดูดนิ้วหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราวอะไร ทางเลือกไม่ได้มีมากนัก โดยเฉพาะกับผู้หญิงตัวเล็กๆตัวคนเดียวเช่นเธอ คนทั้งเกาะก็คงจะคิดเช่นนี้ เธอก็แค่หญิงสาวที่หายไปนานจนเรียกได้ว่ากลายเป็นคนที่อื่นไปแล้วนั้นจะจัดการปมปัญหาที่เกิดจากพวกมีอิทธิพลในเกาะเล็กๆนี้ได้อย่างไร นี่ไงล่ะเธอถึงไม่ชอบ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอ ไม่มีเลยจริงๆ
มุสิกขยับอีกครั้ง คราวนี้เปิดกระเป๋าหยิบแล็ปท็อปออกมาเชื่อมต่ออินเทอร์เนตผ่าน Wi-Fi ซึ่งสัญญาณแรงท้วมท้นเหมาะแก่การไลฟ์สดเป็นอย่างมาก เธอเข้าไปส่องในเพจเดอะเกสต์เฮ้าส์ของพี่ชาย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ข้อความสุดท้ายที่เธอเข้าไปแสดงความคิดเห็นใต้รูปภาพที่เขาโพสต์ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใครมากดชื่นชอบหรือหลงรัก เธอน่าจะเอะใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าทำไมเขาถึงเงียบไปทั้งๆที่ทุกครั้งเขาจะกระตือรือร้นเสมอเมื่อเห็นข้อความจากเธอ มุสิกจ้องมองภาพทะเลยามพระอาทิตย์ตกภาพนั้น ท้องฟ้า ผืนน้ำ ผืนทราย ทุกอย่างเป็นสีเหลืองสุกปลั่งอย่างกับใครเททองลงไปในทะเล มีแคปชั่นใต้ภาพเป็นข้อความสั้นๆว่า ...พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว...
เธออ่านทวนย้ำข้อความนั้นซ้ำวนเวียนเป็นร้อยๆรอบ เพราะอะไรทำไมเธอถึงไม่คิดโทรหาเขาในเวลานั้นเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ หรือไม่ก็แค่บอกเขาว่าอย่าเอาเรือออกไปขับ เธอน่าจะรู้ว่ามันมีอะไรแปลกๆกับเขา น่าจะเดาได้ด้วยสัญชาติญาณว่าอะไรไม่ชอบมาพากลกำลังเกิดขึ้น แต่สุดท้ายที่เธอก็ทำเพียงแค่ไปแสดงความเห็นใต้ภาพภ่ายพระอาทิตย์ตกของเขาเท่านั้นเอง
“เขามาคุยหลายหน ก็ไม่รู้เรื่องอะไร ครั้งสุดท้ายพี่โมโหคว้าปืนลุงห้ามเกือบไม่ทัน” คำบอกเล่าของลุงดำเมื่อช่วงค่ำกระตุกความคิดของเธอไม่น้อย ดูเหมือนช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเมื่อเกสต์เฮ้าส์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างพี่ชายก็กลายเป็นที่จับตาของกลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์ คนอย่างพี่ที่ถอดแบบพ่อมาทุกกระเบียดนิ้วนั้นมุสิกรู้ดีว่าเขาจะโต้ตอบพวกที่มาวางท่าใส่เขาอย่างไร เรื่องราวอาจบานปลายจนรอยร้าวขยายวงไปไกลเกินกว่าจะจินตนาการได้ เธอไม่รู้ว่าพี่ทำอะไรลงไปบ้างแต่มันคงต้องเป็นสิ่งผิดพลาดและโง่เง่าจนทำให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นมาในตอนนี้
“เรือระเบิดตอนออกไปห่างฝั่งได้ไม่ไกล ไฟไหม้ไปหมด อย่าว่าแต่คนแม้แต่ซากเรือก็แทบไม่เหลือ” มุสิกร้องไห้อีกครั้ง คว้าขวดวิสกี้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมากระดกลงคอ นึกถึงภาพไฟลุกท่วมเรือยนต์ของพี่ชายที่แม้แต่ซากเรือก็แทบไม่เหลือให้เห็น
“พี่จะให้เล็กทำยังไงกับเรื่องพวกนี้ พี่ทำกับเล็กอย่างนี้ได้ยังไง” เสียงคร่ำครวญของเธอครางกระซิกอยู่เหนือหัวเข่าของตนเมื่อใบหน้าเปื้อนน้ำตาซุกสะอื้นอยู่ในอุ้งมือทั้งสอง ความเสียใจท้วมท้นทะลักทลายไม่อาจฝืนกลั้น วันที่เธอไปจากบ้านความเศร้าโศกเสียใจไม่ได้น้อยไปกว่านี้หากแต่มันล้นเปี่ยมด้วยความโกรธและชิงชัง มาวันนี้ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่มาเหยียบมันอีกแต่เธอก็กลับมาที่นี่ กลับมาด้วยความรู้สึกเดิมที่มันเพิ่มขึ้นทบเท่าทวีคูณ
มุสิกหลับยาวจนถึงเช้าและฝันถึงวันนั้นที่มีปากเสียงกับพ่อ ในฝันเธอทุ่มเถียงตัดพ้อเขาเรื่องที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของเธอ พ่อมีกรอบกฏเกณฑ์มากมายและอะไรหลายๆอย่างที่มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเกินกว่าจะดำเนินชีวิตใต้เงาหลังคาบ้านหลังนี้ พี่ชายส่งเสียงห้ามปรามอยู่เบื้องหลังและพยายามดึงเธอให้ออกไปจากห้องนั้นเสีย พ่อจ้องมองเธอด้วยแววตาบึ้งตึ้ง สีหน้าขุ่นเคืองเอาแต่ส่ายหัวปฏิเสธทุกถ้อยคำที่ออกจากปากของเธอ นอกจากไม่เข้าใจกันแล้วพ่อยังไม่เคยยอมรับอะไรเลย เขายกมือขึ้นโบกไปมากลางอากาศราวกับว่าคำพูดของเธอนั้นเหมือนแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญ
“ไม่ต้องพูด แค่ทำตามที่บอกมันยากอะไรนักหนา”
“พ่อไม่มีเหตุผล”
“เหตุผลพ่อบอกแกไปแล้ว”
“ไอ้เรื่องงี่เง่าอย่างนั้นนะเหรอเหตุผล เป็นแม่จะไม่ทำอย่างนี้แน่ๆ พ่อเผด็จการเอาแต่บังคับๆๆ”
“ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!” น้ำเสียงกร้าวเอ่ยออกมาดังลั่น มุสิกผวาตกใจตื่น แววตาโกรธกริ้วของพ่อยังคงย้ำชัดอยู่ในความรู้สึก แสงสว่างส่องผ่านหน้าต่างห้องเข้ามาจนต้องหรี่ตาเพื่อปรับความคุ้นชิน มีความรู้สึกแปลกๆที่ต้องตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องนอนเดิมในบ้านหลังเก่าของตน วิสกี้ค่อนขวดเมื่อคืนนี้ออกฤทธิ์ทันที รู้สึกปวดหัวหนึบและแสบคอไปหมด การลุกขึ้นจากเตียงกลายเป็นเรื่องยากเมื่อภาพที่รับเข้าสู่สมองเกิดหมุนติ้วๆจนทำให้อยากจะอ้วก แม้จะฝืนร่างกายขนาดไหนมุสิกก็จำเป็นต้องทำ เข้าห้องน้ำจัดการกับสภาพงวยงงของตนด้วยการอาบน้ำเย็นแต่ความรู้สึกอยากจะอ้วกก็ยังไม่หายไป
เธอลงมาชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นโถงกลาง มุมโต๊ะทำงานของพ่อยังคงตั้งอยู่ทีเดิม ส่วนพื้นที่กว้างกลางบ้านนั้นเราใช้งานสารพัดประโยชน์ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งรับแขก นั่งเล่น ชุดโต๊ะอาหารไม้เต็งโอ่อ่ายังตั้งอยู่ที่เดิมตรงด้านในที่มองออกไปด้านนอกจะเห็นบ่อปลาและสวนบอนไซดัดของสะสมของพ่อ มันเป็นกุศโลบายอันแยบยลของเขาที่เมื่อนั่งตรงโต๊ะทำงานของตนก็สามารถมองเห็นความเป็นไปของทั้งโถงชั้นล่างนี้ได้ทั่ว ไม่ว่าเธอและพี่ชายจะเล่นซน วิ่งวุ่นวาย นั่งกินข้าว หรือทำกิจกรรมอะไรก็ตามจำได้ว่าช่วงวัยรุ่นเธอใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ส่วนนี้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะมานั่งดูทีวีหรือเล่นเกมกระดานก็ต่อเมื่อพ่อไม่อยู่ในห้องส่วนช่วงวัยก่อนหน้าจะวัยรุ่นมันก็เลือนรางมากจนไม่อยากจะใส่ใจ ลุงดำนั่งรออยู่ก่อนแล้วที่ด้านนอกประตูกระจกข้างกระถางบอนไซลายจีน วันนี้แกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เก่าจนออกเหลือง มุกสิกกระชับกระเป๋าถือที่สะพายติดไหล่ สูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือกใหญ่ บอกตัวเองว่าพร้อมที่จะออกไปข้างนอกเพื่อเผชิญความจริงเรื่องการตายของพี่ชาย ลุงดำจะพาเธอไปยังที่ทำการเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นซึ่งวันนี้ตำรวจจากอำเภอจะมาสรุปคดีและรายงานผลชันสูตรให้กับญาติซึ่งก็คือเธอให้ได้รับทราบ ที่ทำการที่ว่านั้นอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือหลักของเกาะ ตลอดทางก็ยังคงมีแต่เสียงร้องทักทายลุงดำเหมือนเช่นเคย แต่ที่สะดุดความรู้สึกของมุสิกก็คือเมื่อมีใครตะโกนถามว่าไปรับแขกเกสต์เฮ้าส์ใช่ไหมลุงดำแกจะตอบว่าช่วงนี้ยกเลิกแขกไปก่อนไม่มีกำหนด
“เมื่อกี๊ลุงว่าอะไรนะ” เธอร้องถามด้วยภาษาใต้ ได้คำตอบกลับมาแทบจะในทันทีและประโยคนั้นก็เร็วจนเกือบฟังไม่ทัน
“ยกเลิกแขกไปก่อนไม่มีกำหนด พี่บอกลุงไว้ตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว”
“ปิดกิจการอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เห็นพี่ว่าจะพักไปก่อน ไม่ใช่ว่าพี่จะปิดกิจการหรอกนะน้องเล็ก” มุสิกไม่ถามอะไรต่อ ใช้ความคิดในเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงปัญหาและอะไรบางอย่างที่มันรบกวนจิตใจอยู่ลึกๆ ต้องใช้เวลาทำให้มันตกผลึกว่าสิ่งที่กวนใจนั้นคืออะไรกันแน่ รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของลุงดำเลี้ยวเข้าประตูทางเข้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเหรา สถานที่ยังดูใหม่มากซึ่งมุสิกได้คำตอบในเวลาต่อมาจากป้ายประวัติการก่อสร้างอาคารที่ใส่กรอบหลุยส์หน้าตาหรูหราเกินเหตุแขวนอยู่ที่ผนังกว้างตรงผนังด้านนอก น่าจะเป็นสถานที่ราชการเพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆแห่งนี้ซึ่งก็เพิ่งมีเกิดขึ้นได้เพียงสองปีเท่านั้นเอง มีตำรวจแต่งครึ่งท่อนสองนายยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงชานพักบันได พวกเขาเพียงชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจนักตอนเธอกับลุงดำเดินผ่าน
“นั่นไง นายดำคนของเกสต์เฮาส์” เสียงพูดคุยจอแจเงียบไปฉับพลันเหมือนทุกคนในห้องเกิดเส้นเสียงอักเสบกันขึ้นมากะทันหัน มุสิกกวาดตามองไปรอบๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจเครื่องแบบเต็มยศสามนายนั่งล้อมโต๊ะที่อยู่ด้านหลังสุดมุมห้องซึ่งถูกกั้นแบ่งพื้นที่ความเป็นส่วนตัวด้วยพาทิชั่นครึ่งกระจก ตำรวจนายหนึ่งยืนขึ้นและมองมาที่เธออย่างตั้งใจ
“เชิญทางนี้ครับ” ประโยคนั้นฟังดูไม่มีน้ำหนักอะไร แทบจะคล้ายเสียงพึมพำด้วยซ้ำแต่มุสิกก็ยังได้ยิน
หลังจากเสร็จธุระกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมุสิกบอกให้ลุงดำแวะที่ท่าเรือ เธอใช้เวลาเดินเล่นรอบๆบริเวณนั้นท่ามกลางแสงแดดยามใกล้เที่ยง คนท้องถิ่นยังคงทำประมงกันเป็นอาชีพหลัก ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คงเป็นเรือจ้างซึ่งดูเหมือนจะผูกขาดจัดการอยู่เพียงรายเดียว เธอเดินไปยืนอ่านป้ายบอกอัตราค่าจ้างเรือเพื่อไปยังเกาะอื่นๆนักท่องเที่ยวที่อยากจะมาลองสัมผัสชีวิตติดเกาะที่นี่นั้นคงต้องหาเรือมาเอง และถ้าอยากจะกลับไปใช้ชีวิตที่อื่นและบังเอิญไม่ได้พกเรือส่วนตัวมาด้วยก็ต้องควักกระเป๋าจ้างเรือจากตรงนี้ที่ราคาก็ดูเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เกสต์เฮ้าส์ของพี่ชายเธอมีบริการรับส่งจากเกาะใหญ่มาที่เกาะเหรา ส่วนหนึ่งก็เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับแขกที่ยินดีจ่ายเงินมาพักผ่อนที่เกาะไกลปืนเที่ยงอย่างนี้ เวลาผ่านไปจนเที่ยงกว่าลุงดำก็เดินมาตามเธอกลับบ้านไปกินข้าวเที่ยงก่อนที่ป้าสำราญจะโกรธ อาหารมื้อกลางวันรออยู่พร้อมกับหนูมารีที่นั่งหน้ามุ่ยกอดอกแน่น เธอเพ่งมองหลานสาวคนเดียวผ่านแววตาสีน้ำทะเลยามรุ่งสางแล้วก็หวนคิดถึงพี่ชายของตนขึ้นมาจับใจ
“มารีกินข้าวรึยังจ้ะคนเก่ง” มุสิกตรงไปหาหลานทันที แม่หนูน้อยยังคงปั้นหน้าเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือก้มหน้าและทำปากจู๋
“อะไรกันคะป้า”
“ร้องจะหาพ่อแม่” ป้าสำราญตอบด้วยภาษาใต้ซึ่งหนูน้อยฟังไม่เข้าใจหรือต่อให้เข้าใจก็คงไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากฟัง เธอจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆร่างเล็กๆที่ยังคงก้มหน้าเอามือกอดอก
“โอ้โฮดอกไม้นี่น่าหม่ำจังเลยนะ ดูสิๆ” มุสิกจิ้มไส้กรอกมินิคอกเทลที่ผ่าเป็นสี่แฉกทอดจนบานแฉ่งขึ้นมาหลอกล่อ แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ แถมแย่ลงกว่าเดิมเมื่อหนูมารีเริ่มหน้าเบ้เบะปากทำท่าจะร้องไห้
“โอ๊ะ โอเคๆ ไม่เอาไส้กรอก งั้นอะไรดี หนูมารีอยากกินอะไรจ้ะ บอกอาหน่อยซิ” เท่านั้นแหละ เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ดังลั่นโต๊ะ ป้าสำราญปรี่เข้ามาอุ้มหนูมารีออกจากเก้าอี้ กอดปลอบให้เงียบเดินวนไปรอบห้องแต่ก็ดูเหมือนสถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก เด็กร้องไห้ไปพลางร้องเรียกหาแด๊ดดี้มามี้ไม่หยุดเสียงสะอื้นเล็กๆนั่นกรีดแทงเข้าไปไปในความรู้สึกของเธอจนตัวชา
“น้องเล็กกินข้าวก่อนต่ะ ป้าจะพาหนูมารีไปเดินเล่นก่อน” ป้าสำราญพาเด็กออกไปจากห้อง ความเงียบสงบกลับมาอีกครั้ง มุสิกถึงกับถอนใจยกมือกุมขมับ เธอไม่ได้เตรียมตัวเพื่อรับมือกับเด็กมาก่อน แค่เตรียมใจรับความโศกเศร้าจากการสูญเสียก็มากเกินรับไหวแล้ว กับข้าวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมองดูน่าอร่อยและเธอเชื่อแน่ว่ามันต้องอร่อยแต่มุสิกก็ยังไม่รู้สึกหิวอะไรเลย หญิงสาวนั่งเหม่อมองออกไปที่บ่อปลาคาร์ฟเล็กๆที่ด้านนอกกระจก น้ำตกเทียมขนาดย่อมของพี่ชายช่วยเพิ่มความร่มรื่นให้กับสวนบอนไซแคระของพ่อให้ดูมีชีวิตชีวา อายุเธอสั้นลงอีกเจ็ดนาทีเมื่อต้องถอนหายใจหนักๆอีกครั้ง เธอหันมองกลับเข้าไปในห้องกว้าง ชุดโซฟารับแขกที่แปรเปลี่ยนหน้าตาดูทันสมัยขึ้นจากยุคก่อนเธอหนีออกจากบ้าน ขณะที่เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นก็ยังคงเดิมแถมด้วยร่องรอยแตกลายลอกร่อนผ่านกาลเวลา ทว่าโต๊ะทำงานตัวเก่าตัวนั้นก็ยังคงอยู่ มุสิกเดินตัดห้องข้ามกลับไปหาโต๊ะตัวนั้นซึ่งอุปกรณ์เครื่องเขียนและเอกสารต่างๆถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีคอมพิวเตอร์รุ่นจอกว้างตั้งอยู่ ลำโพงบลูทูธสองอันน้อยๆ ปริ้นท์เตอร์อิงค์เจทยี่ห้อบราเธอร์และรูปครอบครัวของพี่วางอยู่เคียงข้างรูปครอบครัวของเราที่พ่อแม่ยืนเคียงกัน พ่ออุ้มมุสิกตัวเล็กๆสวมชุดกระโปรงสีฟ้าสดใสมืออีกข้างโอบพี่ชายวัยห้าขวบเอาไว้พร้อมรอยยิ้มยินดี มรดกชิ้นสำคัญของพ่อถูกส่งต่อให้พี่ชายของเธออย่างเห็นได้ชัด เธอเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น ไม่นึกแปลกใจที่พี่ชายไม่ได้ตั้งรหัสผู้เข้าใช้เครื่อง หน้าจอตั้งภาพตนเองและภรรยาอุ้มลูกตัวน้อย หนูมารียังอยู่ในห่อผ้าและหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของแม่ผู้มอบนัยน์ตาสีฟ้าแสนสวยให้แก เธอเปิดดูไฟล์เอกสารที่ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลการจองที่พักของแขก บันทึกรับ-จ่ายอย่างง่ายที่ทำออกมาได้เหมือนบัญชีครัวเรือนของนักเรียนประถม นอกจากนี้ยังมีบันทึกการผ่อนชำระเงินกู้ธนาคาร พี่ชายลงทุนลงแรงกับเกสต์เฮ้าส์ไปไม่ใช่น้อยและมันก็ผลิดอกออกผลน่าพอใจอยู่บ้างเห็นได้จากจำนวนเงินต้นที่ลดลงถึงสามสิบเปอร์เซ็นภายหลังจากดำเนินกิจการได้สองปี มันมีเหตุจำเป็นอะไรทำให้เขาเว้นวรรคพักรับแขกไปอย่างไม่มีกำหนดทั้งที่มันกำลังไปได้สวยแถมหนี้ก็ยังต้องจ่ายทุกเดือน เธอเปิดเข้าไปในเพจของเกสต์เฮ้าส์โดยพี่ชายใช้บัญชีเฟสบุ๊คของเขาเองสร้างขึ้น นึกหงุดหงิดใจอยู่เล็กๆที่เขาไม่ตั้งรหัสล็อกอินอะไรไว้บ้างเลย หรือเพราะคิดว่าที่นี่ไม่มีใครอื่นนอกจากลุงดำกับป้าสำราญ ซึ่งพนันได้ว่าทั้งสองคนที่กล่าวมานั้นไม่มีทางแอบเปิดคอมพิวเตอร์ใช้แน่ๆเขาตั้งค่าเพจเป็นออฟไลน์ไว้ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากเจ้าของเพจมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว โพสต์สุดท้ายคือภาพพระอาทิตย์ยามเย็นเหงาๆภาพนั้น มีความเห็นเดียวซึ่งเป็นของเธอปรากฏอยู่ใต้ภาพสวยงามyou’re such a good dramatic guyhahahaเปิดดูการแจ้งเตือนข้อความทางเฟสแชทที่ถึงแม้สถานะของเพจไม่ได้ออนไลน์แต่ก็ยังคงมีลูกค้าฝากข้อความถามไถ่เรื่องข้อมูลที่พักเข้ามาสามสี่ราย มีบ้างที่บ่นเรื่องที่เขาเมล์แจ้งว่าไม่สะดวกให้บริการในช่วงระยะนี้ มุสิกเคาะนิ้วลงบนผิวโต๊ะไม้ตัวเก่า ภาพตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปรายงานผลชันสูตรและพิสูจน์หลักฐานเมื่อช่วงเช้ายังวนเวียนอยู่ในความคิด
“เครื่องยนต์ขัดข้องและสายน้ำมันรั่วทำให้เกิดระเบิดไฟไหม้ ผู้ตายเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ รายละเอียดและหลักฐานตามเอกสารนี่ครับ ญาติตรวจสอบให้เรียบร้อย หากไม่มีข้อขัดแย้งก็ให้เซนชื่อตรงนี้ครับ” เธอไม่ได้เปิดแฟ้มพวกนั้นดูเลยด้วยซ้ำ ถ้อยคำที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นเอ่ยออกมามันก็เหมือนสายลมแว่วผ่านไปไร้ความหมาย ขณะที่เธอนั่งนิ่งหันสายตาออกไปเบื้องนอกที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นคนอื่นๆตั้งใจจดจ่อคล้ายรอฟังว่าเธอจะเอ่ยอะไรออกมา มุสิกเพียงหันไปมองลุงดำที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้พักคอย แววตาอาทรหม่นเศร้าไม่จางหาย ลึกลงไปกว่านั้นเธอรับรู้ได้ถึงคำอ้อนว้อนที่เงียบงัน ลุงดำจ้องมองเธออยู่ไม่วางตาอย่างห่วงใยเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งวัยเยาว์ที่พ่อมักจะสั่งลุงดำคนสนิทเอาไว้เสมอว่า “อย่าให้คลาดสายตา” เธออ่านสายตาเป็นห่วงเหลือกำลังคู่นั้นก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง
“ขอปากกาด้วยค่ะ”
