Beginning
เธอไม่เคยชอบนั่งเรือ ไม่ชอบลมทะเลกระพือพัดแรงๆที่ทำให้เหนียวหน้าเหนียวตัวเส้นผมพันกันยุ่งเหยิงจับตัวกันเป็นก้อนกลุ่มใจไหม ไม่ชอบกลิ่นอากาศที่แฝงไอเค็มชวนแสบคอ ไม่ชอบคลื่นโยนไหวที่มันทำให้รู้สึกคลื่นไส้เวียนหัวอะไรอีกนะที่ไม่ชอบ อ่อ ทราย ใช่ๆ เม็ดทรายละเอียดที่เข้าไปติดอยู่ในทุกมุมหลืบเร้นของรองเท้า ซอกนิ้ว ปลายเล็บ บลาบลาบลา ทะเลไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยแบบชั่วนาตาปี มองไปก็มีแต่ฟ้า น้ำเค็มๆ และเม็ดทรายน่ารำคาญ นี่ล่ะถึงไม่อยากอยู่บ้าน ถึงแม้เธอจะเกิดที่นี่ ใช้เวลาช่วงหนึ่งของชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นอยู่ที่นี่ แต่บ้านบนเกาะที่อยู่กลางทะเลไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยแบบชั่วนาตาปี นี่ขณะที่คิดอยู่ก็ยังรู้สึกเหนียวตัวจนหงุดหงิด ให้ตาย เธอไม่ชอบเลยจริงๆนะเนี่ย เรือโคลงอีกครั้ง คราวนี้โยกเยกไปมาจนเด็กสาวนักศึกษาที่มากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ร้องวี้ดว้าย นี่อีกที่น่ารำคาญพอๆกับเม็ดทรายในรองเท้า ช่วงโลว์ซีซั่นทะเลแถบนี้จะมีมรสุมแต่ก็ล่อตาล่อใจนักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดงบแม้ต้องแลกกับการนั่งเรือฝ่าคลื่นลมแรง ท้องฟ้าแดดจัดก็จริงแต่ก้อนเมฆก็ลอยเกะกะรกสายตาไปหมด
เสียงกรี๊ดกร๊าดเงียบลงแล้วแต่มีเสียงโอ้กอ้ากโก่งคออ้วกของนักศึกษาสาวเข้ามาแทน เธอได้แต่ขยับแว่นกันแดดแล้วก็เบือนหน้าออกไปทางกราบเรือ ไม่มีอะไรประเทืองหัวใจ มองไปทางไหนก็น้ำ ฟ้า เค็ม ร้อน เหนียว นี่เธอไม่ชอบเลยจริงๆนะเนี่ย เสียงคนเรือประกาศว่ากำลังจะเทียบท่าเวอร์ชั่นภาษาไทยติดทองแดงจบลงไปตามมาด้วยเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่ยังคงอัตลักษณ์สำเนียงใต้ไว้อย่างเข้มแข็งเมื่อเสียงประกาศจบลงก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นทันที ชาวต่างชาติจำพวกแบกเป้เที่ยวตระเตรียมสัมภาระของตน กลิ่นสารเพสารพัดปะปนกันชวนคลื่นเหียน ทั้งกลิ่นตัว กลิ่นผ้าอับชื้น กลิ่นถุงเท้าใช้แล้ว รวมไปถึงกลิ่นซากสัตว์ทะเลแห้งเน่าจากชายหาด ดีกรีความเข้มข้นเพิ่มเข้าไปอีกเท่าเมื่อทุกอย่างผสมรวมเข้ากับสายลมร้อน จังหวะนี้เธอไม่คิดจะทนอีกต่อไป ล้วงยาดมโป๊ยเซียนออกมาจากซอกกระเป๋าเพื่อบรรเทาอาการ หลายคนต่างที่มาต่างภาษาและเชื้อชาติทยอยเดินไปตามช่องแคบๆระหว่างแถวเก้าอี้ออกไปด้านท้ายเรือเพื่อขึ้นฝั่ง คนแล้วคนเล่า กลิ่นแล้วกลิ่นเล่า และกลิ่นเหล้า แม้แต่แหม่มฝรั่งที่นั่งหลับอยู่ข้างกันมาตลอดทางก็ลุกขึ้นแบกเป้ขึ้นหลังลงเรือที่เกาะนี้ด้วย เธอมองออกไปที่ท่าเรือ เห็นแต่พวกฝรั่งหัวแดงเดินกันเต็มสะพานเทียบท่า บ้างแบกเป้มาเดี่ยว บ้างมาคู่ บ้างมาเป็นครอบครัว เห็นแหม่มฝรั่งตัวอวบที่นั่งหลับอยู่ข้างกันเมื่อครู่ไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ริมสะพาน สักเดี๋ยวก็มีเพื่อนหญิงโผล่มาสะกิดข้างๆ ทั้งสองส่งยิ้มทักทายกัน โผกอดกันแล้วก็แลกจูบกัน จังหวะนั้นเธอจึงเบือนหน้าหนี รู้สึกเขินไปเองกับภาพอะไรแบบนั้นทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยกับจูบนั้นเสียหน่อย มันก็เป็นแค่ greeting kiss เท่านั้นเอง ในสภาพสังคมไทยๆอย่างบ้านเราไม่ค่อยชินกับภาพอะไรแบบนี้เลยรู้สึกย้อนแย้งอยู่ในใจลึกๆว่ามันเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรน่าถูกตำหนิมากกว่าจะทำใจเชื่อว่าเป็นเพียงการแสดงออกทางกายประเภทหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากการขยิบตา ยักคิ้ว หรือผิวปาก
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกลิ่นน้ำมันคลุ้งขึ้นมาอีกรอบ คนเรือปลดเชือกออกจากเสาอย่างคล่องแคล่วและกระโดดขึ้นกราบขวาได้ทันขณะที่ตัวเรือเริ่มขยับห่างออกจากท่า ผู้โดยสารเหลืออยู่บางตาเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป เธอคิดในใจว่าหากป้ายหน้าลงกันหมดคงต้องควักเงินจ่ายพิเศษให้คนเรือเพื่อเหมาเที่ยวให้ไปส่งยังจุดหมาย
“ลงไหนครับ” เด็กเรือตัวผอมเกร็งผิวคล้ำไหม้หัวหยิกหย็องเดินมาถามด้วยภาษากลางสำเนียงใต้ เขาจ้องตาเธออย่างรอคำตอบ
“บ้าน เห-รา ไปหรือเปล่า” เธอตอบด้วยภาษากลางสำเนียงกรุงเทพ คม ชัด ใสเป๊ะ หนุ่มชาวเรือไม่ว่าอะไรต่อ เขาเดินไปถามนักท่องเที่ยวรายอื่นต่อไป ซึ่งเธอเองก็ยังไม่ได้ยินใครตอบว่าจะไปสถานที่เดียวกับเธอเลยสักคน กระทั่งเรือเทียบท่าอีกครั้ง ผู้โดยสารพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนและเดินลงเรือ คงเหลือไว้แค่เธอและคนเรือที่ทำหน้าสะลึมสะลือตลอดเวลา เธอควรลุกขึ้นและเดินไปคุยกับเขาเพื่อจ้างเหมาให้ไปส่งยังจุดหมาย แต่ไม่ทันจะได้ขยับตัวเสียงประกาศก็ดังมาจากห้องไต้ก๋งเรือเป็นภาษาใต้ แม้จะห่างหายไปนานแต่ความหมายในประโยคนั้นเธอฟังออกทุกคำ
“น้องสาวคนบ้านเหราจะไปส่งให้ไม่ต้องกังวลใจ ถึงที่หมายปลอดภัยแน่นอนน้องเอ๊ย” ภาษากลางสำเนียงกรุงเทพ คม ชัด ใสเป๊ะ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เห็นได้ชัดว่าภาษากลางสำเนียงกรุงเทพ คม ชัด ใสเป๊ะ ของเธอไม่ได้ช่วยกลบเกลื่อนรากเหง้าความเป็นลูกหลานเกาะเหราไปได้ เพราะหากไม่ใช่ฝรั่งหัวแดงหรือพวกพลัดถิ่นหลงทางจริงๆคงไม่มีทางตีตั๋วเรือโดยสารเพื่อหวังจะไปลงที่เกาะนี้เพราะที่นี่ไม่มีป้ายจอด มันเป็นเกาะไกลปืนเที่ยงสุดปลายสอย ใครที่จะขึ้นเกาะเหราไม่ใช่ประเภทพวก แวะพักเพราะผ่านมา ที่นี่ไม่ใช่ทางผ่าน ไม่ใช่เส้นทางคมนาคมทางทะเลที่คนทั่วไปใช้กัน หากจะมาที่นี่คือต้องตั้งใจมา จ้างเหมาเช่าเรือให้มาส่งเท่านั้น หรือหากโชคดีเจอคนในหมู่บ้านไปที่เกาะใหญ่หรือเข้าเมืองจะขอนั่งเรือติดมาด้วยก็สามารถมาได้ แต่เธอคงไม่เลือกวิธีนั้นเพราะไม่เคยเชื่อเรื่องโชคดวง เวลาผ่านไปอีกเกือบชั่วโมงเรือจึงลดความเร็วลง มองเห็นชายฝั่งที่เต็มไปด้วยเรือเล็กเทียบท่าอยู่ประปราย ยอยักษ์บนเสาไม้ที่ปักยื่นเข้ามาในทะเลเรียงรายเต็มไปหมด บรรยากาศเก่าๆและความรู้สึกเดิมๆกำลังย้อนภาพวารวันเหมือนกรอเทปเล่นซ้ำ สถานที่ที่เธอหันหลังให้และตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่หวนกลับมาได้ฟื้นคืนขึ้นจากความทรงจำอีกครั้ง เธอลากกระเป๋าลงจากเรือแล้วก็ยืนมึนอยู่บนสะพานใช้เวลาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงระลึกได้ว่าตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไร ความรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่าย้อนกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อเหตุผลในการกลับมาตอกย้ำถึงความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ
“น้องเล็ก ลุงดำเองจำได้มั้ย”เสียงแหล่งใต้ของชายสูงวัยแว่วดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง เธอหันกลับไปมองด้วยความคาดหวังในใจเล็กๆว่าจะเป็นคนที่จำเธอได้ ลุงดำลูกน้องเก่าของบิดาบังเกิดเกล้าผู้ขับไล่เธอออกจากแผ่นดินแม่ยืนอยู่ตรงหน้า ลุงดำในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก ผมขาวโพลนทั้งหัว โครงร่างกำยำสูงใหญ่แลดูเปราะบาง ผิวแทนคล้ำเข้มตัดกับเสื้อยืดสีขาวและกางเกงเลสีมอซอที่ลุงสวม เธอยิ้มและยกมือไหว้สวัสดี ลุงดำส่งยิ้มคุ้นเคยให้กันแต่ในแววตาเรื่อแดงของแกนั้นบอกยากว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ สัมภาระของเธอตกเป็นภาระของลุงดำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท่อนแขนแข็งแรงของลุงหิ้วกระเป๋าลากของเธอไปที่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันกลางเก่ากลางใหม่ที่จอดปะปนอยู่กับมอเตอร์ไซค์สี่จังหวะเก่าโปเกซึ่งยังเป็นที่นิยมใช้ขับขี่กันบนเกาะเล็กๆแห่งนี้ อย่าถามหารถยนต์ให้ลำบาก ที่นี่พาหนะใหญ่ที่สุดจะมีล้อไม่เกินสาม นอกเหนือจากนั้นก็ใช้เรือหรือว่ายน้ำสักชั่วโมงก็วนรอบเกาะได้แล้ว แต่ต้องคนว่ายแข็งหน่อยนะ
“ลุงมารอนานหรือยัง” เธอร้องถามด้วยสำเนียงใต้ คม ชัด แต่ไม่ใสเป๊ะเท่าไหร่
“มารอน้องเล็กตั้งแต่เช้าทุกวัน กลัวไม่เจอ” เห็นได้ชัดว่าความใสเป๊ะของสำเนียงใต้นั้นลุงดำชนะเลิศ นอกจากความชัดถ้อยชัดคำในอัตลักษณ์ความเป็นชายชาวใต้แล้ว ความหมายจากประโยคที่ลุงเพิ่งเอ่ยออกมาก็ย้ำชัดเจนกระเทือนหัวใจเธอไม่น้อย แกคงมารอที่ท่าเรือทุกวันนับตั้งแต่ส่งข่าวเรื่องพี่ชายให้ทราบเมื่อสัปดาห์ก่อน กลัวไม่เจอก็คงเพราะกลัวว่าเธอจะไม่มา ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้อยู่หรอกว่าเธออาจจะไม่มาจริงๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก อะไรหลายๆอย่างที่เธอเคยจำได้ว่ามันเป็นอย่างไรมันก็ยังคงอยู่อย่างนั้น มีถนนราดยาง ถนนคอนกรีตเป็นบางช่วง ส่วนถนนที่เป็นทางดินแคบๆนั้นไม่ค่อยมีแล้ว ร้านรวงริมทางมีประปราย เธอสังเกตเห็นป้ายบริการที่พักอยู่เป็นระยะ ดูเหมือนธุรกิจท่องเที่ยวจะขยายอาณาเขตมาถึงสถานที่ไกลปืนเที่ยงแห่งนี้แล้ว มีคนส่งเสียงร้องทักลุงดำไปตลอดทาง ลุงดำทักตอบไม่ขาดตกบกพร่องแต่มีเพียงเรื่องเดียวที่แกจะเพียงปล่อยให้คำถามลอยผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจตะโกนตอบกลับ เมื่อโดนถามว่าไปรับใครมาลุงดำจะเพียงยิ้มแล้วก็ขับมอเตอร์ไซค์พ่วงซาเล้งจากมาเท่านั้นเมื่อผ่านเส้นทางแปลกตามาสักระยะความชัดเจนของสถานที่รอบตัวก็ปรากฏขึ้น ห่างจากย่านชุมชนก็เริ่มเห็นต้นไม้ บ้านที่มีคานเรือเลียบไปกับถนนสายเล็กๆเงียบสงบลัดเลาะไปตามเนินเตี้ย กระทั่งทางชันช่วงสุดท้ายเสียงเร่งเครื่องยนต์ของลุงดำดังสนั่นหวั่นไหว
เมื่อผ่านพ้นยอดเนินก็เป็นทางลาดดิ่งลงก้นกะทะทางปูนเล็กๆทอดยาวแลเห็นป้ายไม้ตีกรอบสวยงามด้วยเชือกโยงเรือปักเด่นไว้ที่ริมทางเขียนว่า “The Guest house” เธอมองไปที่สุดถนน ประตูและแนวรั้วกว้างตั้งเด่นอยู่ที่ปลายทางพอดี มันไม่ใช่ภาพใหม่ในความทรงจำแหว่งเว้าของเธอ จริงอยู่อาจมีการปรับปรุงต่อเติมอะไรไปมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวตนของสิ่งปลูกสร้างตรงหน้านี้หายไป ครั้งหนึ่งเธอเคยอาศัยอยู่ที่นี่และเรียกมันว่า บ้าน
“มาต่ะ” ลุงดำเอ่ยขึ้นเมื่อเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าอาคารทรงกลมชั้นเดียวที่ต่อเติมยื่นออกมาจากด้านหน้าเรือนที่เดิมจะเป็นเพียงเฉลียงกว้าง กระเป๋าลากถูกหิ้วเข้าไปในอาคารชั้นเดียวที่มีหน้าต่างล้อมรอบ มันดูคล้ายบ้านดินอย่างที่เคยเห็นบ่อยๆตามรีวิวรีสอร์ทที่พักตากอากาศสไตล์ฮิปสเตอร์ ภายในนั้นโปร่งโล่งด้วยเพดานสูงจนต้องแหงนคอตั้งเพื่อมองโมบายของตกแต่งที่ห้องต่องแต่งอยู่บนขื่อ รวมถึงตาข่ายดักฝัน (Dream catcher) หลากหลายอันที่แขวนอยู่ในโถงนี้ด้วย พี่ชายของเธอเป็นพวกคลั่งอินเดียนแดงมาแต่ไหนแต่ไร พวกของเล่นเครื่องรางอะไรที่เกี่ยวกับชนเผ่าจึงกลายเป็นของสะสมงานอดิเรกของเขา
“ลุง หนูมารีอยู่ไหน” คำถามของเธอทำให้ลุงดำชะงักเท้าหยุดเดินหันกลับมามองกัน นัยน์ตาเรื่อแดงแฝงความปวดร้าวเจือปนอยู่ในนั้น
