บท
ตั้งค่า

Chapter 04

“คุณกลับไปนั่งตรงนั้นดีกว่ามั้ย” เสียงนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวหลังจากรถวิ่งผ่านแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ของลูกน้องนายหัวมาได้ระยะหนึ่ง มุสิกรีบลุกขึ้นกลับไปนั่งยังที่ของตนทันทีด้วยอาการเซเล็กน้อย ใบหน้าและใบหูสองข้างแดงก่ำเหมือนเพิ่งดื่มไวน์มาห้าขวดแล้ววิ่งออกมาให้แดดตอนใกล้เที่ยงเผาหัวเล่น

“เฮ้ เป็นอะไรมั้ย โอเครึเปล่า” ยังจะมีหน้ามาถาม แต่มุสิกก็พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบว่าตัวเองโอเค

“หน้าตาดูไม่โอเคเลยน่ะ ฉันทำอะไรผิดป่ะ” เธอจ้องนิ่งที่แววตาไร้ความหมายของคนที่นั่งตรงข้ามกันแล้วก็ส่ายหน้าช้าๆจนเกือบทำลายสถิติกินเนสบุ๊คได้เลยทีเดียว จากนั้นก็เอาแต่นั่งนิ่งก้มหน้ากระทั่งลุงดำขับรถมาถึงเกสต์เฮ้าส์ แขกรายแรกรายเดียวในรอบเดือนลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อรถจอดนิ่งสนิท เงาร่างสูงทะมึนของมาเลศกำลังห่อกลืนร่างเล็กที่ยังไม่คลายจากอาการสตั๊นท์ระดับสิบที่เพิ่งโดนจู่โจมหอมแก้มไปเมื่อสักครู่

“มาต่ะๆคุณ คัมๆ” ลุงดำกระโดดลงจากรถมายืนยิ้มแป้นรอที่หน้าทางขึ้นตึก รถทั้งคันโคลงโยกสั่นสะท้านไหวเมื่อฝีเท้าหนักๆของมาเลศก้าวลงจากพ่วงข้าง สายตาของมุสิกหลบต่ำมองจ้องรองเท้าแอร์ไนกี้สีเทาขาวที่ยาวอย่างกับเรือลากอวนก้าวผ่านหน้าเธอไปช้าๆ รถไหวยวบอีกครั้งเมื่อร่างนั้นกระโดดลง

“คุณจะลงมามั้ย” เสียงทุ้มดังใกล้และชัดเจนมากจนเธอสะดุ้ง แล้วก็พบว่าร่างโย่งยืนอยู่ข้างกันนี่เอง มุสิกใจหายวาบเมื่อหันไปจ๊ะเอ๋กับใบหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากไรหนวดและรอยมีดโกนของมาเลศ

“ฉันเดินขึ้นห้องเองได้เลยใช่มั้ย ไหนห้องพัก” ดูคล้ายว่าเธอหูดับไปแล้ว มองเห็นแต่ปากสีชมพูอ่อนเอ่ยอะไรออกมาพะงาบๆซึ่งเสียงและความหมายถูกสมองของเธอปิดกั้นอย่างสิ้นเชิง โอ นี่โลกมันเพี้ยนหรือว่าเธอเพี้ยนกันแน่ มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งมโหฬารซึ่งผลอันไม่คาดคิดของมันกำลังจู่โจมเล่นงานเธอ มุสิกชักเริ่มกลัวแล้วว่าอาจจะมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกแน่ๆ เธอเห็นป้าสำราญวิ่งออกมาจนได้ ตอนนั้นเองที่หญิงสาวตัดสินใจลงจากรถ

“ใครล่ะนิ” ป้าสำราญเอ่ยถามเธอ ซึ่งลุงดำตอบแทนให้เรียบร้อยแล้วว่าเสาไฟฟ้าเดินได้ตรงหน้านี้คือแฟนเธอ

“แล้วไม่พากันเข้าบ้าน มาต่ะๆ” ป้าสำราญกวักมือเรียกเชื้อเชิญ มาเลศก็เดินตามก้นอุ้ยอ้ายของป้าสำราญไปอย่างว่าง่าย มุสิกเดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย เธอพุ่งไปที่เคาน์เตอร์ขณะที่แขกก็นั่งลงที่โซฟารับรองอย่างรู้งาน แน่นอนว่ามาเลศไม่รู้ตัวว่าได้รับอภิสิทธิในการขึ้นเกาะด้วยการโดนยัดเยียดให้รับสถานะเป็นคนรักกำมะลอของเธอ ซึ่งมาถึงตอนนี้มุสิกอยากจะย้อนเวลากลับไปที่ท่าเรือนั่นแล้วตั้งสติให้มากเพื่อจะได้ไม่ตัดสินใจอะไรบุ่มบ่ามอย่างนี้

“น้องจะให้เตรียมห้องให้คุณเขามั้ยหรือนอนห้องเดียวกัน นี่เป็นแค่แฟนกันหรือเป็นผัวเมียกันแล้ว บอกป้ามาต่ะน้องเล็ก อย่าหลอกป้านะ หัวใจจะวายอีกรอบ” ป้าสำราญเดินมากระซิบกระซาบ ซึ่งจะทำไปทำไมก็ไม่รู้เพราะไอ้ตัวที่นั่งเป็นเสากระโดงเรือตรงนั้นก็ฟังไม่รู้เรื่องด้วยอยู่แล้ว

“ป้าคะ พูดอะไรอย่างนั้น ทำไมคนที่นี่จ้องแต่จะให้คนเป็นผัวเป็นเมียกันคะเนี่ย โธ่” มุสิกบ่นอุบ ยกมือกุมขมับเดินวนไปมาส่ายหน้าวุ่นวายอยู่ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์อย่างกับหนูติดจั่น

“เอ้าแล้วมันยังไงล่ะ น้องหยุดเดินก่อนต่ะ ป้าเวียนหัว”

“เป็น..” มุสิกหยุดยืนนิ่งได้ในที่สุด สายตาครุ่นคิดจับจ้องไปทางมาเลศที่กำลังให้ความสนใจกับนิตยสารท่องเที่ยวที่วางเรียงซ้อนเป็นตั้งอยู่บนชั้นติดผนัง ฝ่ามือกว้างและปลายนิ้วเรียวยาวบอกลักษณะโครงสร้างสูงใหญ่ ใครกันจะระบุได้จากในคราวแรกที่เจอว่าหล่อนเป็นผู้หญิง

“เป็นแค่แฟนกันค่ะ ยังไม่ได้เป็นผัวเป็นเมียกันหรอก เข้าใจมั้ยคะป้า” เธอหวังว่าป้าสำราญคงเข้าใจและหยุดความสงสัยเอาไว้แค่นี้ เพราะหากยังซักต่อความได้แตกแน่ๆว่าเธอโกหกคนครึ่งเกาะเข้าไปแล้วเรื่องมาเลศเป็นแฟน ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าคนครึ่งเกาะเชื่อไปแล้วว่ามาเลศคือชายชาวต่างชาติที่ดั้นด้นมาหาคนรักถึงเกาะเหราแห่งนี้

“งั้นน้องเล็กจะให้นอนห้องบนบ้านหรือนอนบ้านพัก ห้องว่างบนบ้านก็มีแค่ห้องนาย” ซึ่งนายของป้าสำราญก็คือพ่อของเธอนั้นได้ล้มหายตายจากกันไปนานแล้ว มุสิกถอนหายใจยาวทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะทำให้อายุสั้นลงอีกเจ็ดนาที

“บ้านพักแขกก็แล้วกันค่ะ” เธอตอบอย่างไม่ต้องคิดนาน เรื่องจะให้มาเลศขึ้นมานอนบนบ้านจะไม่มีทางเกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ป้าสำราญรับคำแล้วก็ขอตัวไปดูความเรียบร้อยของบ้านพัก ก่อนไปก็บอกเธอเอาไว้ว่าให้ลุงดำไปนั่งอยู่ที่สวนบอนไซเพราะหนูมารีหลับกลางวันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้าน เผื่อเธอจะเรียกไห้ลุงดำช่วยอะไรก็ให้ไปตามได้ ก่อนเดินออกไปจากโถงป้าสำราญก็หันไปยิ้มทักทายหวานจ๋อยให้กับมาเลศผู้ซึ่งไม่ได้รู้ชะตากรรมอันยุ่งเหยิงวุ่นวายของเธอเลยสักนิด แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ใช่ปัญหาที่มาเลศจะต้องมารับรู้ด้วยอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบด้วย ชนวนสาเหตุมันมีที่มาจากเธอ เธอคนเดียวเต็มๆ

มุสิกหยิบน้ำมะม่วงกระป๋องในตู้แช่พร้อมด้วยขนมเปี๊ยะไส้ฟักผัดหอมเจียวที่ใส่อยู่ในโหลแก้วไปให้มาเลศ รายนั้นทำมองเฉยๆไม่รู้สึกรู้สา บางทีมุสิกก็คิดอยู่บ้างเหมือนกันว่าคนๆนี้นอกจากจะมีความหน้าตาดีแล้วยังคงมีระดับความกวนทีนอยู่บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากไรหนวดและรอยมีดโกนนั่นด้วย

“อะไร คุกกี้เหรอ” มุสิกย่นคิ้วทำหน้ายุ่งทันที พยายามระลึกว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่คืออะไร เพราะนอกจากเสียงทุ้มต่ำที่ฟังเหมือนคนงึมๆงำๆในลำคอแล้วมาเลศยังมีสำเนียงพูดแปร่งขึ้นจมูกอีกด้วย แถมยังพูดเร็วลิ้นรัวสไตล์อเมริกันจ๋าซึ่งมันก็ไม่ค่อยจะคุ้นกับคนที่เรียนมากับหลักสูตรมาตรฐานโรงเรียนไทยที่ตำราวิชาภาษาอังกฤษจะเป็นบริติชเสียมากกว่า

“ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”

“เปล่าๆ นี่ไม่ใช่คุ้กกี้” คอยาวๆพยักหน้าหงึกหงัก หยิบขนมเปี๊ยะชิ้นพอดีคำไปกัด ทำท่าเคี้ยวย้ำๆก่อนจะกลืนลงคอ มุสิกจ้องตาไม่กระพริบกับจังหวะการกลืนก้อนขนมของมาเลศ ลำคอตั้งฉากได้รูปเขม็งเกร็งจนมองเห็นเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมาพร้อมกับรอยลูกกระเดือกน้อยๆขยับขึ้นลงช้าๆ

“ก็ไม่แย่ หนืดๆคอดี” มาเลศพูดไปยักไหล่ไป คว้ากระป๋องน้ำมะม่วงไปเปิดดื่มอึ้กๆ แน่นอนว่ามุสิกไม่พลาดโอกาสจ้องมองลูกกระเดือกน้อยๆขยับเด้งไปมาบนลำคอยาวๆนั่นอีกครั้ง มันก็ไม่ได้เป็นภาพน่าประทับใจอะไรหรอก มันเป็นภาพแปลกตาเสียมากกว่า มนุษย์ที่มีรูปร่างอย่างมาเลศไม่มีให้พบเห็นบนเกาะเหราแห่งนี้ แม้ผอมบางแต่ก็ดูแข็งแรง บุคคลิกลักษณะอย่างคนที่ดูแลร่างกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำเปิดเผยเด่นชัด ท่อนขาแน่นเรียวและมีกล้ามน่องเล็กๆเข้ากันได้อย่างไม่มีที่ติกับรองเท้าแอร์ไนกี้ มุสิกเดาไม่ถูกว่ามาเลศเป็นนักกีฬาประเภทไหนเพราะประเมินจากโครงสร้างร่างกายแล้วดูจะเหมาะสมกับทุกกีฬาไปซะหมด

“เพิ่งมาเมืองไทยครั้งแรกรึเปล่า”

“ใช่ ครั้งแรก”

“คุณไปที่ไหนมาแล้วบ้าง” มุสิกชวนคุยเพราะไม่รู้จะชวนทำอะไรอย่างอื่นดี

“มาที่นี่ไง ตอนแรกคิดว่าจะมีคลื่นใหญ่ๆแบบฮาวายน่ะจะได้เล่นกระดานโต้คลื่น”

“คุณชอบทะเลสินะ”

“ก็เปล่า ฉันก็แค่ชอบคลื่น” มุสิกอมยิ้มให้กับคำตอบนั้น

“ที่เมืองไทยเราแบ่งประเภทคนที่มาทะเลเป็นสองกลุ่ม มาเพราะหนีร้อน หรือไม่ก็ หนีรัก”

“อ่าฮะ” มาเลศยักไหล่ เอนหลังยาวๆพิงสบายไว้กับโซฟานุ่ม ทำทีหันมองไปรอบๆห้อง แล้วจึงชี้ปลายนิ้วเรียวยาวไปที่ตาข่ายดักฝันอันใหญ่ที่แขวนอยู่บนขื่อคานกลางโถง

“ฉันชอบนั่นนะ ห้องคุณว่างกี่วันน่ะ” เอาแล้วไง มุสิกเอียงใบหน้าแล้วทำเป็นกลอกตาตีหน้าครุ่นคิด

“ก็ น่าจะพอมี ฉันขอเช็คดูก่อนแล้วกัน คุณคิดว่าจะอยู่ต่อสักกี่วัน”

“สองสัปดาห์” รายนั้นตอบแบบไม่คิดเลยสักนิด

“แหมบังเอิญอะไรอย่างนี้ เรามีห้องว่างสำหรับสองสัปดาห์พอดีเลย แต่คุณต้องจ่ายห้าสิบเปอร์เซนตอนเช็คอินนะ เรารับบัตรเครดิต” มุสิกก็เลยตอบแบบเลิกคิดเช่นกัน ไหนๆพี่ชายก็แจ้งยกเลิกแขกที่จองห้องไว้จนเกลี้ยง มีรายได้เข้ากระเป๋าไว้ก่อนก็น่าอุ่นใจกว่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel