Chapter 02
วันนี้มีเรือโดยสารเข้ามาเทียบท่า มุสิกให้ความสนใจมันเป็นพิเศษเพราะสองวันที่ผ่านมาเธอไม่เคยเห็นว่าจะมีเรือโดยสารหรือเรือเหมาลำไหนสนใจจะทอดสมอที่บ้านเหรา เธอยืนอยู่ริมสะพานข้างกลุ่มเรือประมงที่คนเรือกำลังเอาของทะเลสดๆที่หามาได้มาคัดแยกขนาด บางคนที่บ้านไม่ได้มีเรือออกหาเองก็รอเป็นลูกค้าอุดหนุนเพื่อนบ้านซึ่งบางอย่างก็ยกให้กันฟรีๆโดยไม่คิดมาก สองวันที่ผ่านมาลุงดำจึงได้ของสดกลับไปฝากป้าสำราญตั้งหลายอย่าง เธอสังเกตได้ว่าเรือใหญ่ลำนั้นเป็นลำเดียวกับที่แวะมาส่งเธอเมื่อสี่วันก่อน คงมีใครสักคนหรือหลายๆคนเหมาเรือโดยสารจากป้ายสุดท้ายในเส้นทางปกติให้เลยมาส่งที่นี่แต่ทว่าเธอยืนส่องอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นจะมีใครสักคนลงจากเรือ
“ไหงโกตี่กลับมาเร็วน่ะวันนี้ หรือมีใครจ้างมา” เสียงลุงดำที่นั่งช่วยชาวประมงเลือกปลาหมึกอยู่เอ่ยขึ้น
“เจ้าของเรือนั่นเป็นคนที่นี่เหรอคะลุง” เธอหันไปถาม ซึ่งได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า
“เขามาส่งน้องเล็กไงวันนั้น บอกเขาไว้ว่าถ้าเจอน้องให้พามาส่งด้วย” มุสิกจึงพยักหน้าบ้าง เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เธอหันไปมองเรืออีกครั้ง เห็นเด็กเรือตัวดำผมหย็องคนเดิมกระโดดขึ้นมาบนสะพาน เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ศาลาข้างท่าเรือซึ่งมีโต๊ะจ้างเรือไปส่งที่ต่างๆ ดูท่าทางเขาลุกลี้ลุกลนไปพูดอะไรบางอย่างกับคนที่นั่งเฝ้าโต๊ะเล็กในศาลานั่น เด็กหนุ่มคนนั้นพูดไปพลางชี้ไปที่เรือ ทุกสายตาก็หันหน้าไปมองตามไม่เว้นแม้แต่มุสิก
“ลุงดำพูดฝรั่งได้มั้ย” เสียงทุ้มทองแดงเอ่ยขึ้นที่เบื้องหลัง ชายคนที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะจ้างเรือเดินออกมาถาม ซึ่งลุงดำก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อ้าว เห็นมารับฝรั่งไปพักบ่อยๆ”
“มารับเฉยๆ ไม่เคยพูดกับเขาหรอก” ลุงดำตอบ ชายคนนั้นส่งสายตาคิดหนักให้แล้วหันไปมองทางเรือโดยสาร
“มีคนติดเรือมา ช่วงนี้นายหัวไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นเกาะ ใครมันพามาก็ไม่รู้” มุสิกยืนฟังอย่างตั้งใจ สำเนียงทองแดงชัดเจนไม่ต้องแปลของเขาที่เอ่ยออกมานั้นเร็วจนรถไฟยังวิ่งตามไม่ทัน
“พี่คนนี้ไงพูดได้ ผมจำได้” เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มกว้างจนแทบเห็นฟันครบทุกซี่ เขาชี้ไม้ชี้มือไปที่มุสิก
“น้องสาวนี่คนบ้านเรารึเปล่า” ชายคนนั้นถามเสียงแข็งขึ้นมาทันที ท่าทางไม่น่าไว้ใจของเขาทำให้ลุงดำยืนขึ้นแล้วขยับมายืนขวางหน้า
“นี่ลูกสาวคนเล็กของนายข้า เพิ่งกลับมาบ้าน” น้ำเสียงของลุงดำแข็งยิ่งกว่า
“แล้วมาทำอะไรกันตรงนี้ หรือมารอนักท่องเที่ยว นายหัวประกาศไม่ให้รับนักท่องเที่ยวขึ้นเกาะลุงจำไม่ได้รึไงหรืออยากจะมีปัญหากับนายหัว” ชายคนนั้นยังคงยืนต่อปากต่อคำ เขาหันมองมุสิกแล้ววางท่าถมึงทึง
“ไม่มีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งนั้นจนกว่านายหัวจะสั่ง ไอ้เงาะเอ็งไปบอกโกตี่ให้พาคนที่ติดเรือมากลับไปส่งเกาะใหญ่” ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับหนุ่มคนเรือ
“เดี๋ยวนะ นี่มันไม่ใช่เกาะส่วนตัวของใคร” มุสิกเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด ลุงดำหันควับกลับมาทันที ส่งสายตาปรามกลายๆให้เธอเห็น
“กลับไปไม่ได้ เรือเครื่องตายตั้งแต่สองกิโลที่แล้ว นี่โกตี่ให้เรือประมงช่วยลากเข้าท่า” หนุ่มน้อยร้องบอก ชายคนนั้นก็ยังยืนกรานว่าไม่ว่าอย่างไรนักท่องเที่ยวที่ติดเรือมาห้ามลงมาเหยียบเกาะเหราเด็ดขาด ซึ่งข้อนี้ทำให้มุสิกโมโหมาก มันเรื่องอะไรกันที่ นายหัว อะไรนั่นจะมีอำนาจสั่งให้ใครเข้าหรือออกจากเกาะนี้
“เขาไม่ใช่นักท่องเที่ยว เขามาบ้านฉันเอง” เธอพูดใส่หน้าเขา ยืนนิ่งไม่หวั่นไหวต่อสายตาข่มขู่ ขณะที่ลุงดำยืนกั้นกลางระหว่างเธอกับนังเลงท้องถิ่น ลุงดำขยับเดินเข้าหาร่างอ้วนเผละของชายคนนั้น ยกมือผลักอกเขาเป็นสัญญาณเตือนให้ขยับออกไปให้ห่างๆเธอก่อนจะเจ็บตัว
“ไม่ได้ เป็นเพื่อนมาเที่ยวก็ถือเป็นคนอื่นคนนอก ไม่ให้ขึ้นเกาะโว้ย ลุงดำอยากมีเรื่องใช่มั้ย”
“นั่นแฟนฉันเอง ไม่ใช่คนนอก” พอเธอกล่าวจบลุงดำก็ได้หันควับกลับมาอีกรอบ คราวนี้ส่งสายตาบอกชัดว่าตกใจและประหลาดใจในคราวเดียว
“พี่มีผัวแล้วเหรอ เสียใจอย่างแรงนิ” หนุ่มคนเรือเอ่ยออกมาพร้อมยกมือตีหน้าผากตัวเอง เขาวิ่งกลับไปที่เรือทันทีหลังจากคิดเอาเองว่ามุสิกมีผัวแล้ว
“ไปค่ะลุงดำ ขนกระเป๋า” เธอร้องบอกลุงดำ แล้วก็ยืนจ้องตาเขม่นกับลูกน้องผู้ภักดีของนายหัว เขาทำท่าเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันบ่นพึมพำเป็นภาษาใต้ที่เธอเองก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ในที่สุดเขาก็แพ้เกมจ้องตา เดินหนีกลับไปนั่งเฝ้าโต๊ะที่ศาลาด้วยท่าทางหัวเสียสุดๆ มุสิกถอนหายใจโล่งใส่แผ่นหลังของเขาก่อนจะหันไปมองทางเรือโกตี่ ซึ่งชายหนุ่มคนเรือกำลังยื่นมือไปช่วยรับใครคนนั้นให้ขึ้นมาบนท่า หุ่นร่างสูงชะลูดสวมหมวกแก๊ปเอ็นวายและเสื้อยืดตัวโคร่งสกรีนยี่ห้อเบียร์ช้างกับกางเกงขาสั้นกรอมเข่าโผล่ขึ้นมาเพียงคนเดียว ดูเหมือนว่าแฟนสมอ้างของเธอจะเป็นนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์ที่อยู่ผิดที่ผิดทางจริงๆนั่นล่ะ ลุงดำส่งเสียงร้องเรียกมุสิกจึงหยุดความคิดพินิจพิเคราะห์แขกผู้มาเยือนเกาะเหราไว้แค่นั้น เธอเดินไปที่เรือนั่น ขณะที่สายตายังคงจ้องจับที่ร่างสูงสวมหมวกแก๊ปเอ็นวายอยู่ไม่วางตา ยิ่งระยะทางหดสั้นลงเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าใครคนนั้นตัวสูงใหญ่ขึ้นทุกที ลาดไหล่กว้างเหลือเฟือสำหรับสายเป้เดินทางที่แบกขึ้นหลัง เขายืนนิ่งอยู่กับที่ทิ้งแขนสองข้างไว้ข้างลำตัว ท่าทางเหมือนลูกทัวร์หลงทางพยายามมองหาธงกลุ่มของตัวเอง เมื่อมาหยุดยืนต่อหน้ากัน ใบหน้าใต้หมวกปีกกว้างนั้นกลับไม่ใช่ชาวฝรั่งต่างชาติอย่างที่คิด ลำคอยาวและท่อนแขนที่โผล่พ้นเสื้อออกมาเป็นสีคล้ำแทนซึ่งน่าจะเกิดจากถูกแดดเผามากเกินไปจากการอาบแดดหรือไม่ก็เดินฝ่าทะเลทรายมาสามวัน เธอเงยหน้าส่งยิ้มให้แล้วส่งคำทักทายเป็นภาษาต่างประเทศเท่าที่จะนึกได้
“อันยอง”
“เอ่อ อังกฤษ” เสียงทุ้มเทเนอร์พูดอเมริกันใส่กัน ทำให้มุสิกโล่งอกเป็นรอบที่สอง เธอส่งยิ้มให้คนตรงหน้า แสร้งหัวเราะให้ดูเหมือนดีใจมากแล้วก็กางแขนเข้าไปกอดอเมริกันหน้าเกาหลีโดยพยายามทำให้เป็นธรรมชาติที่สุด เขาสะดุ้งไปเล็กน้อย ห่อไหล่ลงอย่างขัดเขินแต่ก็ไม่ขัดขืน
“ยินดีต้อนรับ คุณจองที่พักไว้รึยัง” รายนั้นส่ายหน้า
“น่าจะลงผิดที่”
“อ๋อ ใช่ คุณลงผิดเกาะ แต่ที่นี่ก็มีที่ให้พักนะ”
“คุณพอจะหาเรือให้ได้มั้ย เรือลำนี้เสีย” เขาหันปลายนิ้วยาวปี๊ดของตนไปที่เรือโดยสารที่จอดนิ่งอยู่เบื้องหลัง มุสิกหรี่ตาทำหน้าครุ่นคิด หากปล่อยให้ไปเหมาเรือจ้างกลับเกาะใหญ่ความได้แตกกันพอดีสิ เธอปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก
“ยินดีจ่ายนะ สองเท่าก็ได้” ภาษาอังกฤษสำเนียงขึ้นจมูกแปร่งๆอย่างนั้นฟังยากอยู่เหมือนกัน มุสิกเอียงหน้าจ้องตาที่ซ่อนอยู่ใต้ปีกหมวกแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“มีเรือลำนี้ลำเดียวที่ไปเกาะใหญ่ คุณต้องรอมันซ่อมเสร็จก่อน”
“นานแค่ไหนล่ะ” ร่างสูงทำท่าไหล่ตกอีกรอบ หันมองรอบตัวซึ่งก็จะเห็นเพียงเด็กเรือตัวดำหัวหย็อง กับลุงดำซึ่งตัวดำเคราครึ้มและก็หัวหยิก ส่วนเจ้าของเรือที่ชื่อโกตี่ก็ไม่ต่างกันเพียงแต่ว่าเขาหัวล้านเท่านั้นเอง ซึ่งทุกคนที่ยืนล้อมรอบอยู่นั้นเมื่อเทียบกับเขาก็ดูเตี้ยไปเลย
“พรุ่งนี้ก็น่าจะเสร็จ” ขณะที่แววตาสงสัยภายใต้หมวกเอ็นวายกำลังใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ลุงดำก็ขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงหุ่นนักกีฬาแล้วยื่นมือไปหาพร้อมกับรอยยิ้มบานแฉ่งจนเห็นฟันเรียงขาววิ้งๆ
“ลุงดำ” แกว่า มืออีกข้างตบอกแปะๆบอกให้รู้ว่าแนะนำตัวเอง และรอที่จะให้อีกฝ่ายจับมือ ซึ่งแม้จะงงไปบ้างแต่แฟนปลอมๆของเธอก็รักษามารยาทได้ดีเยี่ยม จับมือลุงดำเขย่าๆแล้วเซย์ฮัลโลกับแกด้วย
“โอเค ไปที่พักของคุณก็ได้” เขาตอบ มุสิกยิ้มร่า
“มีกระเป๋ามั้ยคะ ให้ช่วยยกอะไรมั้ย”
“ไม่ ขอบคุณ มีแค่นี้ล่ะ” เธอไม่แปลกใจหรอกที่ได้ยินอย่างนั้น เพราะแค่กระเป๋าเป้ใบเดียวที่เขาสะพายติดหัวไหล่อยู่ก็พอทำให้เดาได้ว่าเป็นพวกเดินทางคนเดียวออกแนวแอดเวนเจอร์ค่ำไหนนอนนั่น
“ไปค่ะลุงดำ” ลุงดำพยักหน้าแล้วรีบเดินนำพาแฟนกะทันหันของเธอไปที่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่จอดสงบเสงี่ยมอยู่ที่ปลายสะพานอีกฟาก
“ค่าเรือค่ะโก” มุสิกหยิบเงินค่าเรือยื่นให้โกตี่ ดูเขารุ่นราวคราวเดียวกับลุงดำ ดวงตาอมยิ้มบอกแววใจดี เขาส่ายหน้าและบอกปัดเรื่องเงินกับเธอ
“ไม่เป็นไร คนบ้านเดียวกัน ไม่ต้องเอาเงินมาให้หรอกนะน้องนะ”
“โห ผมอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้จีบเลยนะนิ” หนุ่มน้อยคนนั้นยังบ่นไม่หยุด เธอหันไปขอบใจเขากับโกตี่แล้วจึงวิ่งกลับไปที่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันเดิม เจ้าของร่างสูงโทนเสียงเทเนอร์ขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ฉันมุสิกค่ะ” พอเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเธอจึงเริ่มชวนคุย เธอยื่นมือให้เขาจับ แต่รายนั้นยังคงจ้องเฉย
“คุณกอดกันแล้ว” เสียงทุ้มเทเนอร์ตอบออกมาเรียบๆ แล้วก็หันหน้ามองทางข้างหน้า มุสิกจึงต้องแก้เก้อด้วยการดึงมือกลับแล้วมานั่งกอดอกเฉยๆ
“ฉันเมล”
“อ๋อ ค่ะ คุณผู้ชาย” มุสิกพยักหน้าตอบด้วยน้ำเสียงแกมประชด อีตาบ้านี่ชักจะเยอะไปหน่อยละ เธอก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นผู้ชายแต่ไม่คิดว่าจะมีนิสัยคุณชายน่าหมันไส้อย่างนี้ด้วย รู้อย่างนี้ปล่อยให้โดนไล่ลงน้ำขึ้นเกาะไม่ได้ซะก็ดี
“ชื่อฉัน เมล” มุสิกเบิกตาโตเมื่อคนที่นั่งตรงข้ามควักพาสปอร์ตขึ้นมายื่นใส่หน้ากัน รูปในพาสปอร์ตก็ค่อนข้างเหมือนตัวจริงอยู่ ชื่อ Malezze Young Dellaton เกิดปี 1994 ส่วนสูง 5’11” เชื้อชาติไต้หวัน สัญชาติอเมริกัน ที่สำคัญยังเป็นนางสาว
