CHAPTER 2
ศิลา ตะวันพิศาล : TALK
@San Francisco USA
Rr...
“แม่ง...”
Rr...
แต่แล้วเสียงสั่นก็ดับไปและสั่นดังขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง เสียงโทรศัพท์สั่นไหวดังสนั่นสะท้อนกับโต๊ะหัวเตียงส่งผลให้จากที่เอาหมอนมาปกคลุมปิดศีรษะในตอนแรกนั้นกับถูกกอบกำขว้างออกไปติดกับผนัง ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วขยี้ศีรษะอย่างหัวเสียเป็นที่สุดความมืดของห้องบ่งบอกด้วยดีว่านี่ไม่ใช่เวลารับโทรศัพท์
ควายห่าที่ไหนโทรมาอีกล่ะ
เว ชื่อนี้เด่นกลางหน้าจอโทรศัพท์ของผม
“โทรมาทำควยอะไรไอ้เหี้ย!” ด้วยความที่โทรมาไม่รู้จักเวร่ำเวลาอย่างแรกที่ต้องเจอก็คือประโยคแบบนี้แหละ มันเป็นทุกครั้งเลยสำหรับไอ้เวคนนี้แล้วมันก็น้อยไปด้วยซ้ำสำหรับคำด่าว่า “นึกถึงคำว่ามารยาทที่แม่มึงสอนบ้างเถอะอย่างน้อยๆ ก็ควรเอามาใช้”
[โอ้โหนี่กูโดนสวดอีกแล้วเหรอวะ ผิดมากหรือไงนี่เวลาโทรของกูอ่ะ]
“แต่ไม่ใช่ของกูไอ้สัส”
[ไม่เหลือคำว่าพี่เลย]
“หัดดูเวลาทามโซนของกูด้วยนะเว ถ้าลิลลี่นอนกับกูแล้วตื่นมึงโดนถีบยอดหน้าแน่ๆ”
[แหนะตอนนี้ไม่นอนกับลูกแล้วมึงนอนกับสาวที่ไหนไอ้ห่าหิน ฟ้องแน่กูฟ้องแม่มึงแน่เอาสิ] เสียงไอ้เวดังขึ้นสร้างอารมณ์ที่อยากเข้าไปจับกดหัวกระแทกขอบโต๊ะจริงๆ [มึงตอบมาไอ้หิน มามึงมาพูดมา]
“ไม่มีนอนคนเดียวลิลลี่แยกห้องไอ้ควาย”
[จริงนะ กูมีสายนะแต่พูดถึงก็คิดถึงหลาน มาไทยจะซื้อขนมให้เยอะๆ เลยว่ะ]
“พอเดี๋ยวร้องไห้ตอนทำฟันอีก”
[เป็นสาวแล้วดิเนี่ย เห้อคิดถึงแม่งชิบหาย]
“เมื่ออาทิตย์ก่อนยังเสมอหน้ามานี่แค่รอไม่เกินอาทิตย์ก็เห็นหน้าแล้วมั้ยวะ”
[หมายความว่าไง?]
ก็หมายความว่าจะกลับไทยไง
แต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยพูดบอกกับญาติผู้พี่ของตัวเองหรอก มันค่อนข้างปากมากปากอยู่ไม่สุขชอบพูดมั่วไปเรื่อยให้รู้แค่นี้ก็พอแล้วแหละ
“รอให้มึงมาหาไงไอ้เว”
[หมดกันความคาดหวังของกู]
“หวังมาเกือบ 5 ปีแล้วเลิกหวังมั้ยจะได้ไม่ผิดหวัง”
[ไม่จะหวังไปเรื่อยๆ ]
“หวังลมๆ แล้งๆ กูไม่พาลูกกลับหรอก”
[มาเยี่ยมบ้างก็ได้นิเกือบ 5 ปีแล้วนะที่มึงพาลิลลี่ไปอยู่ซานฟรานแล้วไม่กลับไทยเลยไอ้ห่าหิน]
“เหนื่อยมั้ยพูดมาเกือบ 5 ปีเช่นกันอ่ะมึงอ่ะ” และผมก็ถามไอ้เวกลับไปเพราะทุกครั้งมักจะได้ยินประโยคนี้จากมันเสมอไม่รู้ว่าต้องการไซโคอะไรขนาดนั้นเช่นกันเพราะพูดมามันก็ไม่เกิดขึ้นหรอกมีแต่เปล่าประโยชน์เฉยๆ “เหนื่อยแล้วก็พอได้ล่ะ ยังไงก็ไม่กลับอยู่ที่นี่ดีแล้ว”
คุณภาพชีวิต
คุณภาพการศึกษา
สุขภาพจิตใจ
ทุกอย่างไม่มีอะไรที่แพ้ที่ไหนแถมอาจเด่นกว่าด้วยซ้ำ การคิดพามาที่นี่ตั้งแต่แรกมันคือความตั้งใจของผมเช่นกันและไม่อยากให้ลูกมีปมอะไรทั้งนั้นให้ทำลายชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ไม่ต้องมีวันพ่อวันแม่ ไม่ต้องกราบใคร ไม่ต้องเป็นตัวประหลาดในสายตาใคร ทุกคนเท่าเทียมกันของคำว่ามนุษย์แน่นอนมันดีกว่าอยู่แล้ว
[เออกูบินไปเองก็ได้]
“กูย้ายคอนโดนะ”
[ห้ะ! เกือบ 5 ปีย้ายเป็นร้อยแห่งมึงบ้าเปล่าไอ้สัส]
“เปลี่ยนบรรยากาศ” นี่เป็นคำพูดของผมสั้นๆ เลย
[ทั้งอดีตและปัจจุบันเวียนหัวไปหมดกับความซับซ้อนของคอนโดมึง]
“นั่นมันอดีตมึงต้องอยู่กับปัจจุบันนะไอ้เว”
[ไม่ต้องมาสอนกูแค่แม่สวดยับสาดใส่ทุกวันเวลาแดกเหล้าก็จะแย่อยู่แล้ว เออแล้วถ้ามีอะไรที่อยากพูดถึงอดีตได้อ่ะ มึงจะพูดอะไร]
“จดจำวันที่ร้ายกับคนอื่นเอาไว้ดีๆ ล่ะ”
[...]
“เงียบทำเหี้ยแม่งทำไมไอ้สัสเว อยากให้กูบอกไม่ใช่ก็นี่ไง บอกด้วยล่ะ”
[สงสัยกูงั้นสิ]
“หึ...เปล่า การร้อนตัวจะไม่มีถ้ามึงไม่แอบทำผิดลับหลัง” ความฉลาดมันมีอยู่ทุกคนแต่ใช่ว่าทุกคนจะเอาออกมาใช้ในยามที่ตัวเองทำผิดหรือไม่อันนี้ต้องติดตามกันต่อไป ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเองหรอกว่าสิ่งที่ทำนั้นได้ทำจริงหรือว่ามั่วจากปากคนมากกว่าแต่ผมถ้าได้พูดอะไรไปแล้วไม่มั่วแน่ “หรือมึงมี?”
[...]
“ว่าไง”
[ไม่ว่าไง]
“ตามใจมึงเถอะ”
[หิน...]
“พอเถอะ กูเหนื่อยว่ะเรื่องนั้นแล้วมันก็นานไปแล้วด้วยเว”
[...]
เพราะความเงียบทำให้ผมไม่ปรารถนาเท่าไหร่นักจึงเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายวางสายในครั้งนี้อย่างไร้มารยาทเป็นที่สุด โทรศัพท์ในมือถูกโยนข้ามศีรษะตกลงบนเตียงข้างหลังดังตุ๊บอย่างไม่เสียดายเลยเกือบตี 4 แล้วทั้งที่ผมพึ่งนอนเมื่อตอนตี 1 กว่ากะว่าจะตื่น 6 โมงเช้าแต่ตอนนี้กับนอนไม่หลับอีกแล้ว
กลไกการทำงานของร่างกายที่ชินชากับเสียงจึงมักตอบรับได้ทุกสิ่งอย่างถ้าได้ยินเสียงชัดเจนเว้นเสียว่าเหนื่อยจริงๆ เท่านั้น ซานฟรานซิสโกคือเมืองที่ผมอยู่อาศัย อากาศของที่นี่เย็นสบายตลอดทั้งปี หน้าหนาวก็ไม่หนาวมากหน้าร้อนก็ไม่ร้อนเกินอย่างเช่นตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิก็ประมาณ 8-12 องศาเซลเซียสแค่นั้น
เมืองนี้จึงถูกเลือกจากผม
เมืองนี้ผมกับลูกอยู่มากว่า 5 ปี
ความเหนื่อยในระดับแรกมันก็มีอยู่แล้วแต่ทุกครั้งพอได้เห็นรอยยิ้มหวานแฉ่งหนึ่งซึ่งเป็นดั่งสายน้ำเข้ามาชโลมจิตใจอันเหนื่อยและล้าผมกลับมาแรงฮึดสู้ขึ้นเรื่อยๆ
สู้จนบางครั้งก็ลืมคำว่าเหนื่อย
ผมตื่นประมาณตี 5 - 6 โมงเช้าเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ ให้กับลูกสาวจะเรียกว่าเตรียมพร้อมก่อนไปโรงเรียนเริ่มตั้งแต่การบีบยาสีฟันวางไว้ในห้องน้ำ (ผลัดกันกับลูกบีบให้กันและกันส่วนมากก่อนเข้านอนลูกบีบไว้ให้ส่วนตอนเช้าผมบีบให้ลูก) ทำอาหาร เช็กทุกอย่างในคอนโดให้เรียบร้อยก่อนออกไปส่งลูกแล้วก็ไปทำงานส่วนพอหลังจากทำงานเสร็จแน่ละสิ่งแรกก็ไปรับลูก ซื้อของเข้าบ้าน ทำอาหารเย็น สอนการบ้านรวมไปถึงส่งลูกเข้านอน
มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย เป็นแบบนี้เมื่อ 10 ปีก่อน
ถ้าสงสัยกันบอกเลยผมมีลูกตอนอายุ 18 ปี
ณ ตอนนี้ลูกอายุ 10 ขวบเต็ม
เรามีกันแค่สองคนพ่อลูก
