Chapter 3 ปริศนาของคฤหาสน์[2/1]
“คุณคงทราบแล้วสินะครับว่าผมเป็นใคร”
ประโยคแรกหลุดออกจากปากชายชราหลังจากที่เขาเชิญเจ้าของคฤหาสน์คนใหม่เข้าสู่ห้องรับรองแขก ผู้ไม่เกี่ยวข้องถูกเชิญออกไป เหลือเพียงแต่โจชัวและทนายคอนเนอร์เท่านั้นที่นั่งประจันหน้ากับพ่อบ้านประจำตระกูลผู้นี้ โจชัวพยักหน้ารับก่อนตอบ
“ทราบแล้วครับ คุณคอนเนอร์บอกผมหมดแล้ว”
“อย่างนั้นก็ดีครับ จะได้ไม่เสียเวลาอธิบายรายละเอียดต่างๆ ของคฤหาสน์ คุณจะได้ไม่ไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าให้วุ่นวาย”
พ่อบ้านไบรอันว่าพลางประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน ดวงตาสีเทาหม่นจับจ้องยังชายหนุ่มไม่วางตาประหนึ่งจับผิด ซ้ำวางอำนาจทางอ้อมราวกับว่าผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์นั้นคือเขา ไม่ใช่คนตรงหน้านี้
โจชัวอึดอัดเหลือเกิน รู้สึกเอาเองได้ว่าชายชราพ่อบ้านนั้นหาได้มีท่าทางไม่เป็นมิตรเหมือนกับคนอื่นๆ สักเท่าไหร่นัก ตั้งแต่พบหน้าเขา ยังไม่เห็นเขาทักทายด้วยรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย พูดเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โจชัวเหลือบมองทนายคอนเนอร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าเขามีท่าทีสงบเสงี่ยม ไม่ช่างเจรจาเหมือนตอนเจอกับคนอื่นแม้แต่น้อย พลันพ่อบ้านไบรอันก็ทำลายความเงียบอีกครั้ง
“คฤหาสน์แห่งนี้ได้ถูกจัดตั้งเป็นสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าอย่างไม่เป็นทางการเมื่อเดือนก่อนจากความต้องการของคุณเจคอบ เรามีโครงการจะขึ้นทะเบียนเป็นมูลนิธิแต่ว่าคุณเจคอบกับคุณนายก็มาจากไป กระนั้นผมก็ยังคงรักษาอุดมการณ์ของคุณเจคอบเอาไว้ ดังนั้น ซีกหนึ่งของคฤหาสน์จะเป็นที่สำหรับเด็กกำพร้าเหล่านั้นด้วย นี่ครับ แบบแปลนคฤหาสน์ ผมจะใช้ประกอบการอธิบาย คุณจะได้เข้าใจขึ้น”
พ่อบ้านชราว่าพลางกางแผนที่คฤหาสน์ลงบนโต๊ะ โจชัวชะโงกตัวเล็กน้อย มองรูปเขียนสัดส่วนอาคารทรงตัวยู (U) แนวนอนอย่างสนใจ คฤหาสน์นั้นจัดแบ่งโซนแต่ละฝั่งออกเป็นรูปเรขาคณิตที่มีสัดส่วนเท่าๆ กัน จะว่าไปแล้ว ตัวอาคารก็แลดูคล้ายกับลักษณะของพระราขวังแวร์ซายของประเทศฝรั่งเศสอยู่ไม่น้อย แต่ก็เพียงลักษณะการจัดวางแนวของตัวอาคารเท่านั้นแหละ เรื่องความสวยงามนั้นหาได้เทียบชั้นกันได้เลย คาดว่าในสมัยที่สร้างคฤหาสน์นั้น คงจะเลียนแบบจากลักษณะของพระราชวังแวร์ซายซึ่งโด่งดังร่วมยุคสมัยกันกระมัง
“คฤหาสน์นี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ตรงกลางเราเรียกว่าส่วนกลางซึ่งจะเป็นส่วนที่เราใช้ทำกิจกรรมต่างๆ เป็นประจำ รวมถึงเป็นโรงนอนของเด็กๆ ขณะที่ฝั่งจะวันออกนั้นว่าง คุณสามารถพักในฝั่งนี้ได้ พวกห้องอำนวยความสะดวกต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ฝั่งนี้ครับ”
ปลายนิ้วชี้เหี่ยวย่นลากไปตามแผนที่ โจชัวพยักหน้าเข้าใจแต่ครู่เดียวก็ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อชายชราจบการอธิบายเอาเสียดื้อๆ ซ้ำยังลุกขึ้นยืน ทำท่าจะไป
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะพาไปทางฝั่งตะวันออกนะครับ ผมให้อเล็กซิสต์จัดห้องนอนไว้ให้แล้ว”
“เดี๋ยวสิครับคุณมัวร์ คุณยังไม่ได้อธิบายฝั่งตะวันตกให้ผมฟังเลยนี่ครับ”
พ่อบ้านไบรอันชะงักเล็กน้อย ปรายตามองชายหนุ่มรุ่นราวคราวหลานนิ่งๆ ด้วยหางตา ก่อนตอบเสียงเรียบ
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกเพราะยังไงเสียคุณก็ไม่ได้อยู่ฝั่งนั้น”
คำตอบของชายชราทำเอาโจชัวไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ทำไมกันล่ะ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์โดยชอบธรรม แต่คนดูแลบ้านอย่างไบรอันกลับมาจำกัดขอบเขตให้ตามอำเภอใจแบบนี้มันใช้ได้เสียที่ไหน
“ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าผมจะเป็นทายาทของตระกูลและก็มีสิทธิเด็ดขาดในการครอบครองคฤหาสน์แห่งนี้นี่ ทำไมผมถึงจะรู้ไม่ได้”
น้ำเสียงของเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจมาก ไบรอันเองได้ฟังก็ชักไม่ชอบใจเช่นกัน คิดในใจว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างดื้อรั้นเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่แปลกหากเขาอยากจะรู้ มันก็เพราะเขาไม่รู้นี่นา ก็เหมือนกับคนในตระกูลโจนส์คนอื่นๆ นั่นแหละที่เมื่อครั้งได้เยือนคฤหาสน์นี้ก็ข้องใจว่าทำไมพวกเขาถึงถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปฝั่งตะวันตก ทว่าพออยู่ไปนานๆ ความอยากรู้นั้นก็มลายหายไปเอง เหลือเพียงความคุ้นชินและกลายเป็นข้อห้ามของตระกูลไปโดยปริยาย
“การไม่รู้จะเป็นผลดีสำหรับคุณมากกว่านะคุณโจชัว คนของตระกูลโจนส์ก็ปฏิบัติตามข้อห้ามนี้มารุ่นต่อรุ่นแล้วแม้ว่าจะมีสิทธิอันชอบธรรมในคฤหาสน์ก็ตาม ซ้ำข้อปฏิบัตินี้ยังเป็นอันรู้กันดีว่าสิทธิในการรักษาความลับของคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกเป็นอำนาจเด็ดขาดของตระกูลผมมาหลายทศวรรษแล้วด้วย ฉะนั้นจงตัดใจแล้วทำตามเสียเถิดคุณโจชัว เพราะอย่างไรเสีย คุณก็จะไม่มีวันได้ไปเหยียบฝั่งนั้นจนกระทั่งคุณหมดลมหายใจอย่างแน่นอน”
โจชัวนิ่งฟัง ไร้ซึ่งคำพูดจะโต้เถียง มีเพียงแต่คำถามในใจเท่านั้นว่าทำไม ทำไมถึงต้องห้าม ทำไมถึงได้กลายเป็นข้อปฏิบัติของตระกูลเช่นนั้น ใบหน้าคมยุ่งจนทนายคอนเนอร์ซึ่งนั่งดูเหตุการณ์นั้นอยู่ชักเห็นว่าท่าไม่ค่อยดี และคงจะแย่ลงกว่านี้แน่หากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง พลันเอ่ยแทรกเพื่อยุติบรรยากาศกดดันนี้
“ผมว่าคุณมัวร์พาคุณโจชัวไปที่ห้องพักเถอะครับ คุณโจชัวเดินทางมาทั้งวัน เมื่อคืนก็แทบไม่ได้พักผ่อน คงจะเหนื่อยมาก ผมเองยังเหนื่อยเลย”
“ก็คุณเริ่มแก่แล้วน่ะสิคุณทนาย ชอบฝืนสังขารมันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา มาสิ ผมจะพาไป”
พ่อบ้านไบรอันเย้าทนายคอนเนอร์เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำออกไปยังห้องพักซึ่งได้จัดเตรียมไว้ให้ ปล่อยให้ผู้ถูกเย้ายิ้มแหยๆ ตามหลัง ก่อนหันไปเรียกโจชัวซึ่งยังคงนั่งหน้าเครียด ครุ่นคิดอะไรบางอย่างให้ตามไป
“มาเถอะครับ จะได้พักผ่อนกัน เรื่องนั้นเอาไว้คิดต่อทีหลังก็ได้”
ได้ฟัง โจชัวก็จำยอมตัดใจจากความสงสัยนั้นก่อนชั่วคราว เดินตามทนายคอนเนอร์ไปแต่โดยดี ทว่าความรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาดก็พุ่งพล่านในกายเขาอีกครั้งจนเขาชะงักกึก กวาดมองรอบๆ กายหาสิ่งผิดปกติ หากแต่ไม่พบสิ่งใดนอกเสียจากเสียงเรียกของทนายคอนเนอร์ที่ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขาหยุดเดิน
“ตามมาสิครับ คุณมัวร์เดินนำลิ่วไปไกลแล้วนะ”
“ครับๆ”
ชายหนุ่มขานตอบพลันออกเดินอีกครั้ง พร้อมกับคำถามใหม่ซึ่งผุดพรายขึ้นในหัวฉับพลัน
ความรู้สึกเมื่อกี้นี่มันอะไรกันนะ...
พ่อบ้านไบรอันจัดห้องพักเก่าของเจคอบให้กับโจชัวผู้เป็นลูกชาย ห้องนั้นเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์ฝั่งตะวันออกเลยก็ว่าได้ การตกแต่งภายในยังคงรักษารูปแบบเดิมตั้งแต่สมัยยุคกลางโดยไม่มีสิ่งใดๆ เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ฝาผนังห้อง พื้นพรมยันลวดลายของเตียง โจชัวมองว่ามันเป็นศิลปะที่น่าหลงใหลยิ่งนัก รู้สึกชอบใจไม่น้อยที่พ่อที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไม่บูรณะคฤหาสน์นี้ให้กลายเป็นศิลปะร่วมสมัยตามกระแสโลกไปด้วย โดยไม่ทันได้สังเกตว่าตนเองลืมปิดประตู จนใครบางคนซึ่งเดินผ่านมาหยุดมองดูเขามาสักพักหนึ่งแล้ว กระทั่งเสียงแหบห้าวของใครคนนั้นดังขึ้น
“ดูท่าทางจะถูกอกถูกใจคุณมากเลยนะครับห้องนี้น่ะ”
“อ่ะ... อ้อ ครับ”
ใครคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากออแลนโด้ เขายืนกอดอกพิงขอบประตู เอาเท้าไขว้กันอย่างสบายอารมณ์ พลางยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะพลางเงยหน้ามองไปรอบๆ ห้อง ชื่นชมความเก่าแก่ของข้าวของเครื่องใช้บ้าง
“ห้องกว้างดีนะ กว้างกว่าห้องรังหนูของผมเยอะเลยทีเดียว”
แม้ท่าทางของออแลนโด้จะเป็นมิตร หากแต่โจชัวกลับไม่ชอบเอาเสียเลยที่เขาเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต คนเพิ่งจะรู้จักกันเมื่อชั่วโมงก่อนแท้ๆ ก้าวล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเข้ามาราวกับรู้จักกันมานานนมอย่างไรอย่างนั้นแหละ
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”
โจชัวจงใจตัดบทด้วยคำถาม ออแลนโด้ซึ่งกำลังคว้านาฬิกาตั้งโต๊ะไม้โบราณมาดูอยู่ตอบโดยไม่มองหน้า ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าบัดนี้ตนทำเจ้าของห้องไม่พอใจเข้าให้เสียแล้ว
“ผมกำลังจะกลับห้อง พอดีเดินผ่านหน้าห้องคุณก็เลยแวะมาดู อยู่มาตั้งเดือนกว่าๆ ยังไม่เคยเห็นเลยว่าในห้องนี้เป็นยังไง ใหญ่กว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”
“งั้นหรือ แล้วคุณดูจนพอใจหรือยังล่ะครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวน ช่วยออกไปหน่อยเถอะครับ ผมจะได้พักผ่อน”
“คิดว่าพอใจแล้วล่ะ ขอบคุณที่ให้ดูนะครับ”
นาทีนี้เองที่ออแลนโด้จับน้ำเสียงของโจชัวได้ว่าเริ่มหงุดหงิด เขาวางนาฬิกาลงที่เดิน หันไปยิ้มให้เจ้าของห้องคนใหม่ซึ่งหน้างอหงิกไปเล็กน้อยอย่างจริงใจ อันที่จริงเขาก็รู้ตั้งแต่ประโยคแรกแล้วล่ะว่าคนตัวเล็กไม่ชอบใจที่ตนมายุ่มย่าม แต่ไม่รู้เพราะอะไร ถึงอยากได้เห็นใบหน้าได้รูปสวยนั่นแสดงอารมณ์ก็ไม่รู้ คงเป็นเพราะโจชัวเอาแต่ปั้นหน้านิ่งตั้งแต่แรกพบกันล่ะมั้ง ทำให้เขาถึงได้อยากยั่วเย้านัก
“งั้นคุณออแลนโด้เชิญกลับห้องของคุณไปเถอะครับ”
“ได้สิ พักผ่อนให้สบายนะครับ”
โจชัวจ้องใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนรอยยิ้มกว้างอย่างหงุดหงิดจนบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มีท่าทางราวกับไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิดว่ากำลังรบกวนตนอย่างไร้มารยาทอยู่ ขนาดตนพูดออกไปขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ยังยิ้มหน้าชื่นตาบานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ได้ ก่อนจะส่งออแลนโด้ออกนอกห้องแล้วปิดประตูลงพลันถอนหายใจออกมาแรงๆ ทว่าเมื่อเขาเดินห่างจากประตูมาได้หน่อยเดียว ประตูนั้นก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของใครบางคนอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากคนไร้มารยาทเมื่อกี้นี้
“มีอะไรอีกหรือครับคุณออแลนโด้” โจชัวหันขวับ เผลอชักสีหน้าใส่
“ผมแค่จะบอกว่าเย็นนี้เชิญทานอาหารด้วยกันนะครับ ผมกับอเล็กซ์ตกลงจะจัดปาร์ตี้เล็กๆ ต้อนรับคุณน่ะ”
“อย่างนั้นหรือครับ แล้วผมจะไปแล้วกัน มีอะไรอีกมั้ยครับ”
“ประมาณทุ่มนึงนะครับ อย่าเผลองีบจนเลยเวลาล่ะ”
โจชัวพยักหน้ารับ เดินตรงไปผลักบานประตูเบาๆ หวังจะตัดบทจบ แต่พอบานประตูเลื่อนกำลังจะปิดลง ออแลนโด้ก็ใช้ไหล่ดันเข้ามาพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกจนโจชัวขมวดคิ้วมุ่นกับกิริยาของชายคนนี้
“ผมลืมบอกไป เรียกผมออแลนโด้ก็พอ ไม่ต้องเรียกลอว์เรนซ์หรอก ผมเป็นพวกไม่ชอบความเหินห่างน่ะครับคุณโจชัว”
ว่าแล้วก็ขยิบตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะผลุบหายไปตามทางเดิน ปล่อยให้โจชัวบ่นพึมพำกับตัวเองเพียงลำพังในความเฟรนด์ลี่ของออแลนโด้อย่างหัวเสีย เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอคนอย่างเขาคนแรกนี่แหละที่ล้ำเส้นชาวบ้านโดยไม่สนใจว่าชาวบ้านจะโอเคกับการกระทำของเขามั้ย
“นายนั่นนี่พิลึกคนจริงเชียวให้ตาย...”
ความเหนื่อยล้าจากการอดนอนและการเดินทาง ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจทนฝืนสังขาร ใช้เวลาครุ่นคิดกับสิ่งที่ต้องการได้ เผลอทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่ม ปล่อยให้ตนเองเข้าสู่ห้วงความฝันจนเวลาล่วงผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนลืมไปเสียสนิทเลยว่าก่อนหน้านั้นได้รับปากกับออแลนโด้ว่าจะไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เขากับอเล็กซิสต์จัดให้ กระทั่งงานปาร์ตี้เริ่มไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว โจชัวก็ยังไม่อาจหลุดออกจากความฝันของตนเองได้เลย ลำบากถึงหัวหอกงานเลี้ยงที่อาสาขึ้นมาตาม
“คุณโจชัวครับ... คุณโจชัว ได้เวลาแล้วนะครับ คุณโจชัว...”
ทั้งเคาะประตู ทั้งส่งเสียงเรียก แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าโจชัวจะออกมาเปิดประตูให้สักนิด ออแลนโด้ย่นคิ้วเล็กน้อย ชักมือกลับไปจับปลายคางตนเองอย่างครุ่นคิด
“สงสัยคงจะหลับแน่ๆ”
เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเริ่มเคาะประตูเรียกอีกครั้ง กระนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าของห้องจะมาเปิดแต่อย่างใด ทำให้เขาตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเปิดเข้าไปเองเสียอย่างนั้น ทันทีที่ประตูเปิดออก สายตาเขาก็มองผ่านความมืดไปจับจ้องยังร่างบางบนเตียงใหญ่ซึ่งกำลังนอนตะแคงหลับตาพริ้มในห้วงนิทรารมย์โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อกี้นี้นั้น เขาเคาะประตูเรียกจนมือแทบหงิกเพียงใด ก่อนเขาจะหัวเราะพลางส่ายหน้าน้อยๆ
“ว่าแล้วเชียวว่าต้องหลับเพลินจริงๆ ด้วย”
ว่าพลางยื่นมือไปคลำหาสวิตซ์ไปบนผนังห้องก่อนกดเปิด แล้วเดินตรงไปยังโจชัวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่โจชัวพลิกตัวขึ้นมานอนหงาย เผยให้เห็นใบหน้างามสมส่วนไปทุกระเบียดนิ้วราวกับรูปปั้นเต็มสองตา ออแลนโด้นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ยลความงามดั่งศิลปะกรีกโรมันโบราณอันเป็นศิลปะที่มีชีวิตราวกับตกอยู่ในภวังค์ ไม่คิดเลยว่ายามที่ใบหน้าของโจชัวเรียบนิ่งกว่าเดิมนั้น จะแลดูสง่าถึงเพียงนี้ จากเดิมที่ดูโดดเด่นอยู่แล้ว ยามหลับนั้นกลับชวนเชิญให้หลงใหลยิ่งไปใหญ่ แต่ก็เพราะใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้นี่แหละที่ทำให้เขาอยากหยอกล้อนักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พลันก็นึกเรื่องสนุกขึ้นมาได้
ถ้าโจชัวตื่นขึ้นมาเห็นเราอยู่ข้างๆ จะทำหน้ายังไงนะ คงจะตกใจน่าดู ไม่ก็โกรธล่ะมั้ง คิดแล้วก็สนุกแฮะ...
เขารำถึงในใจ ก่อนจะตัดสินใจใช้มือข้างหนึ่งแตะเบาๆ บนไหล่เล็กของคนหลับ พลางร้องเรียกเบาๆ
“คุณโจชัว... คุณโจชัวครับ ตื่นเถอะ ได้เวลาปาร์ตี้แล้วนะ”
“อืม...”
แทนที่จะตื่น ชายหนุ่มกลับปัดมือออแลนโด้ออก ส่งเสียงอือออทั้งๆ ที่ยังหลับตา พร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน แสดงออกว่ารำคาญจนคนขี้แกล้งเผลอหลุดหัวเราะ พอตั้งสติได้ก็สะกิดเรียกอีกรอบแรงกว่าเดิม
“คุณโจชัวครับ... คุณโจชัว...”
นาทีนั้นเองที่โจชัวเริ่มรู้สึกว่ามีใครกำลังเขย่าตัวเขาอยู่ เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดขึ้น พลันใบหน้าขี้เล่นของออแลนโด้ก็พุ่งเข้าสู่เรตินาดวงตา โจชัวตกใจพรึงเพริด รีบลุกขึ้นนั่งทันใด
“คุณเข้ามาในห้องผมได้ยังไง”
“ผมก็เปิดเข้ามาน่ะสิ คุณไม่ได้ล็อกประตูนี่”
ออแลนโด้ตอบหน้าตาเฉย ไม่ฉุกคิดเลยว่าตนทำอะไรลงไป ขณะที่โจชัวเริ่มโมโหขึ้นมาเล็กๆ ที่ออแลนโด้ชักลามปาม ก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขามากเกินไปทั้งๆ ที่เพิ่งจะเจอกันเพียงวันเดียว
“ผมหมายถึงทำไมคุณถึงเข้ามาต่างหาก คุณก็รู้นี่ว่านี่มันห้องส่วนตัวของผม คุณไม่ควรเข้ามาโดยพลการแบบนี้”
เป็นไปตามอย่างที่ออแลนโด้คาดคะเน คนตัวเล็กกระชากเสียง สีหน้าแสดงความขุ่นเคืองอย่างไม่ปกปิดแม้จะพยายามควบคุมอารมณ์แล้วก็ตาม ออแลนโด้ยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงให้ใจเย็นๆ รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องจนโจชัวโกรธเป็นจริงเป็นจัง
“ผมมาเรียกคุณไปทานอาหารน่ะ ทั้งเคาะทั้งเรียกตั้งหลายหนก็ไม่เห็นคุณมาเปิดสักทีเลยเข้ามาปลุก ผมขอโทษที่ไม่ได้ขออนุญาตนะครับ”
