Chapter 2ขอต้อนรับสู่คำสาป[2/2]
“แล้วพอประมาณได้มั้ยครับว่ามีคนอยู่สักกี่หลัง”
“เอ... ล่าสุดที่เห็นมาร่วมพิธีมิสซากับโบสถ์ก็น่าจะราวๆ สิบหลังได้น่ะครับ แต่นับเป็นครอบครัวคงจะไม่ได้เพราะบางหลังก็มีคนเฒ่าคนแก่อยู่คนเดียว แต่คุณโจชัวไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ถึงที่นี่จะเงียบเหงา แต่ผมรับรองว่าที่คฤหาสน์นี่ครึกครื้นจนทำให้คุณรำคาญแน่ๆ”
อเล็กซิสต์ว่าพร้อมหัวเราะน้อยๆ ก่อนหันไปเออออกับทนายคอนเนอร์ที่รู้ดีว่าสาเหตุที่คฤหาสน์ครึกครื้นนั้นเป็นเพราะเหล่าเด็กกำพร้าราวสิบชีวิตพวกนั้นน่ะเอง ขณะที่โจชัวสัมผัสได้ถึงความโหยหาบางอย่างจนเขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก พลันตรงหน้าก็เริ่มเห็นยอดของคฤหาสน์ลิบๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าบัดนี้พวกเขาได้เข้าใกล้ที่หมายแล้ว
“นั่นไงครับคุณโจชัว อีกนิดเดียวก็ถึงคฤหาสน์แล้วครับ”
อเล็กซิสต์ร้องบอกเมื่อเข้าใกล้ทุกที ทนายคอนเนอร์เอี้ยวตัวจากตำแหน่งข้างคนขับมาหาเขา พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดีกับชายหนุ่มที่เขาได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว
“เป็นไงบ้างครับคฤหาสน์หรูสุดแสนสงบย่านเมืองชนบท มันเป็นของคุณแล้วนะครับคุณโจชัว”
โจชัวไม่ตอบ เพียงแต่จ้องมองไปตรงหน้านิ่งๆ มือทั้งสองลอบกำแน่น ข่มความรู้สึกอึดอัดที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ยามรถยนต์เคลื่อนเข้าใกล้คฤหาสน์จนเขาอยากจะสำรอกออกมา ทว่าในวินาทีที่เขารู้สึกจวนเจียนจะทนไม่ไหวนั้น ความรู้สึกคลื่นเหียนก็มลายหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมๆ กับคฤหาสน์ทั้งหลังปรากฏให้เห็นเต็มสองตา หากแต่เขาสนใจเพียงคำถามมากมายซึ่งผุดขึ้นในใจจากอาการเมื่อครู่นี้เท่านั้นจนละความสนใจไปจากความน่าเกรงขามของตัวอาคารตรงหน้าไปฉับพลัน
ความรู้สึกเมื่อกี้นี้มันอะไรกันน่ะ...
รถยนต์จอดสนิทหน้าตัวคฤหาสน์ อเล็กซิสต์ลงจากรถคนแรกตามด้วยทนายคอนเนอร์ ขณะที่โจชัวเพิ่งหลุดจากความคิดตัวเองยังคงชื่นชมกับตัวคฤหาสน์ที่เห็นตรงหน้าว่ามันน่าเกรงขามเพียงใด มองไกลๆ ก็รู้สึกแล้วว่ายิ่งใหญ่ หากแต่พอยิ่งได้เห็นใกล้ๆ ยิ่งสัมผัสได้ถึงความขลังของมัน ตัวอาคารนั้นก่อด้วยหินบล็อกสีเทาซึ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำตามอายุและสภาพดาฟ้าอากาศที่แปรผันพัดผ่านร่วมหลายร้อยปี บางแห่งของตึกมีไม้เลื้อยจำพวกกาฝากเกาะชอกชอนตามร่องอิฐแน่น และป่าทึบรอบๆ ตัวคฤหาสน์นั้นสร้างความน่าสะพรึงให้กับมันอีกไม่น้อย ทว่าความน่าเกรงขามของมันกลับพังทลายหายไปทันใดเมื่อเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กเล็กๆ นับสิบคนพากันวิ่งกรูออกมาต้อนรับผู้มาใหม่อย่างร่าเริง
“พี่อเล็กซ์! พี่อเล็กซ์กลับมาแล้ว!”
“เย่! ขนมๆ!”
เด็กๆ เหล่านั้นวิ่งเข้ามาโถมกอดอเล็กซิสต์ที่กำลังหอบข้าวของของแขกผู้มาใหม่เข้าข้างในจนเขาต้องรีบวางของลง อ้าแขนรับเด็กๆ พวกนั้นด้วยเกรงว่าจะสะดุดหกล้มเพราะถูกล้อมหน้าล้อมหลังไว้แบบนี้
“วันนี้ไม่มีขนมให้หรอกนะ พี่ไม่ได้ไปเที่ยว มีแขกน่ะเห็นมั้ย สวัสดีคุณคอนเนอร์กับคุณโจชัวซะสิเด็กๆ”
สิ้นเสียง เด็กๆ ก็ทำตามอย่างว่าง่าย มีเพียงทนายคอนเนอร์คนเดียวที่ยิ้มและยกมือทักทายอย่างไม่เกร็ง แต่โจชัวทำได้เพียงหยักยิ้มอย่างยากลำบากด้วยไม่คุ้นชิ้นกับสถานการณ์แบบนี้ และก่อนจะเก้ๆ กังๆ ไปมากกว่านี้ หญิงวัยกลางคนในชุดนักบวชหญิงนิกายโรมันคาธิลิกก็เดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี ไม่ต่างจากพวกเด็กๆ “สวัสดีค่ะคุณคอนเนอร์ ส่วนคุณ...”
“โจชัว โจนส์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโจนส์ครับ ซิสเตอร์[ ซิสเตอร์ คือ นักบวชหญิงในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาธอลิก] เกว็นเนส”
ไม่ทันได้ถามจบ ทนายคอนเนอร์ก็ชิงแนะนำเสียก่อน ซิสเตอร์เกว็นเนสยิ้มกว้าง ทักทายชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร
“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ค่ะคุณโจนส์”
“เรียกโจชัวก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
หล่อนยิ้มอย่างใจดีก่อนขอตัวไปพาเด็กๆ เข้าไปข้างในเพื่อจะได้ไม่รบกวนให้รำคาญใจ ทิ้งให้ชายหนุ่มสงสัยไม่น้อยว่าเหตุใดถึงได้มีซิสเตอร์มาอยู่ในคฤหาสน์ของเขา แต่พอจะอ้าปากถามเท่านั้น ทนายคอนเนอร์ก็เข้ามาข้างๆ ให้คำตอบกับเขาโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถาม
“อย่างที่ผมบอกว่าคฤหาสน์นี่ไม่เคยเงียบเหงาแหละครับ นอกจากผู้ช่วยพ่อบ้านอย่างอเล็กซิสต์แล้ว ก็ยังมีซิสเตอร์เกว็นเนสจากโบสถ์ในหมู่บ้านที่มาช่วยดูแลเด็กๆ โดยไม่คิดค่าแรงอีกคน นี่ยังไม่ครบนะครับ ยังขาดอีกหลายคน
ทีเดียว”
โจชัวอดคิดไม่ได้ว่าทนายคอนเนอร์นั้นมีพลังจิตอ่านใจตนได้หรือเปล่า แต่ก็ดีอย่างที่เขาไม่ต้องเอ่ยปากถามให้เสียเวลา
“ผมว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะครับ คุณลุงไบรอันคงอยู่ที่ห้องรับแขก เราไปคุยกันต่อที่นั่นดีกว่า”
ในที่สุดอเล็กซิสต์ก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญเพราะไม่อยากทนแบกสัมภาระอีกต่อไป เมื่อผู้มาใหม่เห็นดีด้วยก็เริ่มเคลื่อนย้าย ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปในตัวคฤหาสน์ดี เสียงรถไถก็ดังปุเรงๆ มาแต่ไกลๆ เรียกให้ทั้งสามชีวิตหันไปยังผู้ขับมันโดยพลัน ก่อนที่อเล็กซิสต์จะยิ้มร่าแล้วตะโกนเรียกชื่อร่างใหญ่บนรถไถนั้นเสียงดัง
“เฮ้ คุณออแลนโด้! กลับมาได้จังหวะพอดีเลย ช่วยผมขนของหน่อยสิ!”
ชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดชาวไร่ไม่ต่างจากอเล็กซิสต์กระโดดลงจากหลังรถไถซึ่งดับเครื่องสนิท เอ่ยทักกลับอย่างยียวนพลางเสยผมรองทรงสีดำเข้มให้เข้าที่ นัยน์ตาสีน้ำตาลประกายวาว บ่งบอกให้รู้ว่าเขานั้นเป็นคนที่ร่าเริงสดใสเพียงใด
“หน้าที่นายก็ทำเองสิ มาใช้คนอื่นต่อนี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน”
อเล็กซิสต์ได้ยินดังนั้นก็โอดครวญ ขณะที่ท่าทางของผู้มาใหม่ยียวนกวนประสาทจนทนายคอนเนอร์อดหัวเราะกับความขี้เล่นของเขาไม่ได้ ต้องแซวขึ้นมา
“ยังอารมณ์ดีเหมือนเดิมเลยนะออแลนโด้”
“สวัสดีครับคุณคอนเนอร์ หนุ่มขึ้นเป็นกองเลยนะครับ”
ชายหนุ่มทักทายกลับ ตรงเข้าไปจับมือ ตบไหล่ตบบ่ากับทนายคอนเนอร์เป็นการใหญ่ ก่อนจะสังเกตเห็นได้ว่ามีใครบางคนกำลังยืนมองเขาอยู่ แม้จะไม่คุ้นหน้าแต่ก็พอเดาได้ว่าเป็นใคร พลันหันไปแนะนำตัวโดยไม่ต้องรอให้ทนายคอนเนอร์ชิงแนะนำตัวให้ก่อน
“คุณคงเป็นคุณโจนส์สินะ ผมออแลนโด้ ลอว์เรนซ์ครับ” ว่าพลางยื่นมือให้จับ
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมโจชัว โจนส์”
“อันนั้นผมทราบแล้วล่ะว่าคุณเป็นใคร”
ใบหน้าหล่อเหลาฉาบพรายไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นจนโจชัวสัมผัสได้ในชั่ววินาที พร้อมกับแปลกใจกับลักษณะบุคลิกประหนึ่งคนเมืองของเขาว่าเหตุใดชายหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะเจ้าสำอางตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับเป็นนักธุรกิจหรือเอ็นเตอร์เทนเนอร์อะไรเทือกนั้นถึงได้มาอยู่ในชนบทที่ไม่มีอะไรเลยอย่างนี้ จนอดใจเอ่ยถามไม่ได้
“แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณเป็นใคร”
“อ๋อ ออแลนโด้เป็น...”
“ผมเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ดูแลสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าของคุณโจนส์ครับ”
ออแลนโด้ตัดบทตอบก่อนที่ทนายคอนเนอร์จะชิงตอบแทนตัวเองทั้งหมดอย่างที่ทำประจำ ทำเอาอเล็กซิสต์หัวเราะร่ากับท่าทางของทั้งสองคน ขณะที่ทนายคอนเนอร์อมยิ้ม ส่ายหน้าเล็กน้อยราวกับเป็นผู้แพ้ในศึกแย่งกันพูดครั้งนี้ เว้นเสียแต่โจชัวที่ไม่สนใจอะไร นอกเสียจากยังคงสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มเช่นนี้ถึงเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่ แม้ว่าเขาจะบอกไปแล้วว่าเป็นผู้ดูแลสถานสงเคราะห์ของพ่อตนเองก็ตาม
“ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาดูแลที่นี่นี่ครับ คุณพ่อผมจ่ายให้เยอะหรือไง”
แม้น้ำเสียงจะเป็นปกติและโจชัวไม่ได้รู้สึกอคติอย่างใด แต่ลักษณะประโยคนั้นฟังแล้วคล้ายกับว่าหาเรื่องอย่างไรไม่รู้ ไม่เพียงออแลนโด้ แต่ทนายคอนเนอร์และอเล็กซิสต์ก็รู้สึกว่ามันทะแม่งๆ อดหวั่นใจไม่ได้ว่าอาจมีอะไรไม่ถูกใจโจชัวสักอย่างก็เป็นได้ ขณะที่ออแลนโด้นั้นทำใจดีสู้เสือ ปั้นยิ้มตอบรับไปอย่างปกติที่สุด
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่ผมก็มีเหตุผมส่วนตัวอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว”
“อืม”
โจชัวตอบรับเพียงสั้นๆ พินิจชายร่างสูงตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่ามองอย่างไร เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าออแลนโด้นั้นเป็นพวกเอนเตอร์เทนเนอร์ไม่ได้เลยสักนิด ก็ดูลักษณะท่าทางเขาสิ หล่อเนี้ยบไปทุกระเบียดนิ้วแม้จะอยู่ในชุดชาวไร่ขนาดนี้ ให้คิดไปเป็นอย่างอื่นก็ยาก
“เรื่องอื่นไว้ไปสอบปากคำกันที่ห้องรับแขกเถอะครับ ผมถือกระเป๋าคุณโจชัวจนเมือยจะแย่อยู่แล้ว“
แล้วอเล็กซิสต์ก็เบี่ยงประเด็นอีกครั้งเพราะเห็นว่าหากไม่ทำอะไรสักที เขาคงต้องยืนค้างเติ่งอย่างนี้อีกนานแน่ ทุกชีวิตเห็นดีด้วย ทว่าเมื่อตั้งท่าจะก้าวเข้าไปข้างในนั้นอีกครั้ง ร่างสูงผอมของใครบางคนก็ปรากฏกายอยู่หน้าประตู พร้อมกับน้ำเสียงเย็นเยียบ ชวนให้โจชัวขนลุกก็ดังขึ้นทักทายราวกับเสียงกระซิบของตัวคฤหาสน์อย่างไรอย่างนั้น
“คุณโจชัว โจนส์สินะครับ เข้ามาสิ ผมรอคุณอยู่นานแล้ว คฤหาสน์แห่งนี้ยินดีต้อนรับ...”
