บท
ตั้งค่า

Chapter 2ขอต้อนรับสู่คำสาป[2/1]

ทนายคอนเนอร์จองไฟลท์เครื่องบินจากลอนดอนสู่แมนเชสเตอร์ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวานหลังแจ้งจุดประสงค์กับพ่อบ้านประจำคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโจนส์จะไปอาศัยอยู่ที่นั่น ด้วยเหตุนี้เอง โจชัวจึงต้องรีบเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเป็นการด่วนด้วยทนายคอนเนอร์ได้จองเที่ยวบินช่วงเช้ามืดเอาไว้ เวลาเพียงน้อยนิดทำให้ชายหนุ่มเลือกเอาข้าวของดูต่างหน้าของแม่กับเสื้อผ้าเพียงสองสามชุดติดตัวมา ทิ้งให้ทนายคอนเนอร์จัดการจัดส่งส่วนที่เหลือตามไปในภายหลัง

และตอนนี้ก็ได้เวลาที่ทั้งคู่โบกมือลากรุงลอนดอนเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์ ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บนเครื่องบินที่จองไว้ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ทำเอาชายวัยกลางคนซึ่งทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เอ่ยทักอย่างล้อเลียน

“อพาร์ตเม้นต์หรูๆ ในลอนดอนมีไม่เอา ไปเอาคฤหาสน์เก่าๆ ก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้หน่อยนะครับ”

โจชัวเพียงชำเลืองหางตามองด้วยความว่างเปล่า ไม่มีถ้อยคำใดๆ หลุดออกจากปากก่อนพยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นเชิงว่าขานรับ เรียกเสียงหัวเราะในท่าทางของเขาจากทนายคอนเนอร์ได้ทันใด

“ไม่แปลกหรอกครับถ้าจะเหนื่อยขนาดนี้ เมื่อวานก็วุ่นวายกับงานศพคุณแม่ของคุณมาทั้งวัน ไหนจะวุ่นวายเรื่องหาที่อยู่ใหม่อีก อย่างนี้นี่พอไปถึงคฤหาสน์เมื่อไหร่ ผมว่าคงหลับเป็นตายแน่”

“ถ้าคุณไม่วิตกกลัวนักข่าวจะเอาผมไปเขียนข่าวซุบซิบให้คุณเสียหน้าล่ะก็ ป่านนี้ผมคงยังนอนซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ล่ะมั้ง”

โจชัวว่าเนือยๆ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนข้างๆ ได้ไม่น้อยทีเดียว

“เอาน่า ตอนคุณเจคอบยังมีชีวิตอยู่ เขาก็เดินทางบ่อยจนไม่ได้พักผ่อนเป็นประจำเหมือนกันครับ อย่างที่เขาว่ากัน พ่อลูกยังไงก็เชื้อไม่ทิ้งแถว ต่างกันนิดเดียวตรงที่คุณเจคอบเป็นคนชอบสังคม ต่างจากคุณที่ดูเหมือน...”

“เก็บตัว...”

โจชัวต่อประโยคให้โดยอัตโนมัติ ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปยังใบหน้าเหี่ยวย่นของชายวัยกลางคนด้วยความรู้สึกที่เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าคนตรงหน้ามีอะไรอยู่ในใจกันแน่ มันแลดูเศร้า โดดเดี่ยวและเจ็บปวดจนไม่อาจจะสรุปแน่ชัดออกมาได้ว่ามันเป็นความรู้สึกใด

“อีกอย่าง... ผมไม่เหมือนกับพ่อผม ไม่เหมือนเลยสักนิด...”

โจชัวว่าเสริม ทนายคอนเนอร์เงียบไปด้วยรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของชายหนุ่มนั้นเป็นเช่นไร เขารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไปพูดเปรียบเทียบอย่างนั้น ทำให้บรรยากาศโดยรอบของการสนทนาตึงเครียดไปในนาทีนั้น ความเงียบเข้ามาปกคลุกทั้งสอง แทนที่ด้วยเสียงใสของแอร์โฮสเตสสาวที่กำลังสาธิตเครื่องชูชีพต่างๆ ก่อนเครื่องจะขึ้นบิน ทว่าเพียงครู่เดียว ทนายคอนเนอร์ก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง

“เออ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีใครคนหนึ่งอยากแนะนำให้คุณรู้จัก” ว่าแล้วก็ค้นกระเป๋าเอกสารครู่หนึ่งก่อนจะหยิบรูปถ่ายออกมาส่งให้ชายหนุ่ม

“นี่ครับ พ่อบ้านประจำคฤหาสน์ ชื่อไบรอัน มัวร์ ครอบครัวของคุณมัวร์ดูแลคฤหาสน์นี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าหากมีอะไรสงสัยหรือต้องการอะไรเพิ่มเติม ก็สอบถามได้โดยตรงเลยนะครับ เขาคงจะให้ข้อมูลที่คุณต้องการได้มากกว่าผม”

โจชัวรับภาพถ่ายนั้นมาดู มันเป็นภาพถ่ายขาวดำของชายชราวัยเจ็ดสิบกว่าปีในชุดทักซิโด้ สีหน้าบนใบหน้าเหี่ยวย่นแลดูราบเรียบดุดันราวกับว่าเป็นคนเจ้าระเบียบมากคนหนึ่ง หางตาและมุมปากตกลงนั้น ทำให้เขาดูดุอย่างบอกไม่ถูก โจชัวดูรูปถ่ายนั้นได้ครู่เดียวก็หันไปถามทนายคอนเนอร์ นับเป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากบางเฉียบของชายหนุ่มตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาเลยก็ว่าได้

“มีเขาดูแลอยู่คนเดียวหรือครับ”

“ไม่หรอกครับ ยังมีผู้ช่วยและเจ้าหน้าที่ดูแลเด็กที่คุณเจคอบจ้างมาอยู่ด้วยอีกหลายคน ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คฤหาสน์นั้นไม่เคยเงียบเหงาหรอก”

โจชัวไม่รู้เลยว่าที่ทนายคอนเนอร์พูดว่า ‘คฤหาสน์นั้นไม่เคยเงียบเหงา’ นั้นมีความหมายว่าอย่างไร ได้แต่พยักหน้ารับและเงียบตลอดการเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์

ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ไฟลท์บินของทนายมือฉมังและเศรษฐีหน้าใหม่ก็มาถึงยังจุดหมาย ทันทีที่ถึงอาคารผู้โดยสารขาเขา ทนายคอนเนอร์ก็กวาดสายตามองหาใครบางคนซึ่งได้นัดหมายให้มารับตั้งแต่เมื่อคืนวาน กระทั่งเสียงทุ้มแหบของชายหนุ่มดังขึ้นไม่ไกลนัก เรียกให้เขาหันไปยังผู้เป็นเจ้าของเสียงทันที

“คุณคอนเนอร์ครับ! ทางนี้ครับ ทางนี้!”

ชายหนุ่มชาวเอเชียผิวสีแทนโบกไม้โบกมือเรียกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาใส่เสื้อลายสก็อตทับด้วยชุดเอี๊ยมและรองเท้าบูทยาง บ่งบอกตัวตนของเขาว่าเขานั้นเป็นชาวไร่เต็มตัว ทนายคอนเนอร์เห็นก็พลันร้องทักอย่างคุ้นเคย

“สวัสดี อเล็กซิสต์ ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะ”

“ครับ ผมสบายดี ดูคุณสิ หล่อขึ้นเป็นกองเลย”

โจชัวมองผู้มาใหม่อย่างพินิจ ดูแล้วชายที่ชื่ออเล็กซิสต์จะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีไม่น้อย ท่าทางเขาจะค่อนข้างสนิทสนมกับทนายคอนเนอร์เสียด้วย ดูจากใบหน้าแล้ว คาดว่าอายุอานามก็คงไม่น่าจะห่างจากตนเท่าไหร่นัก

โจชัวมองทั้งคู่สนทนาทักทายกันครู่หนึ่ง ก่อนทนายคอนเนอร์จะหันมาแนะนำเขาให้อเล็กซิสต์รู้จัก

“เอ้อ นี่คุณโจชัว โจนส์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโจนส์ที่ฉันบอกจะพามาน่ะ ทำความรู้จักไว้สิ”

“สวัสดีครับคุณโจนส์ ผมอเล็กซิสต์ครับ”

“สวัสดีครับ เรียกโจชัวเฉยๆ ก็ได้ ผมไม่ถือ”

โจชัวตอบรับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ก่อนยื่นมือไปจับทักทาย แม้ใบหน้าจะยิ้ม กระนั้นอเล็กซิสต์ก็สัมผัสได้ว่ามันเศร้าเพียงใด หากแต่เขาไม่ใส่ใจนักเพราะพอรู้ประวัติของชายตรงหน้าคร่าวๆ จากทนายคอนเนอร์แล้วว่าโจชัวผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง นอกจากยิ้มกว้างจนตาหยี ผูกพันธไมตรีอย่างธรรมชาติ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“อเล็กซิสต์เป็นเด็กในดูแลของคุณมัวร์ครับ จะเรียกว่าเป็นผู้ช่วยพ่อบ้านก็ได้ นี่ก็เป็นอีกคนที่คุณโจชัวสามารถถามข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์ได้ เขารู้ข้อมูลดีพอๆ กับคุณมัวร์เลยครับ”

ทนายคอนเนอร์เสริม พร้อมตบบ่าอเล็กซิสต์ โจชัวพยักหน้ารับ

“ขอฝากตัวด้วยนะครับ”

“ได้ครับ ผมยินดีเสมอ แต่ผมว่าตอนนี้เราไปกันเลยดีกว่า ขืนมัวชักช้า เราอาจไปถึงที่คฤหาสน์ค่ำแล้วคุณโจชัวจะอดชมตัวคฤหาสน์ก่อนมืดเอานะครับ จากสนามบินไปที่นั่นก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เกือบจะพอๆ กับนั่งเครื่องบินจากลอนดอนมาที่แมนเชสเตอร์นี่เลย” อเล็กซิสต์ว่าติดตลกเพราะเห็นว่าทนายคอนเนอร์คุยไม่เลิก

“นั่นน่ะสิ งั้นเราไปกันเถอะ อ่ะ นี่กระเป๋าของคุณโจชัว ฝากด้วยนะอเล็กซิสต์”

ทนายคอนเนอร์ถือวิสาสะคว้ากระเป๋าสัมภาระของโจชัวส่งให้อเล็กซิสต์จัดการนำไปยังรถ ก่อนเขาจะบรรทุกเข้าท้ายอย่างรู้งาน แล้วกลับมาบริการเปิดประตูให้ราวกับโจชัวนั้นเป็นเจ้าชายก็ไม่ปาน ทนายคอนเนอร์คงจะคุ้นชินกับการบริการสุดแสนจะธรรมดาอย่างนี้ คงมีแต่โจชัวล่ะมั้งที่อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขาได้แต่หวังว่าที่คฤหาสน์นั้นคงจะไม่มีคนมาคอยทำให้ทุกอย่างเหมือนกับในละครช่วงหัวค่ำที่เขาเคยดูผ่านๆ หรอกนะ

เป็นจริงอย่างที่ทนายคอนเนอร์ว่าว่าคฤหาสน์เก่าประจำตระกูลนั้นอยู่ในที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เพราะมันอยู่ไกลออกไปจากตัวเมืองตั้งหลายสิบกิโลเมตร ยิ่งอเล็กซิสต์ขับรถมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์นั้นเท่าไหร่ ต้นไม้และป่าข้างทางก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเท่านั้นจนกระทั่งบ้านเรือนสักหลังก็แทบไม่เห็น ฟังว่าคฤหาสน์นั้นตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านโบราณที่ปัจจุบันนั้นรกร้างไปแล้ว มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังอยู่อาศัยเป็นบางครั้ง นานๆ ก็กลับมาทำการเกษตรกันไปเรื่อยเปื่อยสักที อย่างที่ว่ากันว่าเมื่อใดที่ความเป็นเมืองเติบโตขึ้น เมื่อนั้นวิถีความเป็นชนบทก็ลดถอยลงนั่นแหละ

กว่าชั่วโมงที่ใช้ชีวิตอยู่บนรถเก๋งรุ่นโบราณ ทำให้โจชัวผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเข้าสู่เขตของหมู่บ้าน เสียงของอเล็กซิสต์ก็ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาดูสองข้างทางพลัน

“เข้าเขตหมู่บ้านแล้วครับคุณโจชัว เข้าไปอีกหน่อยก็จะถึงคฤหาสน์แล้วครับ”

โจชัวขยี้ตามองสองฝั่งถนน เขาไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบายสภาพความเป็นล้าหลังของที่นี่ได้เลย บอกได้เลยว่าเขาแทบไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีชุมชนใดในอังกฤษที่กันดารได้ถึงขนาดนี้อีกแล้ว ถนนซึ่งรถใช้วิ่งยังคงเป็นดินลูกรัง ปรากฏรอยล้อรถให้เห็นชัดเจนว่ามันถูกขับบดมามากมายเพียงใด สีเขียวชอุ่มของแปลงข้าวโพดขึ้นสูงชะลูดเต็มสองฝั่งนั้นก็หาได้เป็นระเบียบเท่าไหร่นัก ราวกับว่าเจ้าของแปลงไม่ได้ใส่ใจในการเพาะปลูกนัก กระนั้นมันก็ขึ้นยาวเต็มสองฟากฝั่งไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่เห็นแม้แต่บ้านและโรงนาหรืออะไรที่จะพอบ่งบอกได้ว่าเป็นหมู่บ้านได้เลย แม้แต่เสาไฟให้ความสว่างก็ไม่มีสักต้น ชายหนุ่มอดจินตนาการไม่ได้เลยว่าหากเขาหลงมาละแวกนี้ตอนกลางคืนนั้น เขาคงจะรู้สึกไม่ต่างไปจากอยู่ในเขาวงกตเลยสักนิด

ครู่ใหญ่ๆ เขาก็เริ่มเห็นหลังคาของสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง มันเป็นตึกเก่าเล็กๆ ตั้งตระหง่าน มีผู้คนเดินเข้าออกประปราย ข้างๆ กันมีพื้นที่คล้ายๆ สวน หากแต่มองดูดีๆ แล้วจะเห็นเสาสลักหินคล้ายๆ แผ่นป้ายตั้งอยู่ในรั้วล้อมแบบลวกๆ ซึ่งทำด้วยเหล็ก พอให้เดาได้ว่านั่นคืออะไร

“ตรงนั้นเป็นโบสถ์ของหมู่บ้านครับ เรียกว่าเป็นจุดนัดพบของคนในหมู่บ้านก็ว่าได้ เป็นโบสถ์เก่าแล้วครับ เห็นว่าอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โน่น”

เป็นอย่างที่โจชัวเดาไม่มีผิดเมื่อได้ยินเสียงของอเล็กซิสต์ที่ให้ข้อมูลอย่างรู้หน้าที่ โจชัวเริ่มสังเกตเห็นว่าเริ่มมีบ้าน มีโรงนาผุดพรายให้เห็นโดยรอบ ทำให้เขาเริ่มอุ่นใจขึ้นมาว่าเขาไม่ได้มาอยู่ในใจกลางหมู่บ้านร้างเสียทีเดียว แต่ก็ผิดวิสัยไปสักหน่อย ที่แม้จะมีบ้านมากมาย ทว่าดูซบเซาเหมือนจะปล่อยร้างไว้ จนอดไม่ได้ต้องถามคนขับ

“บ้านพวกนั้นมีคนอยู่มั้ยครับ”

“มีเป็นบางหลังน่ะครับ ส่วนใหญ่ก็คนเก่าคนแก่ของที่นี่ที่ไม่ยอมย้ายเข้าเมืองตามลูกหลาน พูดง่ายๆ ก็คือหวงบ้านน่ะครับ นานๆ ลูกหลานก็กลับมาเยี่ยมสักที”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel