บท
ตั้งค่า

6 ความหวาดระแวง

6

ความหวาดระแวง

“ท่านเซียน”

เดินออกจากห้องมาได้ไม่เท่าไหร่ จินหลงก็พบเข้ากับสาวรับใช้สองนาง คนหนึ่งถือถาดใส่เสื้อผ้า ส่วนอีกคนถือสำรับอาหารเดินคู่กันมาเข้าพอดี ทั้งสองคนย่อกายเล็กน้อยพร้อมกล่าวเรียกคล้ายทักทาย เขาจึงหยุดเดินเพื่อถามสิ่งที่ตนอยากรู้กับพวกนาง

“เอ่อ...พวกท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าเจ้าเมืองจุนเฟิงอยู่ที่ใด?”

“ท่านเหวินหยางอยู่ที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ”

แม้จะรู้จุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้ว ทว่าจินหลงกลับไม่รู้เส้นทาง เขายืนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขอความช่วยเหลือกับสาวรับใช้อีกครั้ง

“ท่านพอจะพาข้าไปหาเขาได้หรือไม่? พอดีข้าไม่รู้เส้นทางน่ะ”

“เจ้าค่ะ”

สาวรับใช้ตอบรับอย่างสุภาพ นางวางถาดอาภรณ์ที่ถืออยู่ลงบนเก้าอี้ไม้บริเวณข้างทางเดิน หันบอกเพื่อนอีกคนให้อยู่เฝ้าข้าวของที่นี่ หมุนกายเดินนำหน้าพาจินหลงไปยังจุดหมายที่เขาต้องการไป

เดินกันมาได้ราวๆ ชั่วหนึ่งอึดใจ ร่างของบุรุษที่จินหลงประสงค์จะเข้าพบก็ปรากฏให้เห็น เหวินหยางกำลังยืนมองสายฝนโปรยปรายลงจากฟากฟ้า หยดน้ำหล่นจากหลังคาร่วงสู่พื้นดินด้านล่าง ด้วยใบหน้าเอิบอิ่มยิ้มแย้ม ราวกับคนที่กำลังมีความสุขอยู่เต็มหัวใจ

บุรุษรูปงามกับรอยยิ้มสดใสช่างเป็นภาพที่น่าชมยิ่งนัก จินหลงเผลอไผลไปกับรอยยิ้มละมุน ราวกับเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ของจินตนาการ จนกระทั่งสาวรับใช้ซึ่งทำหน้าที่เดินนำทางมา กล่าวขึ้นเรียกความสนใจจากจินหลง

“ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองสตรีตรงหน้า และเมื่อสติคืนกลับมาหลังหลุดลอยไปตามสายลมอยู่ชั่วครู่ จินหลงจึงกล่าวคำขอบคุณนาง

“ขอบใจท่านมาก”

สาวรับใช้ย่อกายตอบรับเล็กน้อยและเดินจากไป จินหลงจึงสาวเท้าตรงเข้าไปหาเหวินหยาง ที่ตอนนี้เหมือนจะรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของเขา

“ท่านเซียน มีธุระสำคัญหรือ ถึงได้มาหาข้าถึงเรือนพักผ่อนส่วนตัว?”

เมื่อจินหลงเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เหวินหยางจึงเปิดประเด็นถามด้วยความอยากรู้ทันที ซึ่งจินหลงเองก็ตอบคำถามอย่างชัดเจน

“ใช่ พอดีมีบางเรื่องอยากถามท่าน และไม่อาจรั้งรอเวลาพบกันในครั้งถัดไปได้ จึงถือวิสาสะให้คนของท่านเดินนำทางมา”

“ได้สิ เชิญท่านนั่งลงก่อน”

มือใหญ่ผายเชิญแขกคนสำคัญให้นั่งลงตรงโต๊ะน้ำชา ที่ถูกจัดวางไว้บริเวณพื้นด้านหน้าเรือนพักผ่อนส่วนตัวของเขา บรรยากาศตอนนี้ช่างเหมาะเจาะแก่การนั่งจิบน้ำชาคุยกันยิ่งนัก อากาศเย็นสบาย เสียงฝนตกกระทบหลังคาพาให้รู้สึกเพลิดเพลิน

“มีเรื่องใดอยากถามข้า? ว่ามาสิ”

หลังรินน้ำชาใส่ถ้วยให้จินหลงและตนเองแล้ว เหวินหยางจึงเปิดบทสนทนาอีกครั้ง

“ข้ามีบางสิ่งข้องใจ ตอนอยู่ที่ลานกว้างเหมือนข้าได้ยินท่านพูดถึงพิธีอะไรบางอย่าง ว่าแต่มันคือพิธีอะไรหรือ?”

ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจินหลงจะจำได้รางๆ ว่าเหวินหยางเอ่ยถึงพิธีบวงสรวงอะไรสักอย่าง

“พิธีบวงสรวงขอขมาน่ะ”

“บวงสรวงขอขมา? แล้วก่อนหน้าที่ข้าจะปรากฏตัวกลางลานกว้าง ไม่ทราบว่าท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่?”

“ก่อนหน้านั้น ข้ากำลังตั้งจิตภาวนาอธิษฐานอยู่”

ฟังๆ ดูทั้งการจัดพิธีบวงสรวงทั้งการอธิษฐาน มันก็ไม่ได้มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับจินหลงเลยสักนิด แล้วเหตุใดเขาถึงได้โผล่มายังดินแดนนี้ได้ มันต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญสิ

“ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ ว่าท่านกำลังบวงสรวงขอขมาสิ่งใด และคำอธิษฐานที่ท่านตั้งจิตคือเรื่องใดกัน?”

สีหน้าจินหลงดูจริงจังเคร่งเครียดจนเหวินหยางอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เหตุใดจินหลงถึงได้ตั้งคำถามแปลกๆ ทั้งที่ตนเป็นถึงเทพเซียนบนสวรรค์ ก็ย่อมต้องรับรู้ว่าเขาภาวนาขอสิ่งใด ไม่เช่นนั้นจะปรากฏกายลงมาเพื่ออันใด

“ท่านเป็นเซียนบนสวรรค์ ไม่ใช่ว่ารับรู้คำอธิษฐานของข้าอยู่แต่แรกแล้วหรอกหรือ?”

คิ้วได้รูปขมวดชนกันเล็กน้อย ใช้สายตาสงสัยกดดันมองคู่สนทนา จนจินหลงเกิดอาการเลิ่กลั่ก

แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว เขาไม่ได้แอบอ้างหรือพูดอะไร ที่เป็นการยอมรับว่าตนเป็นเทพเซียน พวกเขาโมเมและคิดไปเองกันทั้งนั้น

“ข้าไม่เคยบอกนะว่าตัวเองเป็นเทพเซียน พวกท่านเข้าใจผิดกันไปเองต่างหาก”

ดวงหน้าจิ้มลิ้มหันหนีสายตาตกใจ หยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นจิบดื่มแก้เก้อ ขณะที่เหวินหยางกำลังรู้สึกสับสนงุนงงกับประโยคเมื่อครู่

“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าตนเองไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าคิดและเข้าใจอย่างนั้นรึ งั้นความจริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?”

ร่างสูงตระหง่านลุกขึ้นยืนพรวด กล่าวถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกสงสัย หากจินหลงไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ก็คงเป็นปีศาจอย่างที่ชาวเมืองผู้นั้นกล่าวหา

เมื่อคิดได้เช่นนั้นดวงตาคมกริบจึงเบิกโพลง ชักเท้าถอยหลังหนึ่งก้าวราวกับกำลังหวาดกลัว ก่อนเอ่ยสิ่งที่ตนคิดอยู่ภายในใจออกมา

“หรือว่า…ปีศาจ!!”

น้ำชาในปากจินหลงแทบพุ่งออกมา เขาจึงรีบกลืนมันลงไปในลำคออย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดอาการสำลักยกใหญ่

“แค่กๆๆๆ ท่านพูดบ้าพูดบออันใด?”

“ก็ในเมื่อเจ้าไม่ใช่เซียน ก็มีอีกเพียงสิ่งเดียวที่เป็นได้คือปีศาจ!”

“เพราะเหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้นเล่าท่านเจ้าเมือง?”

ในแผ่นดินต้าหวงมีเพียงเซียนกับปีศาจเท่านั้นหรือ ชาวเมืองจุนเฟิงไยถึงได้มีความคิดคับแคบเยี่ยงนี้ หน้าตารูปลักษณ์ของจินหลงก็ไม่ได้ดูแปลกประหลาดพิสดาร มีสองมือสองเท้าเหมือนกับคนปกติทั่วไป ใช่ว่ามีสามตาสี่หูเสียเมื่อไหร่กัน

“การที่เจ้าปรากฏกายขึ้นกลางลานพิธีโดยไร้ที่มาที่ไป แถมก่อนหน้านั้นยังเกิดเหตุอาเพศ ลมฟ้าลมฝนพัดโหมกระหน่ำ สายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างจนผู้คนต้องวิ่งหลบกันให้จ้าละหวั่น”

“…”

“และสำคัญเลยนะ ฝนที่ไม่ตกมาร่วมห้าปีเต็มๆ กลับหลั่งจากท้องฟ้าทันทีที่เจ้าปรากฏตัว”

ริมฝีปากบางเฉียบอ้าค้างด้วยความตกตะลึง กับปรากฏการณ์ที่เหวินหยางเล่าให้ฟัง มันก็ดูสมเหตุสมผล ให้ผู้คนมองเขาเป็นเซียนไม่ก็ปีศาจจริงๆ นั่นแหละ

“เอ่อ… งั้นข้าเป็นเซียนก็ได้”

ในเมื่อสถานการณ์มันบีบบังคับ ให้ต้องเลือกเป็นได้เพียงแค่เซียนกับปีศาจ จินหลงก็คงต้องตามน้ำ เป็นเซียนไปตามความเข้าใจของทุกคน

ใครจะอยากเป็นปีศาจกันเล่า อยู่โลกนู้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ไร้ค่า ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามก็น่าหงุดหงิดพอแล้ว มาโลกนี้หากถูกเข้าใจว่าเป็นปีศาจ ก็คงไม่พ้นต้องอยู่กับสายตาหวาดกลัวของผู้คน

“พูดจากลับไปกลอกมาดูไม่น่าเชื่อถือ แล้วเช่นนี้ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้เยี่ยงไร?”

เหวินหยางมองจินหลงด้วยสายตาหวาดระแวง เพราะความเชื่อมั่นไว้ใจได้ถูกสั่นคลอนไปแล้ว

จินหลงจึงมองจ้องสบตาเขากลับด้วยสายตาจริงใจ และกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ไม่ทำให้เหวินหยางกลับมาเชื่อใจ แต่อย่างน้อยมันอาจช่วยให้จินหลงไม่ถูกลากตัวไปตัดหัวในตอนนี้

“ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อคำพูดข้าตอนนี้ก็ได้ จะให้คนตามดูข้าตลอดเวลาก็ตามสบาย”

“…”

“ข้าจะทำให้เห็นเองว่าความจริงแล้วข้าไม่ใช่ปีศาจ และไม่ได้ชั่วร้ายน่ากลัวอะไรเลย”

เหวินหยางจ้องจินหลงด้วยสายตาดุดัน ก่อนใช้น้ำเสียงทรงพลังประกาศกร้าว จนร่างเล็กสะดุ้งโหยงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“ได้! งั้นข้าเองนี่แหละจะเป็นผู้จับตาดูเจ้าทุกฝีก้าว”

“…”

“เริ่มตั้งแต่ยามนี้ เจ้าต้องย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับข้า!!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel