4 กำเนิดเซียน
4
กำเนิดเซียน
ขณะจินหลงกำลังยืนงุนงงอยู่ท่ามกลางสายฝน มองสบตากับเหวินหยางไปมาอยู่อย่างนั้นสักพัก ราวกับว่าเขานึกอะไรบางอย่างได้ ดวงหน้าจิ้มลิ้มรีบก้มลงสำรวจร่างกายตัวเองอย่างรวดเร็ว และต้องพบกับความประหลาดใจซึ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม
ชุดนักเรียนที่สวมใส่ออกจากบ้านเมื่อเช้านี้ ตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นชุดผ้าไหมสีฟ้าน้ำทะเลเสียอย่างนั้น แถมเส้นผมซึ่งตัดสั้นระต้นคอ กลับกลายเป็นยาวสยายถึงช่วงเอว
ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนเอง อยู่ในสถานที่แปลกประหลาดก็ว่าตกใจมากแล้ว ยังมาค้นพบว่ารูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงไปด้วย ยิ่งประหลาดใจมากเข้าไปใหญ่ แม้รูปร่างและส่วนสูงยังดูเหมือนจะเท่าเดิม แต่ไม่อาจการันตีได้ว่าร่างกายนี้เป็นของเขา
จินหลงยกมือทั้งสองข้าง ขึ้นจับใบหน้าตนเองด้วยความวิตกกังวล หันมองรอบกายคล้ายกำลังหาบางสิ่ง ก่อนจุดจับสายตา จะเลื่อนไปหยุดอยู่ยังโต๊ะบวงสรวงตรงหน้าเหวินหยาง
ร่างอ้อนแอ้นราวกับสตรี วิ่งดุ๊กดิ๊กตรงเข้าไปหยิบถาดผลไม้เททิ้ง และยกมันขึ้นส่องดูภาพสะท้อนใบหน้าตนเอง เขาเอียงซ้ายเอียงขวาตรวจดูอยู่ชั่วขณะ เมื่อพบว่าเงาที่สะท้อนออกมาให้เห็น ยังคงเป็นของตัวเขาเองไม่ผิดแน่ จินหลงจึงถอนหายใจออกมายาวพรืดด้วยความโล่งอก
แต่จู่ๆ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดช่วงเวลาที่เขากำลังโล่งใจ จินหลงจึงต้องหันไปมองตัวต้นกำเนิดเสียง
“เจ้าเป็นใคร?”
บุรุษแปลกหน้าขมวดคิ้วยุ่งขณะเอ่ยคำถาม ที่จินหลงเองก็มีความคิดจะถามอีกฝ่ายอยู่เช่นกัน
“เจ้า? คุณหมายถึงผมน่ะเหรอ?”
จินหลงทวนถามซ้ำอีกครั้งเพื่อย้ำว่าตนเองเข้าใจถูก เพราะลักษณะคำเรียกที่อีกฝ่ายใช้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ภาษาในยุคสมัยปัจจุบัน
“คุณ? ผม? มันคือสิ่งใด?”
เหวินหยางเองก็รู้สึกสับสนงุนงงไม่ต่างกัน แต่ดูเหมือนจินหลงจะยังพอมีความเข้าใจอยู่บ้าง เพราะตอนเรียนมีการกล่าวถึงคำศัพท์สมัยโบราณให้ได้ยินผ่านหู ได้อ่านผ่านตามาบ้าง ขณะความเข้าใจของเหวินหยาง ที่มีต่อคำศัพท์ของจินหลงเท่ากับศูนย์
“เอ่อ... ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจอย่างไรดี?”
จินหลงขบคิดกับตัวเองอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจอธิบายพร้อมใช้ภาษากายประกอบ เขายกมือชี้ตัวเองสลับกับเหวินหยาง
“ผมคือสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง ใช้เรียกแทนตัวคนที่กำลังพูดซึ่งเป็นเพศชาย ส่วนคุณคือสรรพนามบุรุษที่สอง ใช้เรียกแทนตัวคนที่เรากำลังสนทนาด้วย จะเป็นเพศชายหรือหญิงก็ได้ครับ”
แต่ถึงจะอธิบายให้ละเอียดมากแค่ไหน เหวินหยางกลับไร้ความเข้าใจอย่างสิ้นเชิง เขายิ่งรู้สึกงุนงงสับสนหนักเข้าไปใหญ่ แปลกใจและสงสัยหนักขึ้นเป็นเท่าตัว ว่าเหตุใดผู้ที่โผล่ลงมาอยู่กลางลานพิธีในเมืองของเขา กลับมีภาษาพูดที่ดูแปลกหูยิ่งนัก
“หยุด! พอ! ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้ากำลังอธิบายสักนิด ช่วยใช้คำที่ฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย”
มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นกุมขมับตัวเองคล้ายปวดหัว ขณะที่อีกข้างยกขึ้นทำท่าห้ามปรามจินหลง ให้หยุดพูดสร้างความสับสนแก่เขามากไปกว่านี้
“เอ่อ... ครับ ผม เอ๊ย! ต้องใช้ข้าสินะ ข้าเข้าใจแล้ว”
ด้วยความเคยชินกับการใช้ศัพท์ในยุคปัจจุบัน จินหลงจึงดูเงอะงะขณะกล่าวตอบ
“แล้วจะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าเป็นใคร?”
คำถามแรกที่เหวินอย่างกล่าวถามยังไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงวนกลับไปยังประโยคนั้นอีกครั้ง
“คือผม เอ๊ย! ข้าชื่อจินหลง”
“จินหลง? นามเพราะดีนี่ ว่าแต่เจ้ามาอยู่กลางลานพิธีบวงสรวงได้เยี่ยงไร?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ก่อนหน้านั้นข้ากำลังประสบเหตุการณ์เลวร้ายอยู่ แต่จู่ๆ พอลืมตากลับมาโผล่ที่นี่เสียอย่างนั้น”
จินหลงนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ก่อนหน้า ที่ตนกำลังร่วงหล่นจากตึกสูงลงสู่พื้นถนน เพียงแค่นึกถึงขนทุกเส้นในกายกลับลุกตั้งชัน
ความจริงเวลานี้เขาควรซีม่องเท่งไปแล้ว แต่กลับมายืนตอบคำถามบุรุษรูปงามได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ราวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่จินตนาการที่เขาสร้างขึ้นเอง แต่มันเป็นเรื่องจริงเสียมากกว่า
“ว่าแต่... ข้าถามท่านบ้างได้หรือไม่?”
ตั้งแต่คุยกันมามีแต่เหวินหยางที่ตั้งคำถามใส่เขาฝ่ายเดียว จินหลงเองก็มีเรื่องมากมาย ที่อยากเอ่ยถามคู่สนทนาเหมือนกัน เขาจึงลองร้องขออีกฝ่ายดู
“ว่ามาสิ”
“ข้าเองก็อยากรู้จักท่านเช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือ?”
“ข้ามีนามว่าเหวินหยาง เป็นเจ้าเมืองจุนเฟิง”
ไม่รู้ว่าจินหลงคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขาสังเกตและรู้สึกได้ว่า เหมือนอีกฝ่ายจะยืดตัวให้ตรงขึ้น และค่อยๆ ผายไหล่ออก อีกทั้งดวงหน้าหล่อเหลายังเชิดขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังวางท่า
“อ่อ… เมืองจุนเฟิง”
‘ว่าแต่ไอ้เมืองจุนเฟิงนี่มันตั้งอยู่มุมไหนของโลกกันนะ?’
จินหลงตอบรับราวกับตนเองรับรู้และเข้าใจ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด
“ท่านเจ้าเมือง! เหตุใดจึงยืนคุยกับปีศาจเป็นวรรคเป็นเวรเยี่ยงนั้น? รีบถอยออกห่างเถอะ เดี๋ยวจะได้รับอันตรายเอาได้”
จู่ๆ กลับมีเสียงของใครบางคนดังแทรกขึ้นมา เรียกความสนใจจากเหวินหยางและจินหลงได้เป็นอย่างดี
ทั้งคู่หันไปมองคนผู้นั้น และได้สังเกตเห็นว่าบัดนี้ชาวเมืองจำนวนหลายคน กำลังยืนหลบหลังเสาบ้าง แอบหลังต้นไม้บ้าง ราวกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง
ทว่าก็ยังมีบางคนที่ทำท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แต่แววตากลับอยากรู้อยากเห็น พยายามจะเดินเข้ามาใกล้แต่กลับลังเลไม่กล้า
“ปีศาจที่ไหนกัน? ข้าว่าเป็นเทพเซียนจากสวรรค์เสียมากกว่า ไม่เช่นนั้นจะปรากฏกายขึ้นพร้อมกับสายฝนได้เยี่ยงไร แล้วดูสิ รอบตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นกลับไร้ฝนสักเม็ด”
ชาวเมืองอีกคนแสดงความคิดเห็นต่าง สีหน้าท่าทางเขาดูตื่นเต้นยิ่งนักขณะกล่าวถึงจินหลง ผู้คนที่เหลือจึงชะเง้อคอออกจากจุดหลบซ่อนเพ่งมองตาม และเมื่อว่าเห็นว่ามันเป็นจริงอย่างที่บุรุษผู้นั้นกล่าว จึงเริ่มพากันทยอยเดินออกมาดูด้วยความสนอกสนใจ
พื้นที่รอบกายจินหลงในระยะสามช่วงแขนแห้งสนิท ท้องฟ้าด้านบนเปิดโล่งเห็นสีฟ้าครามชัดเจน ขณะที่ระยะถัดออกมานั้น ฝนลงเม็ดหนาเตอะจนทัศนวิสัยย่ำแย่ ราวกับท้องฟ้าอัดอั้นจากการกักเก็บน้ำฝนมาเป็นเวลาร่วมห้าปี
“เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก สวรรค์เมตตาประทานท่านเซียนลงมาขจัดภัยแล้ง ในที่สุดประชาชนแผ่นดินต้าหวง ก็ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง ข้าดีใจเหลือเกิน!!”
สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งทรุดกายนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ตะโกนกล่าวร้องด้วยความรู้สึกซาบซึ้งสุดหัวใจ ก้มหัวคำนับจินหลงหลายต่อหลายครั้ง จนคนถูกคำนับรู้สึกหวั่นใจ ว่าการกระทำของผู้สูงวัยกว่า อาจทำให้เขาอายุสั้นลงได้
ทว่าในประโยคนั้นกลับมีคำคำหนึ่ง ที่จินหลงฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นัก และรู้สึกเอะใจแปลกๆ จึงหันไปหาเหวินหยางก่อนกล่าวถามเพราะอดทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้
“เมื่อครู่… ท่านป้าผู้นั้นกล่าวถึงแผ่นดินต้าอะไรสักอย่าง ท่านรู้หรือไม่ว่าต้าอะไร พอดีเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นมันดังเกินไป ข้าจึงฟังไม่ค่อยถนัด”
“ต้าหวง แผ่นดินต้าหวงน่ะ”
เหวินหยางยิ้มเล็กๆ ให้กับจินหลง ก่อนกล่าวตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้
ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำเอาริมฝีปากบางเฉียบ อ้าค้างด้วยความตื่นตกใจ ขณะที่ร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง ด้วยอุณหภูมิเย็นยะเยือก
“อะไรนะ?! แผ่นดินต้าหวงอย่างนั้นรึ?!!”
