ตอนที่ 8 คนอาภัพ/2
Art Calling
มือบางคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง เชิงไม่สนใจไยดี หล่อนเหนื่อย เหนื่อยที่จะต้องมาสู้รบตบมือกับใคร
“นี่มันยังไม่เลิกรังควานแกอีกเหรอวะ แกเลิกกับมันไปเกือบปีแล้วนะเว้ย”
ฟางข้าวเป็นฝ่ายยกแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นกระดกบ้าง รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ซ่าหน่อย ดูจะจืดไปเลยเมื่อเทียบกับความรู้สึกของหล่อนตอนนี้
“ผลประโยชน์วิ่งเข้าหา มีหรือที่คนหมาๆ อย่างมัน จะไม่คว้าเอาไว้น่ะ”
“นี่อย่าบอกนะ ว่าอีตาเสี่ยพวงจะใช้มันมาล่อให้แกไปติดกับ” ไม่ตอบรับแต่ก็เท่ากับไม่ได้ปฏิเสธ
“มันบอกว่าอยากจะขอโทษฉัน แต่ชวนฉันไปยังถิ่นเสี่ยพวง ฉันก็เลยฉุกคิดได้น่ะ”
“นานเท่าไหร่แล้ววะ ที่มันมาตื๊อแกอยู่”
“สองสัปดาห์ พอๆ กับที่เสี่ยพวงมาทวงหนี้นั่นแหละ” นารีพยักหน้า ยอมรับในความต้องเอาให้ได้ทุกทางของเสี่ยพุงพลุ้ยผู้นี้ แต่ก็แอบหวาดหวั่น ว่าเพื่อนจะหลุดรอดจากมือมันไปไม่ได้
“เอางี้มะ หนีไปต่างประเทศกัน ให้บี๋ของฉันช่วยหางานให้ที่นั่น” แล้วทีท่ากระตือรือร้นก็ต้องสะดุด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนเพิ่งจะพูดไป ว่าเพราะอะไรถึงไม่ย้ายไปให้ไกลจากที่นี่
“เอายายแกไปด้วยก็ได้ บี๋ฉันช่วยได้หมดเลย”
“ยายฉันเป็นอัลไซเมอร์นะเว้ย โชคดีนะที่ถึงน้าจะเป็นอย่างนี้ แต่แกก็ไม่ยอมให้ยายต้องตกไปเป็นเครื่องมือต่อรองของอีแก่ตัณหากลับนั่น”
“แล้วแกจะแน่ใจได้ยังไง ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปตลอดน่ะ” แววตาแดงก่ำสะดุดกึกใหญ่ นั่นน่ะสิ
“ทางเดียวที่จะคลี่คลายทุกอย่างคือ แกต้องได้เป็นชูก้าเบบี้ของแด๊ดเท่านั้นแหละ”
ลมหายใจอ่อนๆ รวยรินออกมาจากทางปลายจมูกโด่งเป็นสันลงตัวตามธรรมชาติ ฟางข้าวพยักหน้าอย่างเห็นตามอย่างนั้น
แต่ถ้าไม่เลือกจะทำอย่างไรได้
“แกไม่ลองถามเจ้โสดูอ่ะ ว่าทีท่าของแด๊ด เขาดูสนใจแกมากน้อยแค่ไหน” หญิงสาวพยักหน้าจับสมาร์ตโฟนที่คว่ำอยู่นั้นขึ้นมา
Art calling
“มันตื๊อแกเหมือนสมัยจีบแกใหม่ๆ เลยว่ะ อย่าใจอ่อนให้มันเชียวนะ ผู้ชายเหี้ยๆ พันธุ์นี้”
พูดถึงความเหี้ยของผู้ชายคนนี้ ฟางข้าวก็ถึงกับต้องส่ายหัว
‘เคราะห์ซ้ำกรรมซัด’ เขาเข้ามาเพื่อให้ชีวิตที่ว่าโชคร้ายของหล่อน ดูโชคร้ายขึ้นไปอีก
ตลอดเวลาที่คบกันก็ดูเหมือนจะดี เอาใจใส่ดูแลทุกอย่าง แต่ขี้ขลาด ไม่มีความเป็นผู้นำ แถมยังมักมาก ทำให้หล่อนเสียน้ำตาหลายต่อหลายครั้ง
ที่เลิกกันไม่ได้ก็เพราะขี้ใจอ่อน ใจอ่อน อ่อนแอ!
‘ก็ฟางไม่เคยให้พี่ พี่ก็มีสิทธิจะไปมีคนอื่นป่ะ’ อรรถพลหรืออาร์ต พูดถึงขนาดนั้น...หล่อนจึงยอมให้เขาไปมีคนอื่นได้ เพราะทำใจมีอะไรกับเขาไม่ได้จริงๆ
น่าตลกดีเนอะ มีอะไรกับแฟนไม่ได้ แต่กลับมาขายตัวได้
“ดีนะที่แกไม่เสียพรหมจารีให้มันน่ะ ฉันว่าถ้าพรหมจารีจะมีค่าขนาดนั้น ก็ไม่ควรจะเก็บไว้ให้สามีคืนเข้าหอหรอก เอามาขายแบบนี้ดีกว่า มีค่ากว่าเยอะ” นารีว่าอย่างเดือดดาลกดตัดสายให้ อย่างถือวิสาสะ
ฟางข้าวหัวเราะเล็กน้อย เห็นจะจริงอย่างนั้น
ชีวิตคู่หรือ หล่อนไม่เห็นว่าชีวิตคู่ของใครจะราบรื่น สมหวังดังใจเลยสักคน
ผู้ชายที่ผู้หญิงตัดสินใจแต่งงานด้วย ก็ไม่เห็นจะดีอย่างนั้น เด่นชัยที่แรกๆ ก็ว่าดี...พอแต่งงานกับน้าสาวไป ก็พาไปในหาทางเสื่อมเสีย ตอนที่หล่อนยังเล็ก ยายบ่นให้ฟังประจำ
ส่วนบิดาของหล่อนนั้น แม้จะไม่เคยเห็นหน้าแต่ยายก็บอกว่าแรกๆ ก็ดี พอแม่ตั้งครรภ์หล่อนก็ทิ้งไป แล้วพอคลอดไม่นานมารดาก็ต้องมาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ
ขนาดอรรถพลที่หล่อนคบด้วย ยายก็บอกว่าให้ดูดีๆ ไอ้นี่มันไม่ค่อยน่าไว้วางใจ
ยายเคยเป็นทุกอย่างให้หล่อนได้ เพิ่งจะมาป่วยเป็นอัลไซเมอร์ได้แค่ 2 ปีเท่านั้น นั่นแหละ...ตอนนี้ฟางข้าวก็เลยกลายเป็นคนตัวคนเดียวโดยสมบูรณ์
“สวัสดีค่ะเจ้โส นี่นารีเองนะคะ พอดีว่าเย็นนี้เจ้โสว่างมั้ยคะ นารีอยากจะชวนเจ้โสไปช็อปปิ้งที่ห้างกันน่ะค่ะ” ห้วงความคิดของหญิงสาวได้สะดุดลง เมื่อเพื่อนสาวโทรคุยกับคนที่คิดว่าจะให้คำตอบที่คลางแคลงใจอยู่ของพวกหล่อนได้
“ค่ะเจ้ ไว้เดี๋ยวเจอกันนะคะ”