ตอนที่ 10 แด๊ดดี้/2
“คือเอาตรงๆ เลยนะเจ้โส ที่นารีพยายามดิ้นรนให้เพื่อนรักของนารีเข้าวงการนี้ ก็เพราะว่าพอจะทราบ ว่าแด๊ดเนี่ยเขาคับฟ้าแค่ไหน คืออยากจะให้ฟางมันได้ ไอ้เสี่ยพวงมันจะได้ไม่มายุ่งน่ะค่ะ” เพราะคุ้นเคยกันมาพอสมควรตั้งแต่ไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านของเฮียเมฆ
สองสาวจึงทั้งรักและไว้ใจพี่สาวคนนี้ แบบไม่มีข้อกังขา
“เจ้เข้าใจ เจ้ก็เอาใจช่วยอยู่ เฮียยังบอกเจ้เลยนะว่าเสียดายถ้าสาวๆ สวยๆ อย่างฟางจะต้องไปตกเป็นของมันน่ะ” เฮียเมฆคือเจ้าของผับชื่อดัง แม้ว่าจะมีภรรยาอยู่แล้วแต่ก็เลี้ยงดูโสภาเอาไว้ ให้ดูแลกิจการ โดยที่ภรรยาไม่เคยคิดจะมาข้องเกี่ยว
“แต่เฮียก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ เพราะเสี่ยพวงเนี่ยเขามีคนหนุนหลัง รายใหญ่พอๆ กับแด๊ดเลยนะ แว่วมาว่า...มันคิดจะเทียบรัศมีแด๊ดด้วย”
ยิ่งได้ยินอย่างนี้ ฟางข้าวก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
ไม่เคยเลยสักครั้งที่อยากจะเข้าสู่วงการสีดำ ที่มืดมนนี้ เห็นทีคำว่า ‘ชีวิตเรา เราเลือกเองได้’ จะใช้ไม่ได้กับชีวิตของหล่อนจริงๆ
“ยิ่งฟังยิ่งขนลุก น่ากลัวเนอะ...แต่ยังไงระหว่างแด๊ดกับเสี่ยพวง ก็อยู่ฝั่งแด๊ดดีกว่า” ฝ่ายสนับสนุนก็สนับสนุนไม่เลิก จนหญิงสาวต้องส่งสายตาปรามเพื่อนให้
“ไม่ต้องห่วงหรอก เห็นแด๊ดโหดๆ แบบนี้ แกใจดีมากนะ สายเปย์สุดๆ คุ้มกันแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยด้วย แต่ก็นั่นแหละ...เขาจะเลือกหรือไม่ ก็สุดแท้ เดายาก”
นั่นคือเหตุผลที่ทั้งสามต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“คือเจ้โสเคยทราบมาก่อนมั้ยคะ ว่าแด๊ดเขาสัมภาษณ์แบบไหน มีคนที่เจ้โสเคยรู้จักสัมภาษณ์บ้างมั้ยคะ” หญิงสาวผู้ที่น่าจะรู้ดีกว่าใคร ว่าบทสัมภาษณ์ของหนุ่มใหญ่ไม่ได้ทั่วไปจริงๆ ลองหยั่งเชิงดู
โสภาทำหน้าครุ่นคิด
“ก็...เคยนะ แต่เป็นพวกที่ไม่ผ่านอ่ะ เห็นก็บอกว่าแค่ถามทั่วไป ไม่แตะไม่ต้องอ่ะ”
“ไอ้ฟางแกล่ะ! โดนแตะต้องบ้างมั้ย”
หญิงสาวกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ มากกว่าแตะต้องเลยแหละ
“แต่เคยได้ยินเขาเล่ามาว่า คนที่ผ่านจริงๆ ฉลุยเลย แด๊ดจะให้แตะเขาน่ะ”
“เฮ้ยบ้า! แตะยังไง แตะยังไง!” นารีสั่นระริกใส่ เข้ากันได้กับโสภา ปล่อยให้เพื่อนรักนั่งปั้นหน้าไม่ถูก เข้าไปใหญ่
“ก็แบบว่า...เขาลือกันว่าแด๊ดไม่ได้ใหญ่โตแค่อำนาจนะจ๊ะ ไอ้นั่นก็เบ้อเริ่มเทิ่ม!”
“พูดอะไรกันคะน่าเกลียด” รีบดัก เพราะเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง รสสัมผัสของเขาในวันนั้น กำลังผุดขึ้นมาให้รู้สึกปั่นป่วน ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าหากัน
เบ้อเริ่มเทิ่มยังน้อยไป
“แบบนี้ไม่ได้ใหญ่เลยนะ อย่าเหนียมอายสิ แด๊ดเขาชอบผู้หญิงเร่าร้อน” ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองทำเป็นตำหนิใหญ่ จนฟางข้าวเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเล่าออกไปดีหรือเปล่า
“คือถ้าได้แตะต้องเขา ก็หมายถึงจะผ่านแน่อย่างนั้นหรือคะ” ลองหยั่งเชิงดูอีกครั้ง เพราะหล่อนก็อยากจะมีความหวัง...แม้จะริบหรี่ก็อยากหวัง
“ใช่ เพราะว่าแด๊ดเนี่ยเขาไม่ใช่จะมีอารมณ์กับใครง่ายๆ การได้แตะต้องแด๊ด ก็เท่ากับว่าทำให้แด๊ดขึ้นได้...เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าน้องฟางได้แตะต้องแด๊ดด้วยอ่ะ!”
นารีรีบหันไปมองหน้าเพื่อนขวับใหญ่ ขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ จ้องใบหน้าซีดเผือดที่ค่อยๆ แดงซ่านขึ้นมานั้นอย่างไม่อาจปิดบัง
“ไอ้ฟางมันโกหกไม่ค่อยเก่งหรอกค่ะ ดูหน้ามันสิค่ะเจ้โส แดงซ่านขึ้นมาเชียว เล่ามาเดี๋ยวนี้...ว่าแกแตะแด๊ดไปถึงไหน!”
“โอ๊ย ไม่ได้แตะอะไร...แค่ถามดูเฉยๆ”
“ถามเหมือนมีความหวังขนาดนี้ ไม่เฉยแน่นอน เหลามาจ้า รีบเหลา!” สมทบด้วยโสภาเข้ามาจับหล่อนเขย่า แต่คนปากหนักอย่างฟางข้าวน่ะหรือที่จะยอมหลุดปากง่ายๆ
อย่างน้อย เราก็ยังมีความหวัง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ฟางข้าวตัดสินใจนำรถเข็นของยายมาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมเข็นขายส้มตำที่หล่อนพอจะตำอร่อยอยู่บ้าง
‘แกแน่ใจนะ ว่าไอ้เสี่ยพวงมันจะไม่ตามมาพังร้านแกน่ะ’
ขณะพลิกไก่ย่างเสียงของเพื่อนรักก็แว่วขึ้นมาในหัว หล่อนขายมาได้สองสามวัน ก็ยังถือว่าปกติดีอยู่ เข็นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก กำไรหลักร้อยก็พอจะมีให้เห็นในแต่ละวัน
‘พังก็พังไปสิ แค่รถเข็นคันหนึ่งกับข้าวของไม่เท่าไหร่ ระหว่างที่ยังไม่มีเงินทุนและเกราะคุ้มกัน ก็คงต้องทำอะไรที่ไม่ต้องลงทุนมากไปก่อน’
‘สู้ๆ นะ ฉันเป็นกำลังใจให้’
“เอาตำป่า 1 ครกจ้า” พอมีลูกค้าหล่อนก็รีบไปทำส้มตำต่อทันที อย่างน้อยถึงแม้โชคชะตาจะไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่ใจยังสู้
หญิงสาวก็เชื่อว่า มันต้องมีสักวันแหละที่เป็นของหล่อน หล่อนจะอดทนจนกว่าจะทนไม่ไหว!
“นายท่านครับ ส้มตำหน่อยมั้ยครับ” ขณะที่รถเมอซิ เดสสีดำคันหรู จอดติดไฟแดงอยู่นั้น
สุ้มเสียงเชิงหยอกล้อก็ดังขึ้นจากมือขวาที่นั่งอยู่ เบาะหน้า ข้างคนขับ
ซึ่งทำเอาใบหน้านิ่งขรึมทอดสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย ตวัดหันมามองเพียงน้อย
“ไอ้นี่”
ปมของคนที่เคยรับประทานส้มตำจนเผ็ดน้ำตาไหล ตั้งแต่สมัยที่ยังหนุ่มๆ ติดค้างมาจนถึงปัจจุบัน
“แม่ค้าตำเก่งดีนะครับ ตำทีโลกสะเทือน” มือขวาผู้รู้ใจว่าแบบไม่ได้กริ่งเกรงว่าผู้เป็นใหญ่จะเล่นงานตน เพราะเคยเป็นเพื่อนกินเที่ยวด้วยกันมาก่อน
เฉียว ลู่ เป็นบุตรชายของผู้ช่วยคนสำคัญของเขา หากแต่มีศักดิ์เป็นเหมือนเพื่อนรุ่นน้องที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ในความเคารพจึงมีความอยากจะล้อเล่นอยู่ตลอด
สายตาคมตวัดไปมองตามเชิงหน่าย อยากจะดูว่าจะสักแค่ไหน หากแต่สาวในชุดเสื้อคอเต่าแขนสั้นสีดำ ที่รัดรึงส่วนกลมกลึงนั่นเอาไว้ กลับนูนเด่น
คิ้วเข้มกับริ้วบนหน้าผาก ย่นเข้าหากันเล็กน้อย
เพียงแค่เห็นหน้าหล่อน ปิศาจร้ายที่นอนสงบกึ่งกลางกายก็กระตุกตื่นราวกับมันจำสัมผัสของเจ้าหล่อนได้
เกือบลืมไปแล้วสิ
