01 โชคชะตาพลิกผัน
01
โชคชะตาพลิกผัน
ร่างแบบบางเดินไปตามทางฟุตพาทด้วยท่าทางฟึดฟัดหงุดหงิดอยู่เต็มอก เหตุเพราะเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเธอเพิ่งฟาดงวงฟาดงากับเจ้าของร้านที่เข้าไปสมัครงาน แทนที่จะได้เป็นการปล่อยอารมณ์ความอัดอั้นกลับกลายเป็นว่าเธอปวดหัวมากกว่าเดิมซะอีก
“คนบ้า! ผู้ชายอะไรปากเสียที่สุด พ่อไปรู้จักกับคนแบบนี้ได้ยังไง ฮึ่ย!” เสียงของมิลล่าบ่นยาวมาตลาดการเดินเท้า ในหัวก็ปะทุร้อนจนแทบระเบิด ไม่สามารถสลัดความคิดที่เพิ่งเพียรผ่านไปได้
ยิ่งนึกถึงตอนที่ถูกสายตาคมขลับของเขากดมองแล้วเธอก็ยิ่งโมโห...
“ว่าไง จะเริ่มทดลองงานได้หรือยัง” เสียงเข้มเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะสาวเท้าเข้ามาใกล้ จนทำให้หญิงสาวต้องรีบใช้ขาดันเก้าอี้ถอยหลัง จากนั้นถึงได้หยัดตัวขึ้นเพื่อเว้นระยะห่างจากคนตรงหน้าให้ได้มากที่สุด
“อะ...อะไร! นี่คุณถอยออกไปนะ”
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลยคุณหนูมิลล่า จะตกใจอะไรขนาดนั้นหืม”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะคะ!” มิลล่าเบิกตากว้างและเอ่ยออกไปอย่างไม่พอใจ เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเรียกแบบนั้น เพราะมันเป็นชื่อที่มีเพียงสาวใช้และพี่เลี้ยงซึ่งอยู่ดูแลเธอมานานร่วมยี่สิบปีเท่านั้นที่เรียกคำนั้นกับเธอ
“อะ เปลี่ยนเป็นคุณไฮโซมิลล่าก็ได้”
“นี่คุณ! ฉันไม่สมัครงานแล้วค่ะ ในเมื่อคุณสมบัติของฉันไม่ตรงตามที่คุณต้องการฉันก็คงต้องขอตัว ขอบคุณที่เรียกมาสัมภาษณ์นะคะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา!” หญิงสาวแทบแผดเสียงกรี๊ด แต่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะชี้นิ้วสั่งหรือร้องโวยวายเวลาเจอเรื่องไม่พอใจได้อย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือการรีบออกไปจากที่นี่
“อ้าว สรุปไม่สนใจหรอกเหรอตำแหน่งโฮสต์น่ะ อ้อ...ฉันปล่อยเงินกู้ดอกถูกอยู่นะคุณหนู ถ้าสนใจก็แวะมาใหม่ได้” เวย์คินถูกผลักจนเซไปเล็กน้อย ก่อนที่ร่างของคนตัวเล็กจะรีบเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องไป แต่เขาก็ไม่วายตะโกนยียวนทิ้งท้าย จนทำให้สาวเจ้าหันขวับกลับมาและมองด้วยความกรุ่นโกรธ
“คนบ้า! ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกฉันว่าคุณหนู ฮึ่ย!”
“ด่าฉันว่าคนบ้า? เหอะ...สมกับเป็นคุณหนูจริง ๆ ด่าแต่ละคำแม่งโคตรเจ็บ!”
มิลล่ากระแทกฝีเท้าพร้อมกับผ่อนระบายลมหายใจออกมาหนัก ๆ หงุดหงิดงุ่นง่านจนอยากกรี๊ดลั่นดัง ๆ แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงการย่ำเท้าเดินกลับไปห้องเช่าเล็ก ๆ ที่ตอนนี้กลายเป็นที่ซุกหัวนอนของตัวเอง
“เฮ้อ...แดดจะแรงไปถึงไหนเนี่ย คุณเมฆขาช่วยบังแสงอาทิตย์ให้หนูที หนูต้องเดินอีกหลายกิโลเลย ช่วยหนูหน่อยนะคะ เพี้ยง ๆ!” หญิงสาวเชยใบหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างโร่ไร้ก้อนเมฆกำบังรังสีแผดเผา
แดดในช่วงบ่ายสองแรงกล้าจนแทบมอดไหม้ แถมระยะทางที่ต้องเดินนั้นยังเหลืออีกไกล แต่คนที่มีเงินติดกระเป๋าอยู่ไม่กี่พันกลับจำต้องเดินเท้าแทนการเรียกรถสาธารณะไปยังจุดหมายแทน
แต่ทว่าสิ้นคำร้องขอต่อฟากฟ้ากว้างไกล จากแดดแรง ๆ ที่ทำให้แสบผิวจนแดงระเรื่อ เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ถูกบดบังด้วยเมฆก้อนใหญ่ พลันทำให้ใบหน้าหวานตื่นตกใจก่อนที่ดวงตาสองข้างจะเอ่อคลอไปด้วยน้ำสีใส
“ฮือ ขอบคุณนะคะคุณเมฆ แต่ปากเราก็ศักดิ์สิทธิ์อยู่เหมือนกันนะเนี่ย พูดอะไรก็ได้แบบนั้น งั้น...หนูขอให้หนูได้งาน หนูจะได้มีเงินสักทีนะคะ ช่วยดลบันดาลให้หนูได้งานด้วยนะคะ!” มิลล่าปาดน้ำตาออกลวก ๆ จากอาการซาบซึ้งที่ก้อนเมฆเป็นใหญ่เคลื่อนมาบดบังแสงแดด ไม่นานมันก็แปรเปลี่ยนเป็นการร้องขออีกครั้ง ก่อนที่เสียงหัวเราะคิกคักจะดังขึ้นเบา ๆ ตามประสาคนไร้หนทางต่อโชคชะตา
เพราะโชคชะตาพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกอย่างกลับเปลี่ยนตาลปัตร การหวังพึ่งต่อคำขอจากฟากฟ้าคงเป็นสิ่งเดียวที่อยู่เคียงข้างเธอ
ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะกลับมาถึงห้องเช่าที่มิลล่าใช้เรียกว่าเป็นบ้าน
หญิงสาวเดินเข้าไปด้านในและจัดการลงกลอนล็อกประตูเสร็จสรรพ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งของตัวเองอย่างอ่อนล้า เพราะตั้งแต่เช้าลากยาวมาถึงบ่าย กิจกรรมของเธอในช่วงวันก็คือการเดินหาที่สมัครงานตามร้านรวงต่าง ๆ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทว่าเสียงเคาะประตูทำให้คนที่เพิ่งล้มนอนดีดตัวขึ้นมาอีกหน ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูที่ดังขึ้นจึงทำให้เธอรีบวิ่งไปเปิดประตู
“นี่พี่เองนะ เปิดประตูหน่อย”
ขาเล็กก้าวไปยังหน้าประตูก่อนจะเปิดมันออก กระทั่งเห็นว่าคนที่ยืนอยู่เป็นพี่ชายต่างมารดาก็ทำให้เธอเผยออกกว้าง กระทั่งร่างสูงใหญ่แทรกตัวเข้ามาเธอถึงได้รีบปิดประตูและลงกลอนล็อกไว้อย่างแน่นหนา
“ทำไมกลับมาเร็วจังอะพี่ไมล์” หญิงสาวเดินตามคนเป็นพี่ชายเข้ามา สายตาก็มองด้วยความสงสัยเพราะตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสองเท่านั้น ก่อนแยกย้ายกันออกไปหางานทำเธอได้รับคำกระชับดิบดีว่าเขาน่าจะกลับช่วงดึก ให้เธอกินข้าวและล็อกประตูห้องไว้ให้ดี แต่นี่พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดินด้วยซ้ำเธอเลยแปลกใจที่เห็นเขากลับมา
‘ไมล์’ มองน้องสาวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ไม่นานมันก็ถูกเก็บเอาไว้ในส่วนลึกหลงเหลือเพียงความเรียบนิ่งที่ไม่ได้ถ่ายทอดถึงสิ่งใดออกมาผ่านสายตาและใบหน้า
“พี่ได้งานทำแล้วนะ หลังจากนี้เราก็คงจะสบายขึ้น” เสียงเข้มเอ่ย มือก็ลูบเบา ๆ ที่เรือนผมของคนตรงหน้า ขณะที่รอยยิ้มก็ผลิบานออกมาบาง ๆ
“จริงเหรอคะ! ข่าวดีที่สุดในรอบเดือนเลยนะคะเนี่ย!” แววตาหวานเบิกกว้างเมื่อได้ยินข่าวดี จากนั้นร่างกายก็กระโดดโหยงกอดรั้งคนเป็นพี่ชายเอาไว้อย่างแนบแน่น เพราะตลอดทั้งเดือนมานี้สองพี่น้องกำลังช่วยกันหาสมัครงานเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย แต่ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ไม่เคยมีของทั้งคู่จึงทำให้พบแต่ความผิดหวังกลับมา
“จริงสิ”
“แต่หนูไม่มีข่าวดีเหมือนพี่ไมล์อ่า วันนี้ได้ไปสัมภาษณ์งานที่ร้านหนึ่งมาก็คิดว่าจะได้ แต่พอเขารู้ว่าไม่มีประสบการณ์ก็แห้วเลย นี่ยังงงเลยนะว่าจะเรียกไปทำไม ในใบสมัครก็กรอกไว้หมดแล้ว ดีใจเก้อเลยฮึ!” พอได้รับข่าวดีจากพี่ชายก็ทำให้ทอดถอนใจ เหตุเพราะเธอไม่สามารถทำอย่างที่ตั้งใจไว้ได้
“ไม่เห็นเป็นไร พี่ได้งานแล้ว ความจริงมิลไม่ต้องทำงานก็ได้ พี่เลี้ยงเองน่า” ไมล์โยกหัวน้องสาวเบา ๆ อย่างนึกเอ็นดู หากแต่คำพูดทั้งหมดนั้นล้วนออกมาจากใจจริงทุกอย่าง
ถึงแม้ว่ามิลล่าจะเป็นน้องสาวต่างมารดา แต่เขาก็รักและเอ็นดูเธอมากเพราะเติบโตมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
แมทธิวพ่อของทั้งสองเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกา ครั้นภรรยาขอหย่าร้างเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อขยายฐานการลงทุน ทั้งยังเลือกที่จะย้ายมาใช้ชีวิตปักหลักอยู่ที่นี่พร้อมกันกับลูกชายอย่างไมล์ที่ได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงดู จากนั้นไม่กี่ปีแมทธิวจึงได้พบรักกับผู้ร่วมหุ้นธุรกิจชาวไทย ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนคลอดบุตรสาวหน้าตาน่ารักซึ่งก็คือมิลล่า
จากครอบครัวที่แตกร้าวก็ถูกประกอบกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง โดยที่ไมล์เองก็เข้ากับครอบครัวใหม่ของพ่อได้ดี ทั้งยังไม่เคยมีปัญหากับภรรยาใหม่และลูกสาวของท่านอีกด้วย แถมเขายังคิดว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเพราะได้รับความรักและดูแลเอาใจใส่ จนไมล์เองก็รู้สึกว่าภรรยาของพ่อเหมือนเป็นแม่ของเขาอีกคนหนึ่ง
แต่โรคร้ายมาเยือนจนทำให้แม่ของมิลล่าป่วยหนัก รักษาดูอาการมานานหลายปีจนไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้ ความอ้างว้างหวนกลับมาอีกครั้ง แต่แมทธิวยังหลงเหลือลูกชายและลูกสาวที่เป็นดั่งดวงใจจึงทำให้เขาฮึดสู้ต่อความเศร้าโศก ทว่ากาลเวลาที่เพียรผ่านไปนานหลายปีทำให้พวกเขาคิดว่าความทุกข์ไม่สามารถเข้ามาทำอะไรได้อีกแล้ว หากแต่มันกลับเป็นการหลอกลวงตัวเองทั้งหมด
เมื่อเศรษฐกิจถดถอย เกิดการคอร์รัปชันภายในองค์กร ทั้งยังหาเงินหมุนไม่ทัน เหตุผลทุกอย่างจึงถาโถมจนทำให้ธุรกิจทุกอย่างพังทลายลงต่อหน้าต่อตา แมทธิวถูกฟ้องล้มละลาย ด้วยความเครียดหาทางออกไม่ได้จึงทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด…
“มิลนึกถึงเรื่องนั้นอีกแล้วใช่ไหม”
ความเงียบที่เข้าปกคลุมจึงทำให้ไมล์เห็นถึงความผิดปกติของน้องสาว มือใหญ่จับใบหน้าหวานให้เชยขึ้นมอง กระทั่งเห็นแววตาและสีหน้าเศร้าหมองถึงทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่น้องสาวกำลังนึกถึงนั้นคงไม่พ้นความสุขสบายที่เคยพึงมี
“เราทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ฮึก...ทำไมเราสองพี่น้องถึงต้องมาลำบากกันแบบนี้” ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้มิลล่าไม่อาจกลั้นน้ำตาได้
หลังจากที่พ่อตาย ชีวิตของเธอและไมล์ก็เปลี่ยนไปแทบไม่ต่างจากการดิ่งลงนรก ต้องระเห็จออกมาจากบ้านหลังใหญ่เพราะถูกขายทอดตลาด ศาลฟ้องว่าล้มละลาย เงินทองที่เก็บสะสมก็หายลับในพริบตา จากชีวิตสุขสบายก็ต้องกลายเป็นคนจนตรอกไร้หนทาง
“เป็นฝรั่งแต่เชื่อเรื่องบาปกรรมเนี่ยนะ” ไมล์เอ่ยเย้าน้องสาวพลางหัวเราะในลำคอ ตั้งใจพูดไม่ให้เธอเครียดแล้วมันก็ได้ผลจริง ๆ เพราะตอนนี้มิลล่ายิ้มและหัวเราะเสียงดังออกมา
“ฝรั่งอะไร หนูเป็นลูกครึ่งเถอะ หนูน่ะได้แม่มาเต็ม ๆ ที่ได้มาจากพ่อก็คงจะมีแค่สีตากับนิสัยเท่านั้น ถ้าหนูสูงได้พ่อเหมือนพี่ไมล์ก็ดีน่ะสิ หนูคงไปสมัครเป็นดารานางแบบนานแล้ว”
“โคตรมั่ว! ถ้าพ่อรู้คงโกรธอะที่บอกว่าได้นิสัยพ่อมา ขี้งอนแบบนี้อะนะบอกว่าได้นิสัยพ่อ พูดไปเรื่อยอะเรา!”
“พี่ไมล์ว่าหนูขี้งอนเหรอ! เดี๋ยวเถอะนะ ฮึ่ย...จะไปไหน มานี่เลย นิสัยไม่ดีอ่าว่าน้องได้ไง!” มิลล่าโวยวายเสียงดัง ทั้งยังรัวกำปั้นไปที่ร่างกำยำของพี่ชายอย่างไม่คิดออมมือ หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงเสียงหัวเราะชอบใจจากคนตัวโตเท่านั้น
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเกิดขึ้นได้ในแต่ละวันนับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์สำหรับสองพี่น้องมาก เพราะสิ่งที่พบเจอบ่อยครั้งก็เห็นจะเป็นความทุกข์และหยาดน้ำตาที่แทบไม่ต่างจากเพื่อนร่วมเดินทางให้พบเจอได้ทุกวี่วัน...
